วันพุธ, พฤศจิกายน 30, 2559

"สิ้นคิดแถมยังผิดกฎหมาย"





"สิ้นคิดแถมยังผิดกฎหมาย"

มติ ครม. ที่เห็นชอบกรอบวงเงินจำนวน 12,750 ล้านบาท เพื่อแจกผู้มีรายได้น้อยโดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณปี 2560 ในส่วนของงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น หรือรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2561 ตามที่สำนักงบประมาณเห็นสมควร โดยให้ธนาคาร ธกส. ออมสิน และ กรุงไทย สำรองจ่ายค่าใช้จ่ายไปก่อนและชดเชยต้นทุนเงินให้กับธนาคาร เท่ากับรัฐบาลทำผิดกฎหมายก่อหนี้กู้ยืมเงินจากธนาคารโดยไม่ได้ออกเป็นกฎหมายรองรับ จึงไม่ผูกพันที่รัฐสภาจะต้องอนุมัติงบประมาณประจำปี 2561 จำนวนดังกล่าวให้ จึงถือเป็นมติ ครม. ที่ขัดต่อกฎหมายและธนาคารที่ปล่อยกู้อาจจะไม่ได้รับเงินคืน ป.ป.ช. และ สตง. ที่เคยขยันเล่นงานแต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กรุณาอย่าเพิกเฉยกับเรื่องนี้

การแจกเงินยังแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลขาดสติปัญญาในการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืน โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างการผลิตสินค้าเกษตรที่มีปัญหาเรื่องราคา ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา และข้าวโพด วิสัยทัศน์ของ นรม. จึงมีเพียงชวนข้าราชการออกกำลังในเวลาราชการและใช้ปากแก้ปัญหา เช่น โทษเกษตรกรที่ปลูกกันมากเอง หรืออยากได้ราคาให้เอาไปขายที่ดาวอังคาร หรือขอให้เห็นใจรัฐบาลที่มีงบประมาณจำกัด เมื่อจนตรอกก็ต้องแก้ปัญหาด้วยการแจกเงิน ซึ่งผมไม่ได้คัดค้านผลประโยชน์ของประชาชน แต่รัฐบาลจะต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย

หัวใจสำคัญของเศรษฐกิจคือความเชื่อมั่น แต่การที่ประเทศเป็นเผด็จการ มีหัวหน้ารัฐบาลที่ขาดวิสัยทัศน์แต่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเหนือทุกองค์กรและทุกคนตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ไม่มีใครกล้ามาลงทุน เพราะอาจสิ้นคิดออกคำสั่งยึดกิจการของนักลงทุนแบบที่เคยเกิดขึ้นในอเมริกาใต้ หรือยึดทรัพย์นักลงทุนแบบทัวร์ศูนย์เหรียญ ดังนั้น หากรักชาติและต้องการให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น หัวหน้ารัฐบาลจะต้องกำหนดเวลาที่จะมีการเลือกตั้ง ประกาศว่าตัวเองและพรรคพวกจะไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการบริหารประเทศอีกต่อไปเว้นแต่จะลงเลือกตั้ง เพียงเท่านี้บรรยากาศของการลงทุนจะดีขึ้นและขยะสังคมที่พูดถึงก็จะหมดไปทันที ทำประเทศเสียหายมามากแล้ว ไม่คิดแก้ตัวทำความดีให้ประเทศบ้างเหรอครับ

วัฒนา เมืองสุข
พรรคเพื่อไทย
30 พฤศจิกายน 2559

ที่มา FB

Watana Muangsook


"สุดารัตน์" แนะ คสช. เปิดพื้นที่ภาคการเมืองมีส่วนร่วมยุทธศาสตร์ชาติ หากคิดแต่จะกำจัดทางการเมือง ไม่ฟังความเห็นพอถึงการเลือกตั้งก็จะเกิดปัญหาได้ อย่าคิดว่าฉันคือกฎหมาย ฉันจะเอาแบบนี้ เพราะท้ายที่สุดก็เหมือนแรงโน้มถ่วงของโลก ลูกตุ้มมันเอียงไปด้านใดมากจนเกินไป ท้ายที่สุดมันจะอยู่ไม่ได้





"สุดารัตน์" แนะ คสช. เปิดพื้นที่ภาคการเมืองมีส่วนร่วมยุทธศาสตร์ชาติ





ที่มา Voice TV 21

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวขณะเดินทางมาปฏิบัติธรรมที่วัดมหาธาตุฯ ถึงกรณีที่ผู้มีอำนาจยังไม่ได้เปิดพื้นที่ให้พรรคการเมืองว่า "ที่ผ่านมาไม่ได้มีเจตนาให้เกิดสิทธิและเสรีภาพของนักการเมืองและประชาชนที่จะให้สื่อสารกันมากนัก ไม่ได้เดินไปสู่การเป็นประชาธิปไตย การจะให้เกิดประชาธิปไตยอย่างแท้จริงต้องมีกฎหมายและองค์ประกอบให้เกิดภาพสมานฉันท์ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ต้องทำให้การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม ประเทศไทยติดหล่มเป็นเวลานาน โดยเห็นว่าที่ผ่านมายังไม่เห็นชัดเจนว่าจะทำตามโรดแม็พ จากนี้ไปอยากให้ผู้มีอำนาจสร้างความเข้าใจ หาความร่วมมือระหว่างผู้มีอำนาจ ประชาชน และพรรคการเมือง เปิดโอกาสในการมีส่วนร่วมที่จะคิดยุทธศาสตร์ชาติ 10 ปี หรือ 20 ปี ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ หากคิดแต่จะกำจัดทางการเมือง ไม่ฟังความเห็นพอถึงการเลือกตั้งก็จะเกิดปัญหาได้ อย่าคิดว่าฉันคือกฎหมาย ฉันจะเอาแบบนี้ เพราะท้ายที่สุดก็เหมือนแรงโน้มถ่วงของโลก ลูกตุ้มมันเอียงไปด้านใดมากจนเกินไป ท้ายที่สุดมันจะอยู่ไม่ได้ ส่วนที่วิจารณ์ว่าพรรคที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งอาจจะไม่ได้เป็นรัฐบาลนั้นไม่กังวล แต่สิ่งที่น่าห่วงกว่านักการเมืองคือ เงื่อนไขและบรรยากาศเช่นนี้เหมือนไม่ให้มีส่วนร่วมใดๆ เช่น แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ควรต้องได้รับฟังความเห็นอย่างถี่ถ้วน อย่าทำอะไรแล้วต้องไปแก้ทีหลังมันยุ่งยาก"


FLIGHT AND PLIGHT OF ROHINGYA CAPTURED IN PHOTOS



Photographer Saiful Huq Omi stands before one of his photos at Hof Art Space in Bangkok.


FLIGHT AND PLIGHT OF ROHINGYA CAPTURED IN PHOTOS


By Pravit Rojanaphruk, Senior Staff Writer -
November 30, 2016

Khaosod English

BANGKOK — Over the years, there were times Saiful Huq Omi felt documenting Rohingya fleeing persecution from Myanmar was an exercise in futility that he wanted to stop.

Thinking about how big the human tragedy is made the Bangladeshi photographer, in his own words, feel tired and worthless.

“So what’s the point? Why do photograph? I think it’s a valid question,” he said Tuesday night at Bangkok’s Hof Art Space. “Are we doing enough?”

Based on the reactions of some 30 people at the opening of his black-and-white photo exhibition in Bangkok, many visibly moved, his work hasn’t been in vain.

Over the past eight years, Omi documented in photographs the flight of the Rohingya people to Malaysia, the United Kingdom and his own country, Bangladesh.

The exhibition opens as Myanmar’s army has embarked on a bloody crackdown, razing their villages in Rakhine state in what the United Nations warned Wednesday may be “crimes against humanity.” Myanmar has stoked nationalist sentiments and said it is going after terrorists in response to an attack on police.




Unregistered refugees often work illegally. One way to make a living is to collect shrimp from the sea and sell them to the local market. They risk arrest and an indefinite prison sentence, according to the caption.


Omi feels overwhelmed by his experience and speaks of our collective failure in alleviating the plight of the Rohingya.

“I just hope that some of us stand up one day and do your part,” the 36-year-old photographer from Dhaka said last night at Hof Art Bangkok at the exhibition organized by U.S.-based Fortify Rights, which has an office in Bangkok, along with Equal Rights Trust and Counter Foto.

Omi also said Bangladesh is the second-most important country in the unfolding man-made tragedy as it hosts the largest number of Rohingya refugees outside Myanmar. It shelters 32,000 registered refugees in two camps in the country’s southeastern district of Cox’s Bazar. Sure enough, the plight of those refugees were featured among the three dozen photos exhibited.

One shows a night scene of a border jungle at 3am, where a family waits to be smuggled across the border.

“At 3am, the family managed to get into Bangladesh. They were waiting in the jungle for their smuggler to come and take them to a safe house. Minutes after the photograph was taken in 2012, the border guards came and arrested the entire family for getting into Bangladesh illegally. The next morning they were pushed back to Myanmar,” the caption read.

While many depict suffering, Omi managed to display a few photos which exude his subject’s happiness, however fleeting.

“How do you want to photograph yourself?” read the caption of a family knee-deep in the sea, both father and mother holding a baby each and a boy enjoying the waves.





‘Just a week before this photograph was taken in late 2014, Saydul Islam came to Malaysia by boat. He still has nightmares and finds it difficult to live a normal life after the treacherous journey he took.’



If his photos alone were inadequate, Omi had this to say:

“I think we need to ask ourselves why it’s happening and what we need to do to stop it from happening.”

He warned that if Myanmar doesn’t deal with the issue in a humane manner, it risks turning the country into a racist, deeply divided and deeply violent nation.

As for Aung San Suu Kyi, Nobel Peace Laureate and State Counsellor of Myanmar, Omi said her failure to deal with the issue in a constructive manner is shameful.

“I think she’s the only Nobel Peace Prize winner in human history under which major genocide is happening,” said the photographer, adding that the Nobel Committee should revisit her status as a Nobel Laureate.

Omi’s exhibition is open 10am to 7pm until Tuesday at Hof Art Bangkok, a short walk from BTS Phra Khanong. Hof Art is closed Sunday and Monday.

