วันเสาร์, พฤศจิกายน 27, 2564

เฮโรอิน ๖ พันล้านบาทไทย แค่ทางผ่าน ซ้อมผู้ร่วมชุมนุมในห้องสอบสวน ไม่ดูวงจรปิดเอาเรื่องยาก “เคยชั่วอย่างไรก็ชั่วอยู่เหมือนเดิม” น่ะสิ

“คนชั่วก็มีวิธีการใหม่ๆ ออกมาอยู่เรื่อย คนเคยชั่วอย่างไรก็ชั่วอยู่เหมือนเดิม” ประโยคนี้หากโคว้ทเฉพาะถ้อยคำในตัวของมันเองละก็ ใครๆ ย่อมนึกว่าคนพูด “คุยกับตัวเอง” (หรา) ดัง อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล @AmaratJeab ถามเหน็บ

ประยุทธ์ จันทร์โอชา น่าจะเหลิงในอำนาจจนลืมตัวไปหมดแล้วว่า มาอย่างไรในเมื่อเรื่องที่พาดพิงเป็นความอัปยศของรัฐบาลชุดนี้ที่สืบทอดอำนาจจากการรัฐประหาร ไม่สามารถควบคุมหรือยับยั้งการค้ายาเสพติดข้ามชาติที่มีมากกว่ายุคใดๆ ได้

กรณีตำรวจไต้หวันจับกุมเฮโรอิน ๔๖๖.๘ กิโล ที่ส่งไปจากไทยโดยซ่อนอยู่ในสินค้าไม้แปรรูป มูลค่ากว่า ๖ พันล้านบาท เนื่องเพราะเป็นผงขาวคุณภาพดี ยี่ห้อสิงห์คู่เหยียบโลก ที่เลื่องชื่อลือชามาแต่ยุคปราบฝิ่น แล้วเฮโรอินเฟื่องฟูตามมา

ซ้ำร้ายในครั้งนี้พบผ้ายันต์สีแดง ‘ไอ้ไข่วัดเจดีย์’ เหน็บมากับห่อสินค้าที่ซ่อนข้างในมัดไม้แปรรูป ซึ่งเลขาธิการปราบยาเสพติด พยายามจะเบี่ยงว่าไม้เหล่านั้นส่งมาจากประเทศเพื่อนบ้านผ่านไทย แต่ประยุทธ์ก็ยอมรับในทีเมื่อถูกถามว่า “เจ้าหน้าที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง”

ประยุทธ์ตอบ “ใช่ ต้องลงโทษ เพียงแต่ต้องหาพยานหลักฐานมาให้ดี บางครั้งการพูดเพียงปากเปล่าก็ดำเนินการได้ยาก” เป็นตำรวจแบบไหนกัน ต้องรอให้มีคนแจ้งเบาะแส กระบวนการสืบสวนหาข่าวซึ่งตำรวจทั่วโลกเขาทำกัน ไม่รู้หรือไร

โอดว่า “งานหนักอยู่ที่กระทรวงกลาโหม กองกำลังป้องกันชายแดนเหนื่อยมากต้องดูในหลายๆ เรื่องทั้งการลักลอบสินค้าสินค้าเกษตร การลักลอบข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย น้ำมันเถื่อน หรือการค้ามนุษย์” ตำรวจชายแดนมีไว้จัดการพวกเยาวชนปฏิรูปเท่านั้นหรือ

เท่านี้ก็ชี้ชัดแล้วว่าตำรวจไทย ‘corrupted’ ไหนจะการใช้ความรุนแรงข่มเหงประชาชนที่เรียกร้องสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ต่าง ต่อวีธีการปกครองอย่างเผด็จการ อีแอบ เบื้องหลังประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์เป็นประมุข

