วันเสาร์, สิงหาคม 14, 2564

"ตำรวจเป็นลูกไล่ทหารมานานแล้ว" ทุกวันนี้เป็นสายเหี้ย มเหมือนกัน "‘ต้องเอาคืน’ ในมิติแห่งกฎหมายและหลักมนุษยธรรม"


ตำรวจเป็นลูกไล่ทหารมานานแล้ว สมัย เผ่า ศรียานนท์ พยายามจะแข่งด้วยการสะสมอาวุธหนัก แต่ก็พ่าย สฤษดิ์ ธนะรัชต์ (ใต้ลมปีกของกษัตริย์และซีไอเอ) ตำรวจยุคนี้ส่วนใหญ่ เกรงใจ สายปราบปราม ไม่ว่าจะเป็น คฝ. นครบาล หรือ ตชด.

น่าจะเพราะหน่วยเหี้ย มเหล่านั้นใกล้ชิด (หรือน่าสงสัย) เป็นสายใยกับราชวัลลภและ สนง.ทรัพย์สินฯ ซึ่งแน่นอนว่า หน่วยควบคุมฝูงชน ที่กำลัง เข่นและเค้นคอผู้ชุมนุมทุกวันนี้ “มี mindset แบบเดียวกับทหาร” ดัง อจ.พวงทอง ภวัครพันธุ์ รัฐศาสตร์จุฬาฯ ว่า

การสลายชุมนุมจึงเป็น ปฏิบัติการทางทหารในทางรุก (Offensive) ทุกครั้งไป ก่อให้เกิดการบาดเจ็บเลือดตกยางออก แม้ในฝ่ายเจ้าหน้าที่เองเพียงรายสองราย เพราะมีผู้ชุมนุมประเภทฮึดสู้ ไม่เพียงยิงหนังสติ๊ก บางคนใช้ไม่เทนนิสตีแก๊สน้ำตากลับไปหาฝ่ายตำรวจ


หรือ แรงมาแรงกลับ ดัง คนคนนี้ ชื่อก้อง เล่า “ตร.เจออาวุธชีวภาพของเด็กๆ ที่โยนลงมาจากสะพาน (คือ) น้ำปลาแดกผสมขี้เปียกครับ” เขาใส่ถุงพล้าสติกห่อเป็นก้อนกลมเหมาะมือขว้าง จนทำให้ “ตร.คฝ.ถอนกำลังกลับและให้น้องจีโน่ฉีดล้างตัวให้”

มิใย ส.ส.อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล พรรคก้าวไกล จะพยายามย้ำเตือนว่า “คฝ.มีทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยในการชุมนุม และยับยั้งเมื่อจะเกิดเหตุร้ายเท่านั้น ทุกวันนี้ คฝ....ทำตัวเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง เป็นฝ่ายยกระดับความรุนแรงด้วยการปะทะ วิ่งเข้าใส่ประชาชน”

นั่นคือยุทธวิธีอย่างทหารในการปราบพวกที่ออกมาเรียกร้องและต่อต้านรัฐบาลที่ไร้ประสิทธิภาพ พร้อมทั้งการส่งสายฝ่ายตำรวจปลอมตัวเข้าไปปะปนในหมู่ผู้ชุมนุม “ยั่วยุให้เกิดความรุนแรง อาจปนเข้ามา #เป็นตัวเปิดงาน แล้วรีบชิ่งหนี”


แม้แต่พวกก่อกวนสร้างสถานการณ์นั่นเป็นฝ่ายทหารส่งเข้าไปก็มี เรื่องนี้ยืนยันได้แม่นมั่นจาก ทนายแจมมี่Sasinan Thamnithinan @lawyerJammy ว่า “ลืมพูดในรายการจอมขวัญ น้อง คฝ.บอกว่ามีทหารแฝงอยู่ในม๊อบเยอะมากคับพี่