ตัวเลขชี้ชัดยุค “ประยุทธ์” คนไร้งานสูงขึ้น 39.4% ขยับจากสามแสนสองเป็นสี่แสนห้า คนว่างงานที่ขอประกันสังคมก็สูงสุดใน 9 ปี มากกว่ายุคยิ่งลักษณ์-อภิสิทธิ์




https://www.youtube.com/watch?v=nLIIbpw-4pE


คนไทยสู้งาน รัฐอย่าทำจนคนไร้งานสูงขึ้นไม่หยุด

by ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์
30 พฤศจิกายน 2559 
Voice TV

พอต่างชาติบอกไทยเหลื่อมล้ำอันดับสามของโลก นายกก็อ้างรัฐบาลเก่าทำเศรษฐกิจไม่ดี พอตัวเลขคนว่างงานพุ่งสูงทำลายสถิติ นายกก็บอกรัฐบาลอื่นผลิตคนไม่ตรงกับตลาด แต่ตัวเลขภาครัฐชี้ชัดยุค “ประยุทธ์” คนไร้งานสูงขึ้น 39.4% ขยับจากสามแสนสองเป็นสี่แสนห้า ส่วนคนว่างงานที่ขอประกันสังคมก็สูงสุดใน 9 ปี มากกว่ายุคยิ่งลักษณ์-อภิสิทธิ์

เมื่อรัฐล้มเหลวในการสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นการลงทุน คนไทยวัยทำงานที่สู้งานก็ไร้งานและปราศจากรายได้โดยพวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย

ที่มา http://news.voicetv.co.th/thailand/437382.html

ooo



ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หรือ Personal Spending ของคนไทยช่วงเดือนตุลาคมลดลง 5.5% มากสุดในรอบ 5 ปี #ช่วงไว้ทุกข์http://www.tradingeconomics.com/thailand/personal-spending



เตือน"รัฐไทย"อย่านอนใจ เร่งวางนโยบายป้องกัน "สงครามศาสนา"




https://www.youtube.com/watch?v=TlOKgrLUUqg&spfreload=5

เตือน"รัฐไทย"อย่านอนใจ เร่งวางนโยบายป้องกัน"สงครามศาสนา"

Published on Nov 30, 2016

นายซากีย์ พิทักษ์คุมพล อาจารย์ประจำสถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ สงขลา ให้สัมภาษณ์Thaivoicemedia กรณีการแพร่ขยายของโรคเกลียดกลัวมุสลิม ที่นำไปสู่การใช้ความรุนแรง ถึงขั้นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างในประเทศพม่าเวลานี้ว่า การสร้างความขัดแย้งโดยอาศัยความเชื่อทางศาสนา จนนำไปสู่การใช้ความรุนแรง เข่นฆ่ากัน เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต เช่นศรีลังกา หรือแม้แต่การทำลายล้างเผ่าพันธุ์มุสลิมโรฮิงญาในพม่าเวลานี้ ไทยเองมีบริบททางสังคมและวัฒนธรรมไม่แตกต่างจากศรีลังกา และพม่า อีกทั้งมีประเด็นสถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยเป็นเชื้ออยู่แล้ว ดังนั้นหากรัฐบาล หรือสังคมไม่ตระหนักในปัญหานี้ ประเทศไทยก็อาจจะเกิดการทำลายล้างคนไทยด้วยกันเพราะการใช้ความเชื่อทางศาสนามาเป็นประเด็นสร้างสงคราม รัฐบาลต้องมีนโยบายที่ชัดจนเพื่อป้องปรามปัญหานี้ และองค์กรศาสนาทั้งพุทธ และมุสลิม จะต้องทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ จริงจัง และต่อเนื่องมากขึ้นนับจากนี้ไป

"Humanitarian" need for Rohingya




https://www.youtube.com/watch?v=WU-ei3sGwYY

"Humanitarian" need for Rohingya

Published on Nov 29, 2016

Htike เอ็นจีโอเชื้อสายโรฮิงญาจากพม่า ทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวโรฮิงญาที่หนีภัยจากการปราบปรามจากทหารพม่า ให้สัมภาษณ์ Thaivoicemedia ผ่านทางโทรศัพท์ เกี่ยวกับสถานการณ์ความรุนแรงรอบใหม่ที่เกิดจากการปราบปรามชนกลุ่มน้อยมุสลิมโรฮิงญา รัฐอาระกัน ประเทศพม่าว่า ความรุนแรงรอบใหม่เกิดขึ้นช่วงเดือนตุลาคมเป็นต้นมา ความช่วยเหลือจากเครือข่ายเอ็นจีโอจากต่างประเทศก็ไม่สามารถเข้าถึงได้ เพราะทหารพม่าขัดขวาง และไม่ยอมให้ผู้สื่อข่าว หรือผู้สังเกตุการณ์ระหว่างประเทศเข้าไปในพื้นที่ ส่วนจำนวนโรฮิงญาที่ลี้ภัยไปบังคลาเทศ และประเทศใกล้เคียงนั้นไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน บังคลาเทศเองก็รับผู้ลี้ภัยไว้ที่ชายแดนจำนนวนมากแล้ว การแก้ปัญหานี้อยู่ที่รัฐบาลพม่าเป็นหลักที่จะต้องยอมรับโรฮิงญาเป็นพลเมืองพม่าในฐานะชนกลุ่มน้อย ซึ่งเรือ่งนี้ประเทศสมาชิกอาเซี่ยน จะต้่องร่วมกันช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวโรฮิงญา และกดดันให้พม่าแก้ไขปัญหา ส่วนภาคประชาชนทำได้เพียงการส่งเสียงให้ชาวโลกได้รับรู้ถึงการทำลายล้างเผ่าพันธุ์โรฮิงญาและการถูกลดทอนความเป็นมนุษย์ของพวกเขา



"พระราชพิธีบรมราชาภิเษก" รัชกาลที่ ๗ ที่บันทึกโดยความร่วมมือของประเทศอังกฤษ และไทย (มีคลิป)





เป็นบุญตา!!! ศักดิ์สิทธิ์และสวยงาม "พระราชพิธีบรมราชาภิเษก" รัชกาลที่ ๗ ที่บันทึกโดยความร่วมมือของประเทศอังกฤษ และไทย หาชมได้ยากมาก (มีคลิป)


ที่มา TNEWS Online
2016-11-29

พระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ ๗ ปี พ.ศ. ๒๔๖๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ พระอิสริยยศ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์สยามประเทศ ราชวงศ์จักรี

ครองราชย์ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘
บรมราชาภิเษก ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๘ (นับศักราชแบบเก่า)
เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ รวมพระชนมพรรษา ๔๗ พระพรรษา

บันทึกนี้เป็นบันทึกที่ถ่ายทำเป็นภาพยนต์เงียบ บรรยายเป็นตัวอักษร จากฟิล์มเก่า แล้วใช้ประโคมดนตรีไทยสดประกอบภาพ

บันทึกโดย ความร่วมมือระหว่างประเทศอังกฤษกับ ประเทศสยามในขณะนั้น
เป็นบันทึกที่หาชมยาก
ทุกท่านสามารถกดแชร์ไปเพื่อการเผยแพร่
แก่ญาติมิตรและชนรุ่นหลังจะได้ชมมิให้สูญหายไป



























เรียบเรียง ภัทราพร วโรภาสพิมาน สำนักข่าวทีนิวส์
ข้อมูลจาก เรื่องเล่า ภาพเก่า ในอดีตราชบุรี.

ปัญหาสังคมอำนาจนิยมในประเทศไตแลนเดีย





ปัญหาสังคมอำนาจนิยมในประเทศไตแลนเดีย เรื่องล่าสุด ‘ตึ๊บลูกนายพล’ เนี่ย ว่ากันตามเนื้อผ้า ฝ่ายเจ้าของร้านน่าจะต้องรับผิดชอบการกระทำ ‘เกินไป’ ของการ์ด

ถ้าว่ากันตามมาตรฐานแถวนี้ ผู้ทำหน้าที่รักษาความสงบภายในสถานบันเทิง หรือ bouncers เจอลูกค้าตีรวน หรือ rowdy มักจะแค่ลากตัวเอาออกไปจากสถานที่ ส่วนจะมีตึ๊บตั๊บกันหน้าบาร์ก็ต่อเมื่อลูกค้าฮึดฮัดฟัดเหวี่ยง

จากสภาพอาการฟกช้ำบนหน้าของนายเจมส์บอนด์ หรือ อิศราชนุวัฒน์ วรรคาวิสันต์ ลูกนายพลตรี ผบ. มทบ. ๓๘ ประจวบกับเรื่องราวแวดล้อมผู้ดำเนินกิจการร้านมาลินสกาย ‘บอล’ กฤษณะ อมิตรสูญ กับดาราสาว ‘อุ้ม’ ลักขณา





มีอะไรบางอย่างที่ทำให้น่าเห็นใจผู้บาดเจ็บ ไม่น้อยไปกว่าประเด็นที่ #มิตรสหายท่านหนึ่งตั้งข้อสังเกตุไว้

ที่ว่า “ลูกนายพลถูกกระทืบโวยวายใหญ่โต พลทหารถูกกระทืบตายคนโวยวายถูกฟ้อง”

กรณีหลังนี่ น.ส.นริศราวัลถ์ แก้วนพรัตน์ ผู้หญิงตัวเล็กๆ ใจเด็ด คนโวยวายที่ถูกฟ้อง ได้ยื่นฟ้องกลับตำรวจ ๘ นายที่ทำการจับกุมเธอในข้อหาหมิ่นประมาท ว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามความผิดมาตรา ๑๕๗

(http://www.thairath.co.th/content/792811)





แต่กรณีแรก นายพลคนใหญ่คนโตของประเทศ “บิ๊กป้อมเตือน ‘บอล มาลินสกาย’ อย่า ‘ป๊อด’ กล่าวหาถูกทหารขู่ เพราะทีทำร้ายลูกทหารไม่คิด” Deep Blue Sea ‏@WassanaNanuam รายงาน

“เชื่อ ผบ.มทบ.๓๘ ไม่เอาคืน เตือน ‘บอล’ อย่ากลัว ชี้ขอ ตร.คุ้มกันได้ถ้าถูกขู่ แต่เชื่อทหารไม่ทำ เปรย ซ้อมลูกทหารแต่มากลัวถูกเอาคืน”

หลังจากนางสาวิกา ณ ตะกั่วทุ่ง มารดาของ ‘บอล กฤษณะ’ บอกกับรายการ ‘เรื่องเล่าเช้านี้’ ว่าลูกชายหวาดหวั่น รู้สึกไม่ปลอดภัย กลัวถูกคนร้ายอุ้มฆ่า เพราะเหมือนว่ามีคนคอยดักฟังและซุ่มดูความเคลื่อนไหวที่หน้าบ้าน

(http://www.dailynews.co.th/crime/539726)





ทว่าทั่นรองฯ ผู้ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็สั่งการให้ไล่เบี้ยสถานบันเทิงและกิจการโรงแรมทั้งเชียงใหม่ เพื่อตรวจสอบว่าใครบ้างดำเนินการอย่างผิดกฎหมาย

เป็นที่มาทำให้รู้กันว่าโรงแรมเดอะคอร์ข้างร้านมาลินสกายที่นายกฤษณะอ้างว่าเป็นเจ้าของ แท้จริงไม่ใช่ของเขา และกรรมการบริหารบริษัทโฮมรีสอร์ทซึ่งเป็นเจ้าของ “ได้พิจารณายกเลิกสัญญาจ้างการบริหารจัดการโรงแรม และผู้บริหารโครงการต่างๆในเครือทั้งหมด” ต่อนายกฤษณะแล้ว

นอกเหนือจาก “วันที่ ๓๐ พ.ย. ศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้อนุมัติหมายจับนายกฤษณะ อมิตรสูญ หรือบอล แฟนหนุ่มนักแสดงสาว ‘อุ้ม ลักขณา’ พร้อมพวกอีก ๓ คน” ในข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายลูกนายพล

(http://www.posttoday.com/local/north/467971)

อีกทั้งมีการขุดคุ้ยเบื้องหน้าเบื้องหลังเบื้องข้างของผุ้เกี่ยวข้องในคดี เอามาตีแผ่กันเต็มโซเชียลมีเดีย ทำให้ข้อต่อสู้ของนายกฤษณะอ้างว่าไม่ได้เป็นคนสั่งการให้การ์ดทำร้าย เพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ ฟังไม่ขึ้น

แม้แต่การตั้งโต๊ะแถลงข่าวแก้ต่างให้กับคนรัก โดยดาราสาว ‘อุ้ม’ ลักขณา กลับกลายเป็นเรื่อง ‘จัดฉาก’ ไปเสียฉิบ กระทั่งรายการ ‘ถามตรงๆ’ ของจอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ ก็ยังเสนอคำพูดของมารดาของผู้บาดเจ็บ ซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกไม่พอใจต่ออิทธิพลของ ‘คนรวยและคนดัง’ เสียยิ่งกว่าอำนาจของทหาร

มิหนำซ้ำ ผู้ติดตามเฟชบุ๊คของ Atukkit Sawangsuk จะพบว่าเขากล่าวถึงโพสต์ของ ‘ลูกนายพลถูกรุมตึ๊บ’ เรื่องอยากเห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ “ทุกคนมีสิทธิมีเสียงเท่ากัน เลือกตั้งก็ได้ ๑ คะแนนเท่ากัน” ว่าเป็น “โพสต์ได้ใจไปเลย”