ตัวอย่างมีให้เห็นและใช้เป็นหลักฐานสะสม เผื่อว่า หรือจนกว่าวันหนึ่งมีการฟ้องร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศสำเร็จ ล่าสุดกรณี อรรถสิทธิ์ นุสสะ ผู้ถูกควบคุมตัวเข้าไปในสถานีตำรวจนครบาลดินแดง ภายหลังร่วมงานรำลึกเยาวชนวัย ๑๕ ที่ถูกตำรวจยิงตาย

“มีคลิปที่ปรากฎว่าผมโดนทำร้ายร่างกายโดยเจ้าหน้าที่ตรงประตูด้านหลัง จากนั้นก็โดนพาเข้าไปในห้องสืบสวนด้านหลัง ช่วงนั้นประมาณ ๖ โมงถึง ๑ ทุ่ม ผมโดนซ้อมร่างกาย ซ้อมทรมาน” เป็นส่วนหนึ่งคำให้การของผู้เสียหาย แจ้งความดำเนินคดีตำรวจที่ทำร้ายตน

พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ให้ข้อเท็จจริงเบื้องหลังว่าจากรอยบาดแผลตามเนื้อตัวของอรรถสิทธิ์ “ทำให้เชื่อได้ว่ามีการกระทำที่ละเมิดกฎหมายและสิทธิมนุษยชน เป็นการทำร้ายร่างกายระหว่างการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่”

มูลนิธิฯ ได้ไปร้องเรียนต่อกรรมาธิการกฎหมายและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนฯ ไว้แล้ว “เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ดินแดง ก็ได้ไปให้ปากคำกับทางสภาผู้แทนราษฎรแล้ว และทุกคำที่เราได้ยินคือกำลังดำเนินการกันอยู่” เท่านั้น ไม่มีอะไรคืบหน้า

“เราก็อยากจะรู้ว่ามีกล้องวงจรปิดหรือมีการบันทึกภาพและเสียงระหว่างการสอบสวนหรือเปล่า เพื่อจะเป็นพยานหลักฐานยืนยันกับสภาพเนื้อตัวร่างกาย ที่เพิ่งเกิดขึ้นหลังจากออกจากห้องสืบสวนเวลาตีสาม...ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ยังถูกซ้อมทรมาน”

คำให้การชี้แจงของอรรถสิทธิ์ยังรวมถึงการเน้นย้ำให้นำภาพบันทึกจากกล้องวงจรปิดมาใช้ประกอบการพิจารณาคดี ซึ่งเรื่องอย่างนี้ควรจะเป็นส่วนหนึ่งของการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ โดยหลักเกณฑ์ความยุติธรรมสากลอยู่แล้ว  

มันสะท้อนย้อนกลับไปถึงพันธกรณีต่อกติกาสากล ซึ่งรัฐบาลไทยจำต้องเร่งรัดตรากฎหมายป้องกันการซ้อมทรมานอยู่ด้วย การกระทำรุนแรงต่อผู้ถูกจับกุมเยี่ยงนี้ ย่อมตอกย้ำว่ามีการประพฤติละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเจ้าพนักงานอยู่เนืองนิจ

ประจวบกับการรวมหัวของกลุ่มกระตุ้นวิถีทางเผด็จการ โดยอ้างอิงว่าเพื่อเชิดชูสถาบันกษัตริย์ ซึ่งกำลังเร่งเร้าให้ขับไล่องค์การสิทธิมนุษยชน แอมเนสตี้ อินเตอร์แน้ทชั่นแนล ออกไปจากประเทศไทย ไม่ให้เป็นก้างขวางพฤติกรรมข่มขู่ข่มเหงของรัฐบาลด้วยแล้ว

ความเป็นไทยในสายตาของชาวโลก ย่อมแจ่มแจ้งว่ากำลังแข่งขันชิงเด่นกับเกาหลีเหนือมากยิ่งขึ้นทุกวี่วัน

(https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1042304423103849&id=100019729020639, https://www.khaosod.co.th/newspaper/newspaper-front-page/news_6751833 และ https://www.matichon.co.th/politics/news_3059637)