เพ้อเก่งกว่าตู่ก็คงทั่น ‘วะสี’ นี่ละ ไทยจะเป็น ‘broker’ ผู้ประสานสันติภาพโลก ถ้ามีการจัดตั้ง ‘King Bhumibol International Peace Foundation’ เป็นยาน ‘ขับเคลื่อน’ มโนภาพ เนื่องจาก “พระเจ้าอยู่หัวภูมิพล (ทรง) เป็นบุคคลสันติภาพเหนือรางวัลโนเบล”
อะไรนี่ พอราชสีห์ไม่อยู่ พวก ‘Moo’*ระเริง พูดถึงพระเจ้าอยู่หัวในสัมปรายภพเป็นคุ้งเป็นแคว ไม่เผื่อแผ่ถึงพระเจ้าอยู่หัว ณ เจอมนี มั่ง “พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลก็ทรงเป็นประดุจเทพแห่งสันติภาพ ที่สามารถก่อความบันดาลใจในสันติภาพแก่โลกได้” หมอประเวศว่า
“งานของพระเจ้าอยู่หัว ร.๙ ทั้งลึกทั้งครอบคลุม คือลึกถึงโลกกระทัศน์ วิธีคิด จิตสำนึก สติปัญญา การพัฒนาเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล เมื่อสมดุลก็จะมีความสงบหรือสันติภาวะ” ปราชญ์แห่งความพอเพียงว่างั้น
จึงควรจัดให้มีการประชุมสันติภาพนานาชาติในประเทศไทยเป็นประจำ “เพื่อสนองพระราชดำรัส” ของ King Bhumibol ผ่านการจัดตั้งมูลนิธิดังกล่าวนั่น โดยมี “ผู้ที่เหมาะจะดำเนินการจัดตั้งมูลนิธินี้คือ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ร่วมกับ มูลนิธิสิริวัฒนภักดี โดยมีนายฐาปน สิริวัฒนภักดี เป็นตัวแทน”
เอาละสิ แล้วมูลนิธิเจียรวนนท์ล่ะ ไม่มีบ้างหรือ ไม่เป็นไรเดี๋ยวก็มาเอง แต่เบื้องต้นหมอประเวศแนะว่า ต้องเอานักวิชาการสันติภาพ ‘ที่มีชื่อเสียง’ จากสี่กลุ่มมาร่วมกับไทย ได้แก่กลุ่มอเมริกัน โลกอิสลาม จีน และรัสเซีย (โอ่ย ไม่มีเจอรมัน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศศ)
“นักวิชาการสันติภาพไทยที่เหมาะจะดำเนินการประชุมนี้คือ ศาสตราจารย์ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์” นอกนั้นยังมีนักสันติภาพอาวุโสไทยอีกหลายทั่น ได้แก่ พิชัย รัตนพล, มาร์ค ตามไท, โคทม อารียา, พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์, วันชัย วัฒนศัพท์, สุริชัย หวันแก้ว, พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ เป็นต้น”
การขับเคลื่อนนอกจากประชุมสันติภาพแล้ว ให้สร้าง ‘เครือข่ายสันติภาพและสุขภาพ’ (น่าจะเรียก ‘สันติสุขภาพ’ นะว่ามั้ย) ทำการก่อร่าง ‘จิตสำนึกใหม่’ ที่มีความเป็น ‘Wholeness’ หนึ่งเดียว เหตุจากอันที่มีอยู่ “เล็กและคับแคบ” ชอบทำอะไร ‘แยกส่วน’
เดี๋ยว เดี๋ยว อย่าเพิ่งเคลิ้ม มีอีก จัดการเอานักท่องเที่ยวจากทั่วโลก “ปีละหลายสิบล้านคน” ที่มาไทย ไปเรียนรู้เรื่องสันติภาพ ผ่าน “พิพิธภัณฑ์แสงสีเสียงที่น่าตื่นตาตื่นใจ” และใช้ ‘เทคโนโลยีดิจิทัล’ ผลิตแพล้ทฟอร์มเรียนรู้ร่วมกัน “ขนาดใหญ่ทั้งโลก”
อันจะทำให้เกิด ‘Collective wisdom’ แปลอย่างเราๆ ได้ว่าเป็นมวลรวมแห่งภูมิปัญญา แต่ทั่นด็อกเตอร์แกว่าคือ “ปัญญาร่วมขนาดใหญ่เพื่อสันติภาพ” แล้ว “นวัตกรรมต่างๆ จะเกิดขึ้นจากการเรียนรู้ร่วมกันเป็นเครือข่ายทั้งโลก” เสร็จแล้วท้ายที่สุดให้ทำไรรู้ไหม
“มอบรางวัล King Bhumibol for Peace ให้ดีกว่ารางวัลโนเบลสันติภาพ” โอย ไอเดียช่างประเสริฐเลิศล้นเหลือหลาย แล้วทั้งหมดที่คุณหมอผายออกมานี้ “เป็นการบูชาคนที่ควรบูชาดีที่สุด...อัจฉริยะกษัตริย์...มนุษย์สุดประเสริฐ”
เสียอย่างเดียว พวก ‘ฉันเกิดในรัชกาลที่ ๙’ ที่หมอประเวศบอกว่าเป็น “คนไทยส่วนใหญ่ที่มีชีวิตอยู่ขณะนี้” นั้นแบ่งแยกแตกขั้ว เป็นพวก ‘คนดีย์’ บ้าง ‘คนกล้า’ บ้าง ‘ไข่แม้ว’ บ้าง ‘สามกีบ’ บ้าง จะฆ่ากันตายอยู่ทุกวี่วัน ไม่เห็นวี่แวว ‘สันติภาพ’
*หมายเหตุ Moo คำแสลงที่ฝรั่งใช้เรียก โค (นันทวิสาล มั้ง) ตามนี้ https://www.youtube.com/watch?v=I4Q3YDezqcM และ (https://www.isranews.org/article/isranews-article/104330-prawet-12.html)