ถ้านักข่าวถามเรื่อง ‘เดียร์’ ลาออก พปชร.และตำแหน่ง ส.ส. เพราะจะไปอยู่กับ ปชป. ตู่จะฉุนด้วยหรือเปล่าเหมือนที่ฉุนเมื่อถามว่าจะเคลียร์ใจ ห้ามศึกพีระพันธ์กับเฮียป้อมไหม ทั้งที่กรณีวทันยา (วงศ์โอภาสี) บุนนาค นี่หนักกว่าเรื่องพีระพันธุ์นะ
หนักตรงที่ต่อนี้ไปเครือเนชั้นจะใกล้ชิดประชาธิปัตย์มากกว่าพลังประชารัฐสายตู่ โดยเฉพาะเรื่องอายุความนายกฯ ๘ ปี หนักตรงที่ทำให้ ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกรัฐบาลได้ขึ้นชั้นเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อและเป็นองครักษ์คอยซื้อโอเลี้ยงให้ตู่เต็มที่
แล้วยังเห็นผลทันใด เมื่อ ‘สปริงนิวส์’ เจาะประเด็นขึ้นค่าไฟฟ้า ด้วยการสัมภาษณ์ ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ ที่ว่า “เป็นการผลักภาระให้ประชาชนจ่ายค่าไฟฟ้าแพง แต่ผู้ขายไฟฟ้ามีกำไรร่ำรวยมหาศาล” ทั้งที่ไฟฟ้าสำรองมีมากถึง ๕๔%
ที่ประชาชนหากินฝืดเคืองยังไม่พอ ตั้งแต่เดือนหน้า ค่าไฟขึ้นแน่จาก ๔ บาทถ้วนต่อหน่วย เป็น ๔.๗๒ บาท ขึ้นหน่วยละ ๗๕ สตางค์ไม่น้อยนะ ซ้ำบ้านไหนใช้ไฟเกิน ๑๕๐ หน่วย ต้องจ่ายค่าไฟเพิ่มเป็นปฏิภาค ที่ ๔.๙๖ บาทต่อหน่วย
เช่นนี้ การจะฟื้นเศรษฐกิจมหภาค อย่างที่สภาพัฒน์ฯ ตั้งความหวัง (ลมๆ แล้งๆ) ว่าไตรมาสหน้า (๓ และ ๔) ‘จีดีพี’ จะดีขึ้นฮวบฮาบจากขณะนี้ ซึ่งต่ำกว่าหวังอย่างสุดช็อคอยู่แล้ว จากประมาณการไว้ที่ ๓.๑% มาเหลือแค่ ๒.๕%
แล้วจะเป็นได้หรือ ๖ เดือนต่อไปอัตราเติบโตจีดีพีอยู่ที่ ๓.๒% และต้นปี ๖๖ ขึ้นอีกเป็น ๓.๗% ด้วยความคาดหมายว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้าประเทศในช่วงปลายปีนี้ถึง ๙.๕ ล้านคน นับแต่เปิดประเทศรอบใหม่เมื่อ ๑ กรกฎา แห่กันเข้ามาแล้ว ๓.๓ ล้าน
ท่ามกลางความหวังริบหรี่ เลขาฯ สภาพัฒน์ฯ ดนุชา พิชยนันท์ พูดถึงความพยายามเอาชนะภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งสูงมากที่ ๗.๕% มาเป็นเวลาสองเดือน ด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ๒๕ จุด เมื่อ ๑๐ สิงหา มาเป็น ๐.๗๕% คาดว่าจะทำให้เงินเฟ้อลดมาอยู่ที่ ๖.๓% ถึง ๖.๘%
ซึ่งก็ยังสูงอยู่ดี ไหนจะภาระหนี้ครัวเรือน ที่สูงเป็นอันดับ ๑๑ ของโลก เกือบๆ จะ ๙๐% ของจีดีพี แล้วถ้าขึ้นดอกเบี้ยแล้วยังเอาเงินเฟ้อไม่อยู่ ถ้าต่อไปต้องขึ้นอีก การบริโภคในประเทศก็จะหดตัว อันเป็นอีกปัจจัยทำให้ค่าจีดีพีลด
เวลานี้การเติบโตของจีดีพีไทยเชื่องช้าที่สุดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ สู้ฟิลิปปีนส์ มาเลเซีย เวียตนาม และอินโดนีเซีย ไม่ได้เลย ทั้งที่ขนาดเศรษฐกิจของไทยใหญ่เป็นอันดับสองของภูมิภาค สภาพอย่างนี้ลองนึกภาพนักมวยปล้ำ ตัวใหญ่มากล้มดัง