รัฐบาลตู่ถอย ‘เหมาเข่ง’ แล้ว แต่ก็คงไม่โดน ‘ชัตดาวน์’ จนกระทั่งซังเตเหมือนสมัย ‘ยิ่งลักษณ์’ เพราะม็อบยุคนี้ (เยาวชน) ไม่มีเส้นโตอย่าง กปปส. ที่ตำรวจหงอและศาลก็เป็นใจกับพวกนั่งร้าน กวักมือเรียกทหารมายึดอำนาจ
ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกข้อกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-๑๙ ฉบับที่ ๓๑ มายกเลิกฉบับ ๒๙ หลังจากที่ศาลแพ่งสั่งคุ้มครองชั่วคราวไม่ให้บังคับใช้ แต่ก็ยังไม่วายติ่งทางหนีทีไล่ไว้นิดหน่อย ว่า
“เมื่อปรากฏว่าในทางปฏิบัติยังไม่ได้บังคับใช้ ข้อกำหนดนั้นแก่กรณีใด และเจ้าหน้าที่อาจนำมาตรการทางกฎหมายอื่น มาบังคับใช้ได้ตามที่ศาลกล่าวถึง” จึงได้เกิดการกระชับพื้นที่สามเหลี่ยมดินแดง อย่างรุนแรงอีก เมื่อ ๑๐ สิงหา
เป็นการสลายชุมนุมด้วยรถฉีดน้ำแรงอัดสูง (รถจีโน) แก๊สน้ำตา และกระสุนยาง หลังจากที่ฝ่ายชุมนุมประกาศยุติแล้วทะยอยกันกลับบ้าน แต่ก็ยังมีมวลชนหลงเหลือหาญสู้กำลังตำรวจที่ดาหน้าเข้าหาเป็นฝูง การปะทะด้วยก้อนอิฐและประทัดจึงเกิดขึ้น
เวลาทุ่ม ๔๕ “The Reporters รายงานว่า เจ้าหน้าที่ได้ยิงแก๊สน้ำตาเข้ามาในซอยโรงเรียนราชประสงค์ ทำให้ชาวบ้านถูกลูกหลง อีกทั้งถูกเจ้าหน้าที่ลากไปกระทืบเพราะคิดว่าเป็นผู้ชุมนุม” จนสามทุ่มกว่า “สถานการณ์คลี่คลาย” และ “ตำรวจถอนกำลังออก”
ตามถ้อยคำในคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลแพ่ง “ห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชน ใช้อาวุธปืนยิงกระสุนยางใส่สื่อมวลชน และประชาชนที่ไม่ได้เป็นผู้กระทำการ...แต่กลับเกิดเหตุการณ์การใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุม”
เห็นได้ว่าตำรวจ ปฏิบัติการโดยไม่คำนึงถึงคำสั่งศาลแม้แต่น้อย “ปรากฎประชาชนเป็นจำนวนมากได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจครั้งนี้” ภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนจะยื่นคำร้องต่อศาลในวันนี้ให้ทำการไต่สวน
มีข้อคิดจากนักข่าวว้อยซ์ทีวี วีรนันท์ กัณหา ทวี้ตสั้นๆ ว่า “'ยุติชุมนุม' คือ จุดเริ่มต้นเหตุปะทะ” เหตุเดียวกันนี้เกิดที่สามเหลี่ยมดินแดงเช่นกัน เมื่อ ๗ สิงหา แกนนำและผู้ชุมนุมบาดเจ็บกันไปหลายคน เข้าลักษณะตำรวจปราบรุนแรงเกินกว่าเหตุ
แม้นว่าจะมีการเผาป้อมตำรวจบริเวณแยกสามเหลี่ยมดินแดง แต่นั่นเป็นผลิตผลของการที่กำลังตำรวจ ทั้งยิงแก๊สน้ำตาและฉีดน้ำแรงดันสูงเข้าใส่ฝูงชน ซึ่งชุมนุมกันอยู่จำนวนมากในบริเวณรวมพลคาร์ม็อบ เพื่อจะต่อไปยังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
เหตุรุนแรงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าในอาการบาดเจ็บฟกช้ำจากการกระทำของตำรวจคุมฝูงชน เกิดขึ้นอีกแห่งที่ศาลธัญบุรี เมื่อมีคณะราษฎร ๙ คนไปรายงานตัวตามหมายเรียกต่อการชุมนุมก่อนหน้า ทั้งคดีชุมนุม ๒๔ มิถุนายน และ ๒ สิงหาคม
“คฝ.ฉุดทั้ง ๙ คนไปทีละคน แต่ละคนมีรอยแผลฟกช้ำเต็มไปหมด” เป็นบันทึกของทนายความ หลังจากใช้ความพยายามอยู่นานขอเข้าเยี่ยมผู้ถูกควบคุมตัวไว้ใน ‘เรือนจำชั่วคราวรังสิต’ อันเต็มไปด้วยสภาพแออัด “มีคนอยู่ประมาณ ๑๐๐ คน
ที่นี่ไม่มีของกิน ของใช้ ไม่มีให้อะไรให้เลย” ทนายบันทึกตามที่ผู้ถูกควบคุมตัวเล่าให้ฟัง “แล้วพอเราจะจดข้อความเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ เจ้าหน้าที่เขาก็จะยึดกระดาษ ยึดปากกาเรา ไม่ให้เราจด” ซ้ำระหว่างคุย (กลางแจ้ง) กับลูกความ มีเจ้าหน้าที่ ๓-๔ คนวนเวียน
“พอเราจะฝากเงิน ฝากของ เขาก็ไม่ให้เราฝากที่นี่ เจ้าหน้าที่ให้ไปฝากที่เรือนจำอำเภอธัญบุรี และต้องรอให้ที่ธัญบุรีส่งของมาที่นี่” สั่งแล้วต้องรอข้ามวันถึงจะได้ของ “เจ้าหน้าที่บอกว่า เราเป็นคนแรกที่ได้มาเยี่ยมระบบนี้เลย” ทนายความเล่า
จะติดคุกโดยยังไม่ดำเนินคดีกันอีกนานแค่ไหน พวกเขาล้วนประกาศว่าจะยืนหยัดสู้ต่อไป เช่นสาส์นจากเพ็นกวิน “ขอให้พี่น้องทุกคนจงยึดมั่นในแนวทางการต่อสู้ของพวกเราต่อไป” หรือ “เรามาไกลเกินกลับไปนับหนึ่