เขาเพิ่มเติมด้วยว่า “ไล่ดูโพสต์เก่าๆ ในเฟซแล้วน้องคนนี้มีหัวคิดนะครับ ไม่ใช่คอการเมืองหรอก แต่เป็นคนรุ่นใหม่ที่คิดกว้าง สนใจเรื่องลงทุน แต่มีสำนึกทางสังคม เคยโพสต์วิจารณ์พวกล่าแม่มดไว้ด้วย ช่วงที่มีการทำร้ายผู้หญิงสติไม่ดีบนรถเมล์”

(http://www.prachatai.com/journal/2016/11/69051)

แต่ก็นั่นแหละ ต้องแยกแยะกันให้ดี นี่ก็โผล่มาใหม่อีกราย เรื่องเล่าเช้านี้ ‏@MorningNewsTV3 เผยมีคลิป “หลานนายพลหญิง ถูกนศ.ต่างสถาบันทำร้ายน่วม อ้างฉุนถูกมองหน้า”

(#เรื่องเล่าเช้านี้ http://morning-news.bectero.com/social-cr…/30-Nov-2016/92336 …)

อย่าปล่อยให้กลายเป็นกระแสติดลม เพราะนี่คือปัญหาของสังคมอำนาจนิยม ดังที่กล่าวไว้ในตอนต้น คนรวย-คนดังใช้อำนาจเกินพิกัด ข่มเหง กลั่นแกล้ง ขณะที่คณะบุคคลทรงพลังช่วงชิงอำนาจครอบงำ กดขี่ และยึดครอง

ล้วนละเมิดด้วยกันทั้งนั้น ก่อให้เกิดผลร้ายต่อรายบุคคลและชาติพันธุ์ ต่างก็แต่ขอบข่าย เจ็บลึกและเจ็บนาน

จึงเฝ้าแต่หวังให้วัฒนธรรมของความมุ่งมั่นกับการได้เปรียบ-เสียเปรียบ จะเปิดทางให้กับจิตสำนึกแห่งความเสมอภาคเท่าเทียม ได้มีที่ยืนเด่นเคียงข้างกัน

เอาพระ'บุดด้า'วัดอ้อน้อยไปด้วย ทุกอย่างจบ!





#อันนี้กูแนะนำ จะทำหรือไม่ก็เรื่องของมึง ...!!

หาพระระดับผู้ใหญ่สักองค์ นิมนต์ท่านไปเป็นยันต์คุ้มภัย และให้ท่านช่วยออกหน้า นำในการ #ไปขอขมาพ่อแม่เค้าด้วยการ #กราบตีน และต้องไป #ที่บ้านเค้า เท่านั้น ต้องทำแบบนี้เท่านั้น มึงถึงจะรอด. เพราะ #จริตนิยมของคนอาชีพนี้เค้านิยมแบบนั้น กูรู้ดี..และกูเห็นเคสแบบนี้บ่อยๆ ทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าว ..

ทำไมกูแนะนำให้นิมนต์พระผู้ใหญ่ไป ??

1.มองสิมอง มองสถานการณ์ให้ดี ตีให้แตก มึงมองสิว่า คนระดับไหนบ้างที่ออกมาพูดเรื่องนี้ กูถามนิดนึงว่า ในหมู่คนธรรมดาเดินดินด้วยกัน จะมีใครใหญ่กว่าคนที่ออกมาพูดเรื่องนี้อีกไหม ?? ล่าสุดแม้นแต่ #พี่ฉุน ยังออกมาพูด ..ทั้งๆที่เรื่องแบบนี้ #ขี้หมูราขี้หมาแห้ง #มโนสาเร่ สำหรับคนเป็นผู้นำประเทศ ..

2.ถ้าจะมีการกระทืบระบายแค้นต่อหน้าพระสงฆ์องค์เจ้า นั่นมันก็เกินไป กูอ่านทางออก ถึงแม้นตอนนี้กูจะเป็นแค่แมวก็ตาม แต่ว่า กูก็บังเอิญเป็นแมวที่ กินอยู่ข้างเสือ นอนอยู่ในกรงเสือ เดินอยู่ข้างๆเสือ รอวันเติบโตเพื่อกลายเป็นเสือ จึงต้องย่อมเข้าใจ #ความเป็นเสือ เป็นอย่างดี เรื่องแบบนั้นมันจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน หลังจากคำว่า #อาตมภาพขอบิณฑบาตรได้ไหมโยม ..

แต่ถ้าคิดว่านั่นคือการเสื่อมเสียศักดิ์ศรี #ที่มึงไม่เคยมีอยู่จริงงั้นมึงก็หนีต่อไป ธุรกิจทั้งที่เป็นของมึงและที่ #ดูแลแทนคนอื่นก็รอวันล่มสลาย ..

ทำไมกูเขียนเรื่องนี้แบบนี้ ?? หลายท่านอาจสงสัยว่า ทำไมกูเข้าข้างนักเลง ??

จริงๆไม่ใช่หรอก.. จริงๆเพราะ #กูเบื่อข่าวเรื่องนี้ มันกลบข่าวสำคัญๆของบ้านเมืองหมด จริตนิยมดราม่าของคนไทยชอบเรื่องแนวๆนี้ มากกว่าเรื่องหนักๆของบ้านเมือง.. แนะนำแบบนี้ เพราะเรื่องมันจะได้จบซะที .. แค่นั้นจริงๆ

เข้าใจตรงกันนะ ..!!ว่าเรื่องที่แนะนำนี่ ..มันคือ #การบริหารความขัดแย้งแบบไทยๆ ..เสือหลายตัวเค้ามักมาใช้บริการกูบ่อยๆ..จริ๊งงง (เสียงสูง) 



Alongkorn Cheurkit


อืออ... เอาเรื่องจริงมาพูด




.....




สังคมป่วย
มิตรสหายท่านหนึ่ง

จากอนาล็อกถึงดิจิทัล: ประเทศไทยในช่วงเปลี่ยนผ่าน (Thailand after King Bhumibol in perspective) - BBC Thai





Thailand after King Bhumibol in perspective

https://www.facebook.com/BBCThai/photos/a.1527194487501586.1073741828.1526071940947174/1854314141456284/?type=3&theater


ooo


จากอนาล็อกถึงดิจิทัล: ประเทศไทยในช่วงเปลี่ยนผ่าน





พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงฉายพระรูปในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2551


รศ. ดร. ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์นักรัฐศาสตร์
ที่มา BBC


"ระเบียงทัศน์" คือ พื้นที่สาธารณะแลกเปลี่ยน ความคิดเห็น อย่างเป็นเหตุเป็นผล ในประเด็นความเป็นไปในไทยและโลก บีบีซีไทย ไม่จำเป็น ต้องเห็นด้วย กับความคิดเห็นดังกล่าว

ในยุคดิจทัลที่ข้อมูลข่าวสารทั่วถึง ถ้วนหน้า และทันทีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้คนมักให้ความสนใจกับเหตุการณ์ ณ วันนี้หรือวันวาน มากกว่าอดีตหรือประวัติศาสตร์ที่ไกลตัว จึงนับเป็นเรื่องยากที่คนนอกจะเข้าใจบทบาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่ทรงมีต่อผู้คนในประเทศไทยอย่างยาวนาน เพราะมิติของกาลเวลาแตกต่างกันในแต่ละยุคสมัย และสภาวะแวดล้อมที่ต่างกันระหว่างคนในและคนนอก

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงครองราชย์ยาวนานถึงเจ็ดสิบปี แต่มีคนจำนวนมาก ที่มักมองพลวัตรการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทย กลับไปแค่สิบปี หรือเกือบยี่สิบปี อย่างกับการเมืองไทยเพิ่งเริ่มเมื่ออดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ขึ้นสู่อานาจและเกิดการรัฐประหารที่ตามมา ซึ่งนำไปสู่การแตกแยกและความรุนแรงทางการเมืองระหว่างฝ่ายสีเหลืองและสีแดง





การที่จะเข้าใจว่าประเทศไทยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ต้องเข้าใจว่าประเทศนี้ผ่านอะไรมาบ้าง ผู้ที่สนใจการเมืองไทยจำเป็นต้องเข้าใจบริบทของกาลเวลาและสถานการณ์ที่ต่างกันแต่ละยุคสมัย ไม่ยึดติดกับเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมาหรืออนาคตอันใกล้ การจะทำเช่นนี้ได้ เราควรยึดกรอบการวิเคราะห์ 3 แนวทาง ดังนี้  

ประการแรก ต้องตระหนักว่าการครองราชย์ถึงเจ็ดทศวรรษนั้นเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทยในช่วงเวลาดังกล่าว นานจนผู้คนมองข้ามว่าพระองค์มิได้เตรียมพระองค์เพื่อเป็นกษัตริย์แต่อย่างใด กาลครั้งหนึ่งพระองค์ทรงเป็นแต่เพียงพระอนุชาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระบรมฉายาลักษณ์ และภาพยนตร์เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ แสดงให้เห็นถึงความรักความใกล้ชิดระหว่างทั้งสองพระองค์ที่มีต่อกัน พระเชษฐาและพระอนุชาทรงเป็นเพื่อนสนิทอย่างแทบจะแยกออกจากกันไม่ได้ ช่วงเวลาที่ทั้งสองพระองค์ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ก็เป็นยุคที่ระบบกษัตริย์อยู่ในช่วงตกต่ำด้วย 



 
พระเชษฐาและพระอนุชาทรงเป็นเพื่อนสนิทอย่างแทบจะแยกออกจากกันไม่ได้



หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 ระบอบสมบูรณาสิทธิราชย์ถูกยกเลิก แทนที่ด้วยระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ เมื่อรัชกาลที่ 7 ทรงสละราชบัลลังก์ กลุ่มอำนาจใหม่ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนซึ่งต่อสู้ชิงอำนาจกันต่างพอใจที่จะได้กษัตริย์พระองค์ใหม่ที่ยังทรงพระเยาว์ เมื่อรัชกาลที่ 8 สวรรคตโดยไม่คาดหมายในปี พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ยังทรงเป็นเพียงวัยรุ่น แต่ทรงจำเป็นต้องขึ้นครองราชย์แทนพระเชษฐาอย่างแทบไม่มีทางเลือก 

ชาวไทยรู้ว่าพระเจ้าอยู่หัวของเขาไม่ได้ทรงต้องการเป็นกษัตริย์แต่เริ่มแรก แต่เมื่อทรงครองราชย์แล้ว กลับทรงมุ่งมั่น และทรงงานหนัก ในภารกิจการสร้างชาติ ทรงเดินทางอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยเพื่อเยี่ยมราษฎรในทุกท้องที่ทุรกันดาร ไม่ว่าจะเป็นเทือกเขาสูงหรือป่าทึบที่เสี่ยงต่อโรคมาลาเรียและอันตรายอื่นๆ เพื่อที่จะให้ราษฎรได้รับการบริการของรัฐและได้รับประโยชน์ต่อโครงการพัฒนาต่างๆ พระราชกรณียกิจเหล่านี้ทำให้ทรงได้รับความรักความศรัทธาจากประชาชนอย่างท่วมท้น ส่งผลเป็นพระราชอำนาจทางศีลธรรมที่ประชาชนได้มอบให้แก่พระองค์โดยตรง 







พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงริเริ่มก่อตั้งและสนับสนุนสาธารณกุศลต่าง ๆ มากมาย ทรงลงพระนามาภิไธยในกฎหมายนับไม่ถ้วน ทรงสนับสนุนการศึกษาและเสด็จพระราชทานปริญญาด้วยพระองค์เอง ประชาชนเองเห็นถึงความมุ่งมั่น ความวิริยะอุตสาหะ และความเสียสละความสุขส่วนพระองค์ที่ทรงทำมาต่อเนื่องยาวนาน เพื่อช่วยให้ประเทศไทยซึ่งยังมีปัญหาความยากจนและอื่น ๆ ให้พ้นจากภัยอันตรายจากการเมืองโลกที่คุกรุ่นในขณะนั้น ทรงเดินทางไปยังประเทศต่างๆ เพื่อสร้างมิตรภาพ ให้ประเทศไทยได้รับการสนับสนุนให้พ้นภัยจากสงครามเย็น แต่หลังจากการเดินทางครั้งล่าสุด ในปี พ.ศ. 2510 ก็ไม่ได้เสด็จออกจากประเทศไทยอีกเลยนับเป็นเวลาถึง 49 ปี ตราบจนกระทั่งเสด็จสวรรคต จะมียกเว้นก็แต่เพียงช่วงระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ที่เสด็จข้ามสะพานไปสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อทรงเปิดสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งแรก ในปี พ.ศ. 2537

ประการที่สอง ประชาชนซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้เห็นการทรงงานอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยของในหลวงรัชกาลที่ 9 ตลอดเจ็ดสิบปี พระองค์และประชาชนมีความผูกพันต่อกันอย่างใกล้ชิด พระองค์จึงทรงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งที่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถผ่านช่วงอันตรายในยุคสงครามเย็น ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านต้องประสบภาวะสงคราม บ้านแตกสาแหรกขาด 







ในช่วง เมษายน-พฤษภาคม พ.ศ. 2518 ประเทศกัมพูชา เวียดนามใต้ และลาวโดนระบอบคอมมิวนิสต์ยึดครอง ส่วนประเทศพม่าอยู่ภายใต้รัฐทหารมานานกว่าทศวรรษแล้วในขณะนั้น ในช่วงอันตรายนี้ อุดมการณ์ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ มีผลต่อความมั่นคงทางจิตใจของคนไทย ความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียว ช่วยให้ประเทศไทยผ่านสถานการณ์อันยากลำบากนี้มาได้

ชัยชนะต่อฝ่ายคอมมิวนิสต์และการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องหลายทศวรรษเป็นผลสำเร็จสำคัญที่สุดของประเทศไทยภายใต้รัชกาลที่ 9 การที่ทรงเป็นศูนย์กลางจิตใจของประชาชนเป็นคุณต่อสถานการณ์บ้านเมืองในเวลานั้นอย่างยิ่ง ในสถานการณ์และสถานะเดียวกันผู้อื่นอาจจะไม่ทุ่มเทให้ประเทศชาติเท่าพระองค์ จริงๆ แล้วก็ไม่ทรงมีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้นเลย เมื่อคนไทยเห็นเพื่อนบ้านรอบข้างต้องประสบชะตากรรมอย่างไร จึงรู้สึกว่าเป็นมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งที่ทำให้เขาไม่ต้องลำบากเช่นนั้น การสวรรคตของพระองค์จึงนำความเศร้าโศกเสียใจต่อพสกนิกรอย่างมหาศาล ชาวไทยส่วนใหญ่เกิดในรัชกาลที่ 9 การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ภูมิพลอดุลยเดช จึงมิใช่เป็นเพียงการสิ้นสุดการครองราชย์ของพระองค์ แต่เปรียบเสมือนการสิ้นสุดของส่วนหนึ่งของชีวิตจิตใจประชาชนเช่นกัน







ประการสุดท้าย ความสำเร็จในรัชกาลนี้ที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจสังคมการเมืองไทยเข้มแข็งและอยู่รอด ได้สร้างปัจจัยที่ท้าทายตนเองในเวลาเดียวกัน

การพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง การศึกษาที่แพร่หลายทั่วถึงมากขึ้น และการเชื่อมต่อกับโลกภายนอก ทำให้ประชาชนต้องการมีสิทธิ์มีเสียง และได้รับการยอมรับให้มีส่วนร่วมในการปกครอง แม้ประชาธิปไตยเบ่งบานขึ้น แต่ก็ล้มลุกคลุกคลานมาตลอด จนถึงยุคของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งความขัดแย้งการเมืองเรื่องสีกลายเป็นวิกฤตการเมืองของไทยในคริสต์ศตวรรษที่ 21

ถึงแม้จะถูกศาลสั่งยุบพรรคถึงสองครั้ง พรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นใหม่ภายใต้การนำของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณก็ชนะการเลือกตั้งทุกครั้ง พรรคล่าสุดคือพรรคเพื่อไทยซึ่งนำโดยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของอดีตนายกทักษิณ ชนะเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม 2554 ได้รับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี จนถูกทหารรัฐประหารในเวลาต่อมา







การพุ่งเป้าวิกฤตการเมืองไทยไปที่การเมืองเรื่องสีเพียงอย่างเดียว อาจทำให้เข้าใจภาพใหญ่การเมืองไทยคลาดเคลื่อนและไม่ครบถ้วน ประชาธิปไตยและการเมืองไทย ไม่ได้อยู่ ๆ ก็เฟื่องฟู ขึ้นมาเมื่ออดีตนายกทักษิณขึ้นสู่อำนาจ ต้องไม่ลืมวิธีการบริหารบ้านเมืองที่ผูกขาด ตลอดจนข้อครหาเรื่องความฉ้อฉลและผลประโยชน์ทับซ้อนทั้งหลายที่เอื้อแก่ญาติพี่น้องและพวกพ้อง

ตัวอย่างที่เห็นชัดมีมากมาย นับตั้งแต่การบิดเบือนกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของตน หรือการให้สัมปทานต่าง ๆ แก่พวกพ้อง อย่างไรก็ตาม ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของทักษิณควรต้องเคารพ กฎกติกาและผลการเลือกตั้ง ต้องเรียนรู้หาทางที่จะชนะเสียงของประชาชน ทั้งนี้ สังคมก็พึงตระหนักจากสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วโลกเช่นกันว่า เพียงการเลือกตั้งนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้ระบอบประชาธิปไตย ทำงานได้และเป็นที่ยอมรับแก่ทุกฝ่าย ประชาธิปไตยต้องมีมากกว่าการเลือกตั้ง แต่ถ้าไม่เลือกตั้งโดยประชาชนก็เป็นประชาธิปไตยไม่ได้

สถานการณ์ของประเทศไทยก็คือการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ตลอดเจ็ดทศวรรษนี้ ได้เสริมสร้างให้ประเทศไทยได้เจริญเติบโตก้าวหน้าพัฒนาเป็นประเทศสมัยใหม่ แต่ข้างหน้าก็มีสิ่งท้าทายสำคัญหลายประการภายใต้พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่เช่นกัน







เพื่อที่จะดำรงเสถียรภาพและความมั่นคงต่อไปในอนาคต ประเทศไทยจำเป็นต้องยอมให้ฝ่ายต่าง ๆ ได้มีส่วนร่วมเจรจาสร้างข้อตกลงทางการเมืองอันใหม่ร่วมกัน เราจำเป็นต้องมีระบอบรัฐธรรมนูญ ที่ทำให้ระบบประชาธิปไตยและระบบกษัตริย์มีความสมดุลซึ่งกันและกัน เพื่อที่สถาบันการเมืองจะได้มีความเข้มแข็งขึ้นตามครรลองประชาธิปไตย และสถาบันพระมหากษัตริย์สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมสมัยใหม่ได้

ขบวนการเพื่อสร้างฉันทานุมัติใหม่นี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยความเป็นผู้นำของรัฐบาลทหาร ไม่มีผลงานใดของรัฐบาลจะสำคัญต่อประเทศยิ่งกว่าการเป็นตัวกลางในการสร้างความปรองดอง ให้ฝ่ายต่าง ๆ เข้ามาเจรจากัน ตลอดจนหว่านล้อมหรือผลักดันให้ทุกฝ่ายเห็นผลประโยชน์ของประเทศชาติมากกว่าผลประโยชน์ของฝ่ายตน

เมื่อเราย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ที่ผ่านมาตลอดช่วงรัชกาลที่ยาวนาน จะเห็นว่าประเทศไทยจะอยู่รอดปลอดภัยก้าวเข้าสู่ความทันสมัยไม่ได้เลยถ้าไม่มีในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นพลังด้านจริยธรรม และผู้นำในความเสียสละเพื่อประเทศชาติ และชาวไทยไม่มีใครเสมอเหมือน ทรงนำประเทศผ่านพ้นภัยต่าง ๆ ด้วยพระบารมีส่วนพระองค์ด้วยพลังความรักความศรัทธาของประชาชน เราควรตระหนักถึงความจำเป็นของยุคสมัย ถ้าไม่มีในหลวงรัชกาลที่ 9 ปวงชนชาวไทยจะไม่มีวันนี้ 







แน่นอนต่อจากนี้ไป ประเทศไทยคงต้องมีการปฎิรูป ปรับตัว เปลี่ยนแปลงตามเงื่อนไขและสภาวะความจำเป็นที่ยุคสมัยกำหนด แต่ใครก็ตามที่จะประเมินประเทศไทยในช่วงเปลี่ยนผ่าน หลังเจ็ดสิบปีภายใต้รัชกาลที่ 9 ไม่ควรนำบรรทัดฐานยุคดิจิทัลมาตัดสินเหตุบ้านการเมืองที่มีความเป็นมาจากยุคอนาล็อก



รองศาสตราจารย์ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ เป็นผู้อำนวยการสถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ และสอนวิชาเศรษศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

(สนิทสุดา เอกชัย อดีตบรรณาธิการหน้าบทความ หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ถอดความเป็นภาษาไทย)

...

เรื่องเกี่ยวเนื่อง...


ทำไมนายกต้องอารมณ์บูด เมื่อนักข่าวถามเรื่อง Roadmap



https://www.facebook.com/DemocracyJournalist/videos/653906621449655/



วันอังคาร, พฤศจิกายน 29, 2559

แอดมิน 'อยากดังเดี๋ยวจัดให้ V4.' ตอบ "ชัดเจน" บอล กฤษณะ สั่งการ์ดรุมตื้บลูกนายพล (คลิป ไทยรัฐ)



https://www.facebook.com/ThairathFan/videos/10155029098197439/


ถามตรงๆกับจอมขวัญ : ตร.สอบเครียด ไฮโซบอล - เปิดใจแอดมิน อยากดังเดี๋ยวจัดให้ | 29-11-59 | ThairathTV




https://www.youtube.com/watch?v=H3So9flFL9I

Published on Nov 29, 2016

เรื่องถึงบิ๊กตู่! นายกฯโทรสายตรงหา พล.ต.วิทยา วรรคาวิสันต์ "พ่อเจมส์บอนด์" บอกให้ความยุติธรรมเต็มที่ ขณะที่ "ไฮโซบอล" แฟนอุ้ม ลักขณา ปรากฏตัวช่วงบ่าย เข้าให้ปากคำกับตำรวจ ด้านลูกน้องบอล 3 คน ทนายความแอบพาตัวไปพบตำรวจเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

ooo





ooo




ตอนเปนดารา ก้อเคยพบนะ ดาราสาวๆ ที่มีแควนเป็นพวก ผุ้มีอิทธิพล ..ลุกคนนั้นคนนี้ ..ดาราปกติก้อไม่เรื่องมากอะไรหรอก ..แต่ไอ้ตัวแควนผุ้ยิ่งใหญ่ นี่ละ ที่สาระแน ..เที่ยวชอบ กร่างง อวดเมีย ..
อิ เมีย บางคนก้อชอบ ..รุ้สึกดี ที่มีคนยกหางชุคอ
อิ บางคนก้อไม่ชอบ ...เพราะอึดอัด สัส ไปไหนมาไหนก้อ มีลุกน้องผัว เที่ยวเดินล้อมหน้าล้อมหลัง ยังกะ ฝุงหมาบ้า ..
สุดท้าย มารุ้ตัวอีกที เพื่อนจะหายหมด เพราะ ..เขารำคาญ อิ ผัวเพื่อน ..กับลุกน้อง
อยุ่ไปนานๆ ของจะเข้าตัว ..อีผัวจะมีปัญหาไปเรือยยย ขา อยุ่ในคุกข้าง ..ข้างนอกข้าง .ตอนนี้ดี แต่ อนาคต ไม่แน่ ..พอจะเลิก ก้อเจอตบ ...จุดจบไม่สวยสักที ..
เป็นดารามีชื่อ อย่าเอาชื่อเสียงไปเสี่ยง ริหาผัวมาเฟีย ..
อย่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว หาผัวดีๆ ธรรมดาคน แม้จะจน แต่รักเราจริง ไม่ทิ้งขว้าง ขยันทำกินสุจริต ติดดิน ดีที่สุด
จำไว้ ที่พระท่านสอน ว่า ให้คบคนดี เป็นศรีแก่ตัว อย่าไปชอบคนชั่ว จะมัวหมอง ..



