เพราะตัวแทนไทยไป ‘ตอแหล’ ไว้บนเวทีประชุมนานาชาติอย่างนั้นอย่างนี้ ว่าผู้ปกครองไทยเคารพเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมของประชาชน แต่ความเป็นจริงที่ปฏิบัติมันตรงกันข้าม ยกตัวอย่างการชุมนุมเมื่อคืนก่อน (๑๙ พ.ย.)
“หน้างานมีรายงานว่า” Arsa.Plodaek@plodaek ทวี้ต “มีประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องการชุมนุม จอดรถติดแยกไฟแดง และถูก จนท.ยิงเข้าที่ศรีษะ (คาดว่าเป็นกระสุนยาง) ขณะนี้นำส่ง รพ.ราชวิถี” เขาเพิ่มเติมว่าเหตุเกิด “หลังจากกลุ่มทะลุแก๊สออกจากพื้นที่” ไปแล้ว
“ตำรวจยิงมาโดน แล้วก็เข้ามาค้นตัว + ถ่ายรูป ปชช.กลุ่มนี้ แต่ไม่ยอมช่วยเหลือผู้บาดเจ็บที่โดนกระสุนกลางกบาลอะไรเลย” เพื่อนๆ ต้องช่วยกันพาผู้บาดเจ็บไปโรงพยาบาล อย่างนี้ถึงทำให้ผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติต้องทวี้ตกระตุก
“#ประเทศไทย ผมมีความผิดหวังอย่างลุ่มลึก จากการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญตีตรา การเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ว่าเป็นความพยายามล้มล้างการปกครอง ในการดำเนินคดีต่อ ๓ แกนนำซึ่งออกมาชุมนุมสนับสนุนประชาธิปไตย
ผมขอเตือนให้ประเทศไทยอย่าได้ลืมว่า มีพันธะผูกพันในการปกป้องสิทธิของผู้ประท้วง ซึ่งแสดงออกในความเห็นต่างของพวกเขา” นายเคลม็องต์ วูล ซึ่งเป็น ‘Special Rapporteur’ หรือผู้เชี่ยวชาญพิเศษของสหประชาชาติคงจะระอาเหลือเกินแล้ว
การโกหกหน้าตาย ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ในข้อเท็จจริงแห่งความชั่วร้ายของหน่วยงานรัฐ ทั้งๆ ที่องค์การโลกได้รับข้อมูลกันอยู่เต็มมือ แสดงถึงความไร้ยางอายของปลัดกระทรวงต่างประเทศ ผู้ไปตอบข้อกังวลของหลายประเทศบนเวที UPR ต่อการใช้กฎหมายร้ายแรง ม.๑๑๒
ไม่เท่านั้น การดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทยแบบ ‘หน้าไหว้หลังหลอก’ ในปัญหาความเสื่อมทรามทางนิติรัฐในภูมิภาค เช่นการยึดอำนาจในพม่าและทหารปกครองด้วยวิธีการเบ็ดเสร็จ เข่นฆ่าทำร้ายฝ่ายประชาธิปไตยของหัวหน้ารัฐประหาร
การที่ ดอน ปรมัตถ์วินัย ลอบเดินทางไปพบมิน อ่องหล่าย พร้อมทั้งนำบรรณาการ ๑๗ ตันไปมอบให้ ส่วนหนึ่งเป็นวัคซีนโควิด (ซึ่งบักดอนปฏิเสธ แต่อธิบดีกรมควบคุมโรคยอมรับว่าจริง แต่คละยี่ห้อกันไป) เป็นการแหกคอกฝืนความเห็นร่วมของประเทศอาเซียนส่วนใหญ่
หลังสุดนี่จากที่ Sunai@sunaibkk เจ้าหน้าที่บริหารของฮิวแมนไร้ท์ว้อทช์ประเทศไทย เอามาเปิดโปงว่า “ต่ำตมไม่หยุด ไทยไม่ฟังเสียงท้วงติงของยูเอ็น และมิตรประเทศ แอบส่งกลับนักการเมืองหญิงสังกัดพรรคฝ่ายค้านกัมพูชา”
จับตัวขึ้นรถผ่านทางด่านอรัญประเทศ-ปอยเปตเมื่อเช้าวันที่ ๒๐ พ.ย. ทั้งๆ ที่นักการเมืองผู้นั้น “มีสถานะเป็นผู้ลี้ภัย” แสดงว่ารัฐบาลไทยเวลานี้ไม่ต่างอะไรกับ ‘แกะดำ’ ของประชาคมโลก เฉกเช่นอิหร่าน ซีเรีย และเกาหลีเหนือ
แต่อีกด้าน พลเมืองไทยกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่ออกมาเรียกร้องสิทธิเสียงของตนเอง กลับถูกทางการรัฐกลั่นแกล้งจับกุมคุมขัง ทั้งที่การชุมนุมสาธารณะอย่างปราศจากความรุนแรง เพียงแค่ปราศรัยตอกย้ำเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นแย้ง
ชุมชนนานาชาติกลับให้การสนับสนุน และยกย่องเชิดชูการต่อสู้ของผู้ที่ยืนหยัดในสิทธิมนุษยชาติเหล่านั้น วานนี้ (๒๐ พ.ย.) องค์การแอมเนสตี้ อินเตอร์แน้ทชั่นแนล ได้เปิดการรณรงค์ทั่วโลก โครงการ ‘เขียนเปลี่ยนโลก’ หรือ ‘Write for Rights’
โครงการนี้ชวนผู้สนับสนุนสิทธิมนุษยชนทั่วโลกเขียนจดหมายเปิดผนึกอุ้มชู “ผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือครอบครัว” ของพวกเขาทั้งหลาย ในปีที่แล้วมีจดหมาย รวมทั้งทวี้ตและลายเซ็นต์ร่วมการรณรงค์ถึง ๔.๕ ล้านฉบับ
กิจกรรมเช่นนี้กระทำต่อเนื่องกันมาเป็นปีที่ ๒๐ แล้ว และในปีนี้หนึ่งในผู้ถูกละเมิดสิทธิซึ่งโครงการระบุว่าเป็นหนึ่งในนักต่อสู้ไทยที่ควรอุ้มชู คือ ‘รุ้ง’ ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ซึ่ง “จากเด็กขี้อายและเงียบขรึม ได้กลายมาเป็นแกนนำในการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย”
เนื้อถ้อยของการรณรงค์บ่งว่า “เธออาจถูกจำคุกตลอดชีวิต เพียงเพราะใช้สิทธิในเสรีภาพการชุมนุมโดยสงบโดยเธอได้ออกมาคัดค้านการใช้กฎหมาย มาตรา ๑๑๒ ที่ถูกนำมาใช้เพื่อปิดปากผู้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล” ขณะนี้เธอถูกขังคุกทัณฑสถานหญิง
เมื่อไม่นานมานี้ไทยเกือบได้ชื่อว่าเป็นผู้ป่วยแห่งเอเซีย ขณะนี้กำลังจะย้อนรอยกลับไปหาสถานะนั้น ด้วยผลของการมีรัฐบาลนักยึดแย่ง แต่ไร้น้ำยาทางการบริหารมากว่า ๗ ปี ดูเหมือนอีกไม่ช้าอาจได้ฉายา ‘หมาหัวเน่า’ เพราะความเจ้าเล่ห์ด้วยก็ได้
(https://www.khaosod.co.th/politics/news_6741775, https://www.matichon.co.th/foreign/news_3050655 และ https://www.voicetv.co.th/read/0zIbf83hU)