พวกผมเคยจับแล้วเค้าแสดงตัว (โชว์บัตร) เรียกตัวเองว่า หน่วยศิลปิน คือจะไว้ผมยาวเลย บางคนประบ่าก็มี และอยู่ปะปนกับผู้ชุมนุม” ดังนั้นผู้ชุมนุมต้องระวังระไว ดังที่ นะโมตัสสะ โพสต์เตือนเอาไว้ “สิ่งที่ม็อบควรระวัง...เข้ามาเพื่อสร้างสถานการณ์

...ให้สังเกตุ #การสวมหมวก (กันน็อค) เน้นใส่หูฟังตลอดเวลา...ถ้าเจอควรทำเช่นไร” แนะให้ “ข้อแรกขอไม่พูด (ละไว้ในฐานที่เข้าใจ) ข้อสอง ให้ช่วยกันจับกุม ดูบัตร ถ่ายรูปเก็บไว้ให้หมด (แล้ว) นำตัวส่งเจ้าหน้าที่ ถ่ายรูปเจ้าหน้าที่ที่รับตัวไป...ให้ชัดเจน” ด้วย

เพื่อว่า “ถ้าแอบปล่อยตัวผู้ต้องสงสัย จะได้ไล่เอาผิดได้” แสดงว่าสิ่งที่ตำรวจ คฝ.กระทำในการสลายชุมนุม ไม่ถูกต้องด้วยหลักกฎหมายเกือบทั้งนั้น แม้แต่การตั้งสิ่งกีดขวางต่างๆ บนถนน เช่น ตู้คอนเทนเนอร์ ถังขนส่งน้ำมันทางรถไฟ

ซึ่ง Yingcheep Atchanont แห่ง ไอลอว์เสนอความเห็นกรณีสลายชุมนุม ๑๓ สิงหา ว่า “เมื่อใช้ พรก.ฉุกเฉินฯ “การตั้งอะไรก็ตามขวางถนน” ไม่ให้ผู้คนเดินผ่านได้ กรณีนี้ “ไม่ให้เดินไปทางราบ ๑ จึงไม่มีกฎหมายใดรองรับ”

หรือแม้แต่ใช้ พรบ.ชุมนุมฯ ก็ “ไม่มีกฎหมายห้ามชุมนุมบนถนนวิภาวดี ไม่มีกฎหมายห้ามชุมนุมหน้าบ้านนายกฯ ไม่มีกฎหมายห้ามชุมนุมที่หน้าราบ ๑” เพราะ ราบ ๑ ไม่ใช่วังตามนิยามใน พรบ.ชุมนุมฯ ฉะนั้น “ถ้าจะเอาออกแล้วโดนทำร้าย คนทำร้ายก็มีความผิด”

รวมทั้งกรณี ลูกนัท ธนัตถ์ ธนากิจอำนวย ไฮโซกลับใจมาอยู่ข้างประชาชน ที่พาพวกไปร่วมชุมนุม ไล่ทรราชทะลุฟ้าแล้วโดนแท่งแก๊สน้ำตายิงเข้าบริเวณคิ้วข้างขวาแตกเลือดกบดวงตา ต้องนำส่งโรงพยาบาล แพทย์เร่งผ่าตัด เกรงกระทบดวงตาถึงบอด

เข้ารูปการณ์เดียวกับที่สมาชิกม็อบเยาวชนบางคนเคยโดนตำรวจตีด้วยไม้กระบอง ตาบอดไปข้างหนึ่งขณะนี้ เป็นการใช้กำลังเกินกว่าเหตุอย่างโหดร้าย ที่ประชาชนทั่วไปไม่ควรลืม แม้เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปนานปี

ต้องเอาคืนในมิติแห่งกฎหมายและหลักมนุษยธรรม ด้วยคดีอาญา และ ม.๑๕๗

(https://www.facebook.com/iLawClub/posts/10165757502285551, https://www.facebook.com/puangthong.r.pawakapan/posts/4510555768995147 และ https://www.facebook.com/waymagazine/posts/10157946541561456)