Do you want to hack the mind of a cyber security expert? BBC talks LIVE with Professor Giovanni Vigna, from University of California and Co-Founder of Lastline.




https://www.facebook.com/bbcnews/videos/10154148474507217/


ปธน.พักกึนเฮ แห่งเกาหลีใต้ ประกาศพร้อมลาออก - South Korean President Park Geun-hye offers to step down




ooo

South Korean President Park Geun-hye offers to step down






Opposition accuses scandal-mired leader of ploy to delay impeachment

by: Song Jung-a in Seoul
Source: Financial Time

Park Geun-hye has offered to step down as South Korea’s president, asking parliament to come up with a plan to ensure stable regime change amid a corruption scandal that has riveted the nation.

Ms Park said she would step down according to a schedule agreed by lawmakers to minimise a leadership vacuum. However, her proposal was rejected by opposition politicians as a ploy to delay her impeachment.

“I have now laid everything down. I’ll leave everything about my future to parliament, including shortening my term,” the president said in a televised address. “I will step down according to the schedule and legal procedures agreed by lawmakers for the stable transfer of power.”

Her speech comes as she faces mounting public calls to resign — a move she has so far resisted — and as opposition lawmakers prepare to impeach her. Ms Park has 15 months left of her single five-year term but, if she were to be impeached or resign, an election would be held in 60 days.

The main opposition Democratic party dismissed her proposal as a political ploy to delay her departure and pledged to push ahead with its impeachment motion, which could be voted on as early as Friday.

“She is handing the ball to parliament, when she could simply step down,” said Park Kwang-on, a Democratic party lawmaker. “She is asking the parliament to pick a date for her resignation, which she knows would lead to a discussion on when to hold the presidential election and delay everything.”

Ms Park said she hoped her offer would end political confusion and put the country back on track as soon as possible. But Shin Yul, a professor of politics at Myongji University in Seoul, predicted that the country’s political unrest would probably persist as Ms Park attempted to weather her crisis.

“She is trying to prolong this chaos by making things more complex,” he said. “The opposition should put the motion for her impeachment within this week.”

Ms Park’s approval rating has fallen to a record low of 4 per cent as her closest aides have been indicted for alleged abuse of power.

Tens of thousands of South Koreans have taken to the streets on recent weekends to demand the president’s resignation. The protests followed allegations that her long-time friend Choi Soon-sil meddled in state affairs — influencing everything from budget proposals and policy drafts to what Ms Park should wear — and extorted fundsfrom top South Korean companies.

Ms Park was named by prosecutors as a criminal “conspirator” in the scheme and she is the first South Korean president to face a criminal probe. But she has not made herself available for interrogation by prosecutors, with her lawyer saying she would instead comply with a probe by a separate independent counsel.

ooo




https://www.facebook.com/camanpour/videos/10157877609650370/


'ธรรมชโย : เมื่อพุทธวัตถุถูกไล่ล่าในยุคคลั่งธรรมะ' - จับธัมมชโยได้แล้วธรรมกายจะเสื่อมหรือ? (ใบตองแห้ง)




https://www.facebook.com/VoiceTVonline/videos/10155781126284848/

.....

ธรรมกายกับหลวงพ่อคูณต่างกันตรงไหน? ตรงที่หลวงพ่อคุณเอาเงินไปสร้าง ร.ร. รพ. สร้างวัด แต่สำหรับคนที่เอาโฉนดไปให้เหยียบ ก็คือพุทธยุค "อยากรวย" เหมือนกัน ทำบุญแล้วขอให้รวยๆๆ

ธรรมกายเกิดมาเมื่อสังคมไทยเปลี่ยนสู่ทุนนิยมโลกาภิวัตน์ คำสอนแบบเดิมเริ่มห่างไกลจากสังคมที่อยากรวยๆๆ รัฐก็ขายฝันความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจการเมือง โชติช่วงชัชวาล นิคส์ คณะสงฆ์ก็เริ่มเสื่อม จึงเกิดสำนักใหม่ๆ ที่บางรายก็สวนโลกาภิวัตน์แบบสันติอโศก แต่ธรรมกายรุ่งเรืองด้วยการขายธรรมะให้คนชั้นกลาง ใช้การตลาด ใช้เทคโนโลยี และอิงอำนาจ ทั้งรัฐทั้งนักการเมืองทั้งมหาเถร

แต่เมื่อสังคมไทย รัฐไทย ล้มเหลว ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง ตั้งแต่ปี 40 เราเริ่มเห็นคนหวนหาหนังสือพระ พุทธทาส ท่านปัญญา (เต็มตู้) ยิ่งถึงปี 49 ที่เกิดรัฐประหาร เผด็จการศีลธรรม คนชั้นกลางผิดหวังกับรัฐบาลทักษิณที่เคยหวังว่าจะนำประเทศพุ่งทะยาน นับจากนั้น ประเทศไม่ได้มีความหวังอะไรอีก จึงต้องเอาธรรมเข้าขย่ม โดยเฉพาะเมื่อรัฐจารีต อำนาจอนุรักษ์ กลับมาครองอำนาจ จึงเกิดแนวโน้มของการที่รัฐ (ล้มเหลว) พยายามดึงศาสนาและคณะสงฆ์ (เสื่อม) เข้ามาเป็นกลไกอำนาจ ขณะที่สงฆ์ก็หวังพึ่งอำนาจรัฐเช่นกัน เพียงแต่ยังลักลั่นกันเรื่องธรรมกาย ซึ่งฝ่ายรัฐต้องการปัดกวาดให้สุดสวยกระทั่งร่างรัฐธรรมนูญ "พุทธเถรวาท" ต้องมีหนึ่งเดียวเท่านั้น

คำสอนธรรมกายน่ะ เพี้ยนแหง แต่รัฐเพี้ยนๆ กับพวกสุดโต่งทางการเมืองศีลธรรม ไม่มีทางกำจัดธรรมกายได้ หรือกำจัดได้ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น พุทธกระแสหลักวันนี้มี 2 พวก คือพุทธพาณิชย์ กับพุทธ "ของกู" กูปฏิบัติธรรมแล้วกูต้องดีกว่าคนอื่น


Atukkit Sawangsuk


ooo

จับธัมมชโยได้แล้วธรรมกายจะเสื่อมหรือ?


“ใบตองแห้ง” ชี้ แม้จับพระธัมมชโยได้ ก็ไม่ได้เปลี่ยนความนิยมศรัทธาของศิษยานุศิษย์ และการตีความศาสนาในแบบของธรรมกาย พร้อมตั้งคำถามกลับ ทำไมพุทธไทยจึงพยายามให้เหลือแค่พุทธเถรวาทเท่านั้น

นายอธึกกิต แสวงสุข หรือ “ใบตองแห้ง” นักวิเคราะห์ข่าวประจำวอยซ์ทีวีกล่าวในรายการ “ใบตองแห้งออนแอร์” ระบุว่า แม้พรุ่งนี้จะครบกำหนดที่ดีเอสไอจะสั่งฟองพระธัมมชโยในคดีรับของโจรและร่วมกันฟอกเงินจากกรณีรับเงินบริจาคจากอดีตประธานสหกรณ์คลองจั่นแล้วก็ตาม แต่คำถามคือสรุปแล้วทำลายธรรมกายได้หรือไม่

ทั้งนี้นายอธึกกิตระบุว่าอย่างไรก็ตามแนวคิดของคนที่เข้าหาวัดและหวังความร่ำรวยนั้นมาพร้อมกับยุคโลกาภิวัฒน์ ซึ่งทุนนิยมรุ่งเรือง ราคที่ดินพุ่งพรวดพราดจากนโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า ส่วนวงการสงฆ์ของไทยก็เผชิญความท้าทายในยุคทุนนิยมโลกาภิวัฒน์แพร่หลาย เป็นสังคมและรัฐที่ขายฝันในการก้าวไปสู่เศรษฐกิจที่จะเจริญรุ่งเรือง รัฐพึ่งศาสนาน้อยลงหันมาขายฝัน ขณะที่ศาสนาเองก็เริ่มเป็นปรับเปลี่ยน และบุญเริ่มกลายเป็นสินค้า

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 23 พ.ย. อัยการคดีพิเศษมีคำสั่งสั่งฟ้องนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ผู้ต้องหาที่ 1 นางสาวศรัณยา มานหมัด ผู้ต้องหาที่ 3 และนางทองพิน กันล้อม ผู้ต้องหาที่ 4 และสมควรสั่งฟ้อง พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) ผู้ต้องหาที่ 2 และนางศศิธร โชคประสิทธิ์ ผู้ต้องหาที่ 5 กระทำความผิดฐานสมคบกันฟอกเงินร่วมกันฟอกเงินและรับของโจร โดยจะส่งตัวส่งฟ้องในวันที่ 30 พ.ย.2559

มีอะไรน่ารู้เกี่ยวกับการฟ้องร้องพระธัมมชโยบ้าง

การตั้งพระสังฆราช สมเด็จช่วง ซึ่งมีสมณสูงสุดขณะนี้ และมติมหาเถรสมาคมเสนอพระนามต่อคณะรัฐมนตรีให้ดำรงตำแหน่งพระสังฆราชไปเมื่อเดือน ม.ค.

มีการยกประเด็นเรื่องทรงถือครองรถโบราณผิดกฎหมาย ร้องดีเอสไอเพื่อเอาผิด และชี้ว่าขาดคุณสมบติในการดำรงตำแหน่งพระสังฆราช

แต่ประเด็นที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ก็คือความกลัวสายธรรมกาย

ขณะที่สมเด็จช่วงถูกไล่ล่าด้วยประเด็นรถโบราณ ซึ่งดูเหมือนจะมีหลวงพี่น้ำฝนเป็นผู้ออกมารับแทนแล้ว โดยระบุว่าตัวเองเป็นคนจัดการทุกอย่าง แต่อีกทางก็มีการเล่นงานพระธัมมชโยในข้อหารับของโจร คือเงินบริจาคจากสหกรณ์คลองจั่นซึ่งถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงินสมาชิกไปกว่า 12,000 ล้านบาท บางสำนักบอก 16,000 ล้าน

เมื่อดีเอสไอตรวจสอบแล้วพบว่านายศุชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ผู้เป็น “ศิษย์เอก” ระดับ “อัครสาวก” ของวัดพระธรรมกาย ออกเช็คจ่ายให้วัดธรรมกาย-พระธัมมชโย กว่า 800 ล้านบาท

กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้การดำเนินคดีต่อนายศุภชัยกับพวกว่าร่วมกันยักยอกทรัพย์สหกรณ์ มูลค่าความเสียหายกว่า 16,000 ล้านบาท โดยเมื่อวันที่ 3 มี.ค.ที่ผ่านมาได้ออกหมายเรียกพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และพระในวัดพระธรรมกายที่มีรายชื่อปรากฏเป็นผู้รับเช็คจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องในการรับเช็คนี้ในช่วงปี 2552-2555 เข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนแล้ว

นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด ที่ถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงินของสหกรณ์ไปกว่า 16,000ล้านบาท ได้ชี้แจงกรณีที่มีข่าวว่าได้นำเงินส่วนหนึ่งของสหกรณ์ฯ ไปบริจาคแก่วัดพระธรรมกายกว่า 1,000 ล้านบาทว่า ได้นำเงินของสหกรณ์ไปบริจาคให้วัดพระธรรมกาย และพระธัมมชโย เจ้าอาวาสจริง แต่เป็นลักษณะของการยืมเงิน ที่ผ่านมาได้คืนเงินให้สหกรณ์ครบถ้วนแล้ว โดยมีหลักฐานเป็นรายงานของผู้สอบบัญชีประจำปี ซึ่งมีมติรับรองของที่ประชุมใหญ่ในปี 2552 และ 2553 ตนยืนยันว่าข้อกล่าวหาที่ว่าตัวเองได้ทำการยักยอกทรัพย์ของสหกรณ์นั้น พระธัมมชโยและวัดพระธรรมกายไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

นายศุภชัยกล่าวอธิบายโดยยืนยันกระแสข่าวว่าได้ปล่อยสินเชื่อให้ประชาชนนำเงินไปทำบุญกับวัดพระธรรมกาย ซึ่งเขาถือเป็นเรื่องปกติในธุรกิจสหกรณ์ที่มีการปล่อยสินเชื่อให้แก่สมาชิก แต่จะไม่มีทางรู้เลยว่าแต่ละคนจะกู้ยืมเงินไปทำอะไรบ้าง

ทางวัดธรรมกายอธิบายว่า ได้รับมาแต่คืนไปแล้ว และที่รับมานั้นเป็นการรับเงินบริจาค

2 เม.ย. 2559 กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ได้ออกหมายเรียกพระธัมมชโยโดยระบุเอาไว้ชัดเจนว่า “กระทำความผิดฐานสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันรับของโจร”

พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล ผู้บัญชาการสำนักงานคดีการเงินการธนาคาร กรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีนี้ระบุว่าเป็นการ ออกหมายเรียกในฐานะผู้ต้องหา เพื่อให้เข้ารับทราบข้อหา โดยคดีนี้ในชั้นสอบพยาน พระธัมมชโยให้พระรูปอื่นมาให้ปากคำแทน แต่คดีนี้มีผู้มาแจ้งข้อกล่าวหา โดยระบุให้ดำเนินคดีกับพระธัมมชโย ดีเอสไอจึงต้งอออกหมายเรียก

พระธัมชโยไม่มาตามหมายเรียก จนครบกำหนดเวลา แล้วดีเอสไอไปขอหมายค้นจากศาล เข้าไปค้นวัดพระธรรมกายเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2559แต่ล้มเหลว มีศิษยานุศิษย์ไปคุ้มกันตั้งแต่ประตูและมีการสวดมนต์ภายในวัด

Quote เด็ด จากเหล่าศิษย์คือ คณะศิษย์ธรรมกายได้แถลงการณ์โดยระบุว่า พระธัมมชโย จะยอมมอบตัวต่อเมื่อประเทศชาติกลับสู่สภาวะปกติ และเป็นประชาธิปไตย

"ข้อกล่าวหาที่ดีเอสไอกระทำต่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อมีอายุความถึง 15 ปี การที่จะรอให้บ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติในระบอบประชาธิปไตยซึ่งก็ใกล้จะถึงอยู่แล้วตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนและประชาคมโลก จึงไม่ได้เป็นการล่าช้าต่อการดำเนินคดีและเกิดความเสียหายต่อรูปคดีแต่อย่างใด" แถลงการณ์ระบุ

ที่มา

http://news.voicetv.co.th/thailand/437016.html

ฟังการวิเคราะห์จาก อ.ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ ประเด็น - บอลแฟนดาราอาการหนักกว่าน็อตกราบรถกู - ย้าย ผอ.เพราะสีเสื้อ เหยื่อล่าสุดขบวนการแบ่งแยกภาคแบ่งแยกคน'



https://www.facebook.com/VoiceTVonline/videos/10155781227014848/

ooo

ปม ผอ.เสื้อแดงเลือดหมู ที่ระนอง กระแสถามกลับลงโทษเกินกว่าเหตุ-คนร่วมงานสวมเสื้อสี


Tue, 2016-11-29 16:32
ที่มา ประชาไท

กรณีชาวระนองประท้วง ผอ.โรงเรียน สวมเสื้อแดงเลือดหมู จนถูกสั่งย้าย เจ้าตัวเปิดใจไม่มีเจตนา พร้อมขอบคุณชาวระนองทุกคน ขณะที่เพจ Drama-addict ชี้ผิดปรกติ ว่าเป็นนอกเวลาราชการ ผอ.ก็ติดริบบิ้นไว้ทุกข์ไว้เรียบร้อย คนอื่นในงานก็แต่งสีเหลืองสีฟ้า ทำไมชาวบ้านถูกปลุกปั่นให้มาเดินขบวนขับไล่จนถึงกับมีคำสั่งย้าย

29 พ.ย. 2559 จากกรณี ประชาชน ชาว จ.ระนอง จำนวนหนึ่ง ประท้วง ปนัดดา จันทวงศ์ ผอ.โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 38 ซึ่งเพิ่งย้ายเข้ามาดำรงตำแหน่งจาก จ.ขอนแก่น ซึ่งในวันเสาร์ที่ 26 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยได้เดินทางเข้ารับตำแหน่งนั้น กลับใส่ชุด “สีแดงเลือดหมู” แต่ติดโบว์ดำที่หน้าหน้าอก ชาวบ้านที่ประท้งเห็นว่า แต่งกายสีไม่เหมาะสม เนื่องจากขณะนี้อยู่ในช่วงไว้ทุกข์

วานนี้ (28 พ.ย.59) เดลินิวส์ออนไลน์ รายงานว่า มีหนังสือจากสำนักคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ลงวันที่ 28 พ.ย.2559 เรียนถึง ผอ.โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 38 จ.ระนอง ระบุข้อความ ด้วยขณะนี้เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างชุมชนกับผู้อำนวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 38 และเพื่อเป็นการแก้ปัญหาทางการบริหาร ลดกระแสความรุนแรงในชุมชนที่เกิดขึ้นในขณะนี้ สำนักคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานพิจารณาแล้ว เพื่อเป็นการแก้ปัญหาทางการบริหาร ลดกระแสความรุนแรงในชุมชน และเพื่อประโยชน์แก่ทางราชการ จึงให้ข้าราชการครูบุคลากรทางการศึกษา ปนัดดา จันทวงศ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนฯ ปฏิบัติราชการประจำสำนักงานเป็นการชั่วคราว ลงชื่อ การุณ สกุลประดิษฐ์ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หนังสือราชการข้างต้น ไม่ได้ระบุว่าผอ.คนดังกล่าวย้ายไปปฏบัติราชการที่ใด ทั้งนี้ "เดลินิวส์ออนไลน์" จึงสอบถามไปยังฝ่ายประชาสัมพันธ์ สพฐ. แจ้งว่า ขณะนี้ผอ.คนดังกล่าวถูกคำสั่งย้ายให้ไปปฎิบัติราชการประจำสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ เป็นการชั่วคราว ก่อนจะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมเป็นการด่วน.

ผอ.เสื้อแดงเลือดหมู เปิดใจไม่มีเจตนา พร้อมขอบคุณชาวระนองทุกคน

ขณะที่ ข่าวนิวทีวี เผยแพร่วิดีโอคลิปเมื่อเวลา 8.17 น. วันนี้ (29 พ.ย.59) ปนัดดา ผอ.เสื้อแดงเลือดหมู ดังกล่าวเปิดใจ ว่าไม่มีเจตนาที่จะให้มันเกิดขึ้นแบบนี้ รู้สึกเสียใจมาตลอดตั้งแต่รู้ข่าวคราว เสียใจและไม่มีเจตนาจริงๆ เพราะว่าตลอดระยะเวลาในการรับราชการมาก็อยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่แล้ว ตั้งปณิธานทำงานเพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและเป็นข้าของแผ่นดินมาโดยตลอด

"รู้สึกเสียใจจากใจจริง ตลอดเวลาก็คือเกิดมาในรัชกาลที่ 9 ภูมิใจที่เกิดเป็นคนไทย ขอบคุณชาวระนองทุกคน" ปนัดดา กล่าว


กระแสสวิงกลับตั้งคำถามลงโทษเกินกว่าเหตุไหม

สำหรับกระแสในโซเชียลเน็ตเวิร์ก อย่าง เฟซบุ๊ก นอกจากมีการวิพากษ์วิจารณ์ความไม่เหมาะสมของการแต่งตัวแล้ว เมื่อมีข่าวถึงขั้นประท้วงขับไล่ผอ.คนดังกล่าว รวมทั้งสั่งย้าย กลับมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์อีกทางหนึ่งจำนวนมาก ว่ากรณีนี้ลงโทษเกิดกว่าเหตุ และไม่สมเหตุสมผลที่จะไล่ เนื่องจาก ผอ.คนดังกล่าวแต่ชุดในวันหยุดคือวันเสร์ พร้อมทั้งมีการติดติดโบว์ดำที่หน้าหน้าอกแล้ว รวมทั้งมีผู้นำภาพผู้ร่วมงานเดียวกันกับผอ.คนดังกล่าวที่ไม่ได้ใส่ชุดดำอีกด้วย





ตัวอย่างเช่น เพจ Drama-addict ซึ่งมียอดผู้ติดตามกว่า 1.4 ล้าน โพสต์ว่า เรื่องนี้แปลกมาก คือ ผอ. เขาใส่ชุดสีเลือดหมู (ถ้าคนไทยเชื้อสายจีน จะถือว่านี่เป็นสีมงคล) ไปร่วมงานรับตำแหน่ง ผอ. โรงเรียน ใน "วันหยุดราชการ" ซึ่งปรกติข้าราชการเขาก็ไว้ทุกข์กันในเวลาราชการตามปรกติ อันนี้นอกเวลาราชการ ใส่ชุดสีไรก็ได้ คนอื่นในงานก็แต่งสีเหลืองสีฟ้ากันเยอะแยะ แล้ว ผอ. แกก็ติดริบบิ้นไว้ทุกข์ไว้เรียบร้อย ชุดก็เป็นชุดปรกติ ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับประเด็นการเมืองเลย ทำไมจู่ๆ ชาวบ้านถูกปลุกปั่นให้มาเดินขบวนขับไล่แก จนถึงกับมีคำสั่งย้ายแกออกนอกพื้นที่วะ มันผิดปรกติมาก






ภาพที่มีการเผยแพร่ทางเฟซบุ๊ก แสดงให้เห็นว่าในงานดังกล่าวไม่ได้มีเพียง ผอ.ที่ถูกสั่งย้ายเท่านั้นที่สวมเสื้อสี (ที่มาเพจ วิวาทะ)

อนาคตการเมืองไทย.. เสียงข้างมากไม่มีความหมาย?





ขั้นตอนแรกของการเปลี่ยนรัชกาลเสร็จสิ้นแล้ววันนี้ (๒๙ พ.ย.) เมื่อ ครม. ตามด้วย สนช. มีมติขอพระราชทานอัญเชิญสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงขึ้นครองราชย์ เป็นรัชกาลที่ ๑๐

ขั้นต่อไปเป็นการที่พระองค์ทรงรับการสถาปนา และทรงดำเนินการปกครองแผ่นดินโดยธรรมสืบไป

หากแต่พสกนิกรทั้งหลายจะมีความพร้อมเพรียงกับการปกครองประเทศไทยโดยระบอบประชาธิปไตย (อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) ด้วยรัฐธรรมนูญฉบับ คสช. แค่ไหน

น่าเสียดายที่จักต้องใช้เวลาเพื่อการพิสูจน์กันอีกไม่น้อยกว่า ๕ ปี และอาจยาวกว่า ๒๐ ปี

วันนี้เช่นกัน ‘หมัดเหล็ก’ ไทยรัฐ เขียนไว้ในบทความของเขา

“การปลูกฝังค่านิยมที่ผิดๆ ในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย ทำให้ความหมายของระบอบประชาธิปไตยผิดเพี้ยนไปโดยสิ้นเชิง การตัดสินใจของเสียงข้างมากไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าจะได้รับฉันทานุมัติให้เข้ามาปกครองบริหารประเทศ

การที่รองนายกฯ วิษณุ เครืองาม ออกมาชี้นำว่า พรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมากก็อาจไม่ได้เป็นพรรครัฐบาลหรือตั้งรัฐบาล ก็หมายความว่าพรรคที่ชาวบ้านเลือกเข้ามามากที่สุด หัวหน้าพรรคหรือบุคคลที่พรรคเสนอเป็นว่าที่นายกฯ ก็อาจจะไม่ได้เป็นนายกฯ

เสียงข้างมากไม่มีความหมาย”

(http://www.thairath.co.th/content/795756)

คำพูดของนายวิษณุที่บทความอ้างถึง สืบเนื่องมาจากการนำเอาผลเลือกตั้งในสหรัฐเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนมาตีความเข้าข้างตนเองในสถานการณ์ของประเทศไทย





โดยเชื่อแน่ได้ว่า ด้วยเจตนาดังที่ ‘หมัดเหล็ก’ ระบุว่า “มีความพยายามจะชี้นำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ คนนอก เข้ามาบริหารราชการต่อไปแม้จะมีการเลือกตั้งแล้วก็ตาม”

ทำให้ควรต้องกลับไปมองการเลือกตั้งสหรัฐที่ผ่านมากันให้ละเอียดอีกครั้ง

ในสถานการณ์ที่ทางการมลรัฐวิสคอนซินตอบรับคำร้องของ ดร.จิล สไตน์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคกรีน ให้นับคะแนนเลือกตั้งใหม่ใน ๓ มลรัฐที่เคยเป็นฐานคะแนนเสียงของพรรคเดโมแครท (Blue states) แต่ครั้งนี้ตกเป็นของฝ่ายรีพับลิกัน คือมิชิแกน เพ็นซิลเวเนีย และวิสคอนซิน

เนื่องจากมีเหตุอันน่าเป็นห่วงว่าผลเลือกตั้งอาจไม่ตรงกับความเป็นจริงด้วยการแทรกแซงระบบนับคะแนนโดยคอมพิวเตอร์ หรือถูกแฮ็คด์ก็ได้

อีกทั้งคะแนนรายหัวผู้ออกเสียงในรัฐวิสคอนซิน ให้แก่นายดอแนลด์ ทรั้มพ์ แห่งพรรครีพับลิกัน ออกมามากกว่านางฮิลลารี่ คลินตัน เพียง ๒๒,๕๐๐ คะแนน

ขณะที่รัฐมิชิแกนยิ่งน้อยลงไปอีก คือชนะราว ๑๐,๗๐๐ คะแนนเท่านั้น ส่วนในรัฐเพ็นซิลเวเนียซึ่งนางสไตน์ยื่นคำร้องขอนับคะแนนใหม่ได้ทันก่อนหมดกำหนดในวันนี้ คะแนนของทรั้มพ์นำราว ๖๘,๐๐๐ เสียง ถือว่าไม่มากนัก

การนับคะแนนใหม่ในสามมลรัฐอาจเป็นความหวังลอยๆ ของผู้สนับสนุนฮิลลารี่ เนื่องจากไม่เคยมีในประวัติการณ์จากการนับคะแนนใหม่ที่พลิกผลในตำแหน่งประธานาธิบดีได้ จะมีก็แต่ในการเลือกตั้ง ส.ส. และ ส.ว. เท่านั้น

แต่หากว่าจะเกิดประวัติการณ์พลิกผันเป็นครั้งแรกในคราวนี้ คะแนนที่นับใหม่ของฝ่ายนางคลินตัน จะต้องชนะรวดทั้งสามมลรัฐ จึงจะได้จำนวน electoral college หรือคะแนนผู้เป็นตัวแทนเลือกตั้งเกิน ๒๗๐ และมากกว่าทรั้มพ์

ณ ขณะนี้ หลังจากที่รัฐมิชิแกนเพิ่งแถลงยืนยันชัยชนะของทรั้มพ์อย่างเป็นทางการ อันทำให้คะแนน electoral votes ของเขาเพิ่มอีก ๑๖ จาก ๒๙๐ เป็น ๓๐๖ ขณะที่ฮิลลารี่ยังอยู่ที่ ๒๓๒

แต่ถ้าผลนับคะแนนใหม่ ฮิลลารี่กลับเป็นฝ่ายที่ได้คะแนนมากกว่าทั้งสามรัฐละก็ จะทำให้เธอมีคะแนนตัวแทนเลือกตั้งรวมกันอยู่ที่ ๒๗๘ และของทรั้มพ์ลดไปเหลือเพียง ๒๖๐ กลายเป็นประวัติการณ์ไม่เคยปรากฏมาก่อนได้

ค่ายหาเสียงของนางคลินตันได้แถลงสนับสนุนการนับคะแนนใหม่จากการร้องเรียนของนางสไตน์ในทั้งสามรัฐ

ขณะเขียนนี้ยังไม่ปรากฏข่าวว่ารัฐมิชิแกนตอบรับคำร้อง แต่อดีตผู้สมัครของพรรคกรีนมีเวลาถึงวันที่ ๑๓ มกราคมที่จะร้องค้านผลเลือกตั้ง ไม่เช่นนั้นนายทรั้มพ์ก็จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างทางการในวันที่ ๒๐ มกราคม

แน่ละ การนี้นายทรั้มพ์แสดงการคัดค้านการร้องเรียนให้นับคะแนนใหม่ครั้งนี้อย่างสาดเสีย เขาใช้ทวิตเตอร์โพสต์ข้อความโจมตีรัวๆ ไม่หยุดยั้งในช่วงตลอด ๑๒ ชั่วโมงเมื่อวันอาทิตย์ (๒๗ พ.ย.) ว่าเป็นพวก ‘ขี้แย’ และเป็น ‘กลโกง’ ที่น่าเศร้า

แล้วยังเลยเถิดไปถึงผลการนับคะแนนรายหัวของผู้ออกเสียงล่าสุด ที่พบว่าฮิลลารี่ได้คะแนนมากกว่าเขาถึงสองล้านกว่าเสียง

ตามรายงานของ The Cook Political Report แจ้งว่านางคลินตันได้คะแนนเสียงทั้งหมด ๖๔,๖๕๔,๔๘๓ หรือเท่ากับร้อยละ ๔๘.๒ ขณะที่นายทรั้มพ์ได้เพียง ๖๒,๔๑๘,๘๒๐ หรือ ๔๖.๕ เปอร์เซ็นต์ และผู้สมัครอื่นๆ รวมกันได้ ๗,๑๙๒,๐๓๖ คะแนน

แต่ทรั้มพ์ก็ยังไม่วายกล่าวหาว่าคะแนนที่มากกว่าของฮิลลารี่มาจาก “ผู้ออกเสียงอย่างผิดกฎหมาย” ในทวี้ตของเขาชิ้นหนึ่งเมื่อวันอาทิตย์บอกว่า

“นอกจากผมจะชนะคะแนนอีเล็คทอรัลโหวตแล้ว ผมยังชนะคะแนนพ้อพปูล่าร์โหวตด้วย ถ้าหากตัดคะแนน (ของฮิลลารี่) ที่ได้มาจากพวกออกเสียงอย่างผิดกฎหมายออกไป”

เขาอ้างว่ามีการโกงเลือกตั้งทำนองนี้ในการเลือกตั้งครั้งนี้ที่เวอร์จิเนีย นิวแฮมเชียร์ และแคลิฟอร์เนีย

แน่นอนอีกเช่นกัน ข้อกล่าวหาของทรั้มพ์เป็นการพูดเท็จที่คิดค้นขึ้นมาเองโดยไม่มีหลักฐานใดๆ สนับสนุน (สื่อต่างๆ ตรวจสอบแล้ว แม้แต่ทำเนียบขาวก็ยังต้องแถลงแก้ไขความสับสนว่าคำกล่าวหาของทรั้มพ์ไม่เป็นความจริง)

นายเจสัน มิลเลอร์ ผู้อำนวยการประชาสัมพันธ์ของทรั้มพ์ ไม่สามารถให้หลักฐานใดๆ สนับสนุนข้อกล่าวหาเช่นกันว่ามีผู้ออกเสียงผิดกฎหมายจริงหรือไม่ เขาเลี่ยงคำตอบไปโจมตีต่อการที่ทีมหาเสียงของคลินตันออกมาสนับสนุนการนับคะแนนใหม่แทน

“ผมคิดจริงๆ นะว่านี่เป็นเรื่องเหลวไหลที่ไปให้อ็อกซิเจ็นกับการนับคะแนนใหม่ ทั้งๆ ที่ไม่มีหวังใดๆ เลยที่จะเปลี่ยนผลการเลือกตั้งได้ การเลือกตั้งครั้งนี้ได้ตัดสินกันไปแล้ว (ผู้แพ้) ก็ยอมรับกันไปแล้ว”

อย่างไรก็ดีนายมิลเลอร์อ้างเอารายงานของ นสพ.วอชิงตันโพสต์ตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ.๒๐๑๔ ที่แสดงว่ามีผู้ลงทะเบียนเลือกตั้งจำนวน ๑๔ เปอร์เซ็นต์กว่า ที่ไม่ได้เป็นพลเมืองโดยถูกต้อง นอกนั้นเขาอ้างผลการวิจัยของ a Pew Research study from 2012 ว่ามีจำนวนผู้เลือกตั้งราว ๒๔ ล้านคน ที่ลงทะเบียนไม่ถูกต้องสมบูรณ์

เหล่านี้ แม้เป็นที่ยอมรับกันว่าการพลิกผันมาให้นางคลินตันกลับกลายเป็นผู้ชนะเลือกตั้งด้วยการนับคะแนนใหม่ในสามมลรัฐซึ่งคะแนนนิยมระหว่างสองพรรค ‘สูสี’ ต้องช่วงชิงกันอย่างหนัก นั้นเป็นไปได้ยากมาก





หากแต่ ‘ความไม่นิยม’ ในตัวทรั้มพ์ ซึ่งโนม ชอมสกี้ นักวิชาการฝ่ายซ้ายเก่าแก่ให้ความเห็นต่อสำนักข่าวอัลจาซีร่า ว่าเป็น “นักแสดง...ไม่มีน้ำใจ ไอ้บ้าคลั่งผิวบาง และเป็นปีศาจร้ายเสียยิ่งกว่าฮิลลารี่ คลินตัน”

ทำให้มีผู้มองหาหนทางที่จะไม่ให้เขาได้เข้าไปเป็นประธานาธิบดีคนที่ ๔๕ ของสหรัฐอเมริกา ให้จงได้

คี้ธ โอลเบอร์แมนน์ นักวิจารณ์การเมืองฝ่ายซ้ายเสรีนิยม กล่าวในรายการ ‘The Resistance’ ของเขาว่ามีหนทางเขี่ยดอแนลด์ ทรั้มพ์ ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีได้ด้วย มาตรา ๔ ในบทแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ ๒๕

ด้วยการให้คณะรัฐมนตรีของเขาร่วมกันยื่นคำร้องต่อสภาคองเกรสว่าตัวประธานาธิบดีไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เพราะเขามีพฤติกรรมไม่อยู่กับร่องกับรอย





นายโอลเบอร์แมนน์ยกตัวอย่างสิ่งที่ทรั้มพ์กระทำในขณะที่เป็นผู้ได้รับเลือกตั้ง ไม่ต่างอะไรกับเมื่อตอนหาเสียง ซึ่งจะทำให้เขาชอบ ‘น้อตหลุด’ บ่อยๆ แม้เมื่อเข้ารับตำแหน่งอย่างทางการแล้ว

เช่นนั้นทีมรัฐมนตรีของเขาสามารถยื่นคำร้องขอให้รองประธานาธิบดี ไม้ค์ เพ้นซ์ เข้าสวมหน้าที่ประธานาธิบดีชั่วคราวได้เลยทันที

(https://twitter.com/KeithOlbermann/status/802270682138771457)

ได้มีการเปรียบเปรยบุคคลิกของทรั้มพ์กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหาร ๒๕๕๗ ที่เข้าสวมตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาได้สองปีกว่า แล้วกล่าวกันว่าเขาชื่นมื่นเพลิดเพลินกับตำแหน่งนี้เสียจนอยากที่จะเป็นต่ออีกสัก ๕ ปี หรือ ๙ ปี แม้จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งแล้วก็ตาม

ความเป็นจริงนั้นประยุทธ์ห่างไกลไม่สามารถเทียบเคียงกับทรั้มพ์ได้ แม้แต่ในบุคคลิกน่า tieb และน่าขัน ก็ยังไม่เหมือนกัน คนหนึ่งชอบยักคิ้วหลิ่วตา อีกคนชอบจีบปากจีบคอ

(หมายเหตุ เรียบเรียงด้วยข้อมูลจาก https://www.yahoo.com/…/trump-aide-attacks-wisconsin-recoun…, http://www.ibtimes.com/can-hillary-clinton-still-win-electi…, http://www.al.com/…/2016/11/clinton_vs_trump_popular_vote_1…, http://www.hollywoodreporter.com/…/trump-clinton-recount-sa… และ http://www.aljazeera.com/…/upfront-special-noam-chomsky-tru…)

คลิปLive (สด)การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประชุมวาระพิเศษ อัญเชิญสมเด็จพระบรมฯ องค์รัชทายาท ขึ้นครองราชย์ เป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ 29 พ.ย. 2559 (Matichon Online)



https://www.facebook.com/MatichonOnline/videos/10155535866237729/

ooo




ooo

วิษณุ' แจง 4 ขั้นตอนอัญเชิญขึ้นทรงราชย์เป็นกษัตริย์ ปัดให้แต่งชุดขาว






ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์
29 Nov 2016


"วิษณุ" ชี้แจง 4 ขั้นตอนสำคัญ อัญเชิญขึ้นทรงราชย์ เป็นพระมหากษัตริย์ ชมคนไทยปฏิบัติแต่งกายไว้ทุกข์ดี เผยยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงไว้ทุกข์ ยันรัฐบาลไม่ได้ให้แต่งขาวหรือเทาตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด...

เมื่อวันที่ 29 พ.ย.59 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระบวนการอัญเชิญขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ ว่า กระบวนการตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 23 มี 4 ขั้นตอน 1. ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แจ้งเรื่องไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) 2. ประธาน สนช.แจ้งต่อที่ประชุมให้รับทราบ 3. ประธาน สนช.เข้าเฝ้าฯ เพื่อกราบบังคมทูลอัญเชิญขึ้นทรงราชย์ และ 4. เมื่อพระองค์ทรงรับ ประธาน สนช.จะแจ้งให้ประชาชนทราบ เมื่อ 4 ขั้นตอนนี้เสร็จสิ้นแล้ว จะต้องเรียกพระองค์ว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จนกว่าจะมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก จึงจะเรียกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีพระราชอำนาจเท่ากันทุกประการ ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา

เมื่อถามว่า เวลานี้สามารถเรียกสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ว่าในหลวง ได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ เพราะต้องรอให้ขั้นตอนต่างๆ แล้วเสร็จ

นายวิษณุ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากเดิมที่มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องการไว้ทุกข์ตั้งแต่เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม โดยให้เจ้าหน้าที่รัฐแต่งกายไว้ทุกข์ 1 ปี และเชิญชวนประชาชนปฏิบัติอย่างเดียวกับตามประเพณีนิยม วันนี้ที่ประชุม ครม.ได้นำประกาศดังกล่าวมาพิจารณา ซึ่งที่ประชุมชื่นชมประชาชนว่าปฏิบัติดีอยู่แล้ว และขอให้ปฏิบัติต่อไป และรัฐบาลไม่มีการกำหนดให้แต่งขาวหรือเทาตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด

เมื่อถามถึงการกำหนดวันสำคัญในปฏิทิน นายวิษณุ กล่าวว่า ขอให้รอผู้ที่เกี่ยวข้องได้หารือกัน จากนั้นจะประกาศให้ทราบ แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถประกาศใดๆ ทั้งนี้หากใครต้องการทำปฏิทิน ก็ขอให้ทำตามปกติก่อน ส่วนวันสำคัญที่ยังไม่ชัดเจนก็เว้นไว้ก่อน จนกว่าจะมีการประกาศค่อยไปเพิ่มเติม เช่นเดียวกับวันหยุดระหว่างปี ส่วนการเลื่อนพระยศของพระบรมวงศานุวงศ์นั้น ตามหลักการแล้วเคยสถาปนากันอย่างไร ก็ให้เป็นเช่นนั้น จนกว่าจะมีการสถาปนาใหม่ ดังนั้นตราบใดที่ยังไม่มีการสถาปนาใหม่ ก็ให้เรียกเหมือนเดิม ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนเองตามใจชอบ.


วรรคทอง "ลิขิต ธีรเวคิน" ว่าด้วย "วิกฤตที่เพิ่งสร้าง", "นายกฯ คนนอก" "เผด็จการรัฐสภา" และ "อัศวินม้าขาว" ผู้หายไป



https://www.facebook.com/matichonTV/videos/1184014875009974/

รำลึก "ลิขิต ธีรเวคิน" (2485-2559)
ย้อนวรรคทองราชบัณฑิตสาขารัฐศาสตร์
ว่าด้วย "วิกฤตที่เพิ่งสร้าง", "นายกฯ คนนอก" "เผด็จการรัฐสภา" และ "อัศวินม้าขาว" ผู้หายไป

"ทำไมต้องปฏิรูปองค์กรท้องถิ่น" โดยนายวัลลภ พริ้งพงษ์




https://www.youtube.com/watch?v=fwXORCijT7M

"ทำไมต้องปฏิรูปองค์กรท้องถิ่น" โดย วัลลภ พริ้งพงษ์

Published on Aug 24, 2016

"ทำไมต้องปฏิรูปองค์กรท้องถิ่น" โดยนายวัลลภ พริ้งพงษ์
รองประธานกรรมาธิการการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการปกครองท้องถิ่น สปท.


NDM LIVE พบกับ แมน-ไผ่ พูดคุยอัพเดทคดี พ.ร.บ.ประชามติ ของสมาชิก NDM พร้อมชวนคุยประเด็นต่อเนื่อง จากปรากฎการณ์คุณเบส ถึงเทอดศักดิ์เจียม วิเคราะห์ปฏิบัติการข่าวสารของรัฐบาลทหาร





NDM LIVE สัปดาห์นี้ พบกับ แมน-ไผ่ นำพูดคุยอัพเดทคดี พ.ร.บ.ประชามติ ของสมาชิก NDM พร้อมชวนคุยประเด็นต่อเนื่อง จากปรากฎการณ์คุณเบส ถึงเทอดศักดิ์เจียม วิเคราะห์ปฏิบัติการข่าวสารของรัฐบาลทหาร

พบกัน วันอาทิตย์ที่ 27 พ.ย. 2559 เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป

สามารถรับชมได้ทางเฟซบุกแฟนเพจ ขบวนการประชาธิปไตยใหม่




https://www.facebook.com/newdemocracymovement/videos/1289442174439490/


เสวนาชะตาคนจนปัจจุบัน 'ทรุดหนัก'





เสวนาชะตาคนจนปัจจุบัน 'ทรุดหนัก'


ที่มา https://dmcpost.blogspot.com/2016/11/blog-post_872.html


เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง ร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคม จัดวงเสวนาวิชาการหัวข้อ "ชะตากรรมคนจนในช่วงเปลี่ยนผ่าน" สะท้อนสถานการณ์คนจนในประเทศไทยในปัจจุบัน ซึ่งกำลังถูกรุกไล่จากนโยบายเพื่อประโยชน์ของนายทุน ทั้งในเมืองและชนบท เผยปัจจุบันยิ่งรุนแรงขึ้น เพราะไม่สามารถเรียกร้องได้ และมีการใช้อำนาจรัฐเข้ากดดันอย่างรุนแรงในหลายพื้นที่

โดยหนึ่งในสถานการณ์ที่กำลังเป็นปัญหา คือสถานการณ์ของเกษตรกรในชนบท ซึ่งนางสาวสุดใจ สุขสิงห์ ตัวแทนชาวนาจากอำเภอบางปะหัน จังหวัดอยุธยา ได้กล่าวถึงปัญหาของชาวนาจากสถานการณ์ราคาข้าวตกต่ำที่ผ่านมา ระบุว่าสืบเนื่องจากในปัจจุบัน การทำนามีต้นทุนที่สูงขี้น แต่ราคาข้าวในตลาดกลับไม่สัมพันธ์กับต้นทุน และเป็นราคาที่ไม่ช่วยการดำรงชีวิตได้จริงๆ ส่วนตัวจึงเห็นว่าควรมีนโยบายการแทรกแซงราคา ให้เหมาะสมกับต้นทุน เพราะที่ผ่านมาชาวนาหลายภาคส่วนต่างพยายามหลายวิธีการเพื่อลดต้นทุนแล้ว

ส่วนอีกปัญหาหนึ่งที่คนจนในชนบทกำลังประสบปัญหาในปัจจุบัน คือกรณีการพัฒนาทางอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนในด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งนางสาวสายรุ่ง คึขุนทด ตัวแทนจากกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด อำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งกำลังประสบผลกระทบจากปัญหารการทำเหมืองแร่และโรงไฟฟ้าถ่านหิน ระบุว่าหลายการณี การเข้ามาของอุตสาหกรรมในชุมชน ไม่เคยมีส่วนร่วมหรือการขอความคิดเห็นจากชุมชน และยิ่งในยุครัฐบาลทหารปัจจุบัน การแสดงออกเห็นแย้งหรือต่อต้าน ยิ่งเป็นไปได้ยาก และแนวทางของรัฐ ก็ะเน้นให้ประโยชน์แก่นายทุนมากกว่าคนจนอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากนี้ ตัวแทนจากชาวบ้านในหลายพื้นที่ ยังได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนถึงสถานการณ์ที่กำลังเผชิญในปัจจุบัน ซึ่งต่างมีลักษณะใกล้เคียงกัน คือการได้รับผลกระทบจากนโยบายรัฐ ที่เอื้อประโยชน์แก่นายทุนมากกว่าชุมชน เช่นการจัดทำเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่มีการเวนคืนไล่ที่ชาวบ้านในหลายพื้นที่ไปให้นายทุน การพัฒนาด้านอุตสาหกรรมหลายจังหวัด มีการใช้อำนาจรัฐเข้ากดดันชาวบ้าน โดยไม่สนใจความต้องการของชุมชนมากเท่าที่ควร


ooo

ชะตากรรมคนจนในช่วงเปลี่ยนผ่าน



https://www.youtube.com/watch?v=8Cc0FG4oRuA

Thai PBS News

Published on Nov 26, 2016

นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เสนอรัฐบาลทบทวนนโยบายแจกเงินช่วยเหลือสงเคราะห์คนจน เพราะเป็นมาตรการช่วยเหลือระยะสั้น และสร้างความเหลื่อมล้ำในสังคม

ooo

เสียงตัวแทนผู้เดือดร้อนจากนโยบาย...ที่ไม่เป็นธรรม



https://www.youtube.com/watch?v=NMTFovq81i4&spfreload=5

ไตรรัตน์ คู่ธรรมจักร

Published on Nov 28, 2016

กรณีที่สาธารณประโยชน์ดงคัดเค้า ทับที่อยู่อาศัยที่ทำกินของราษฎร งานชะตากรรมคนจนในช่วงเปลี่ยนผ่าน ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ของใคร? 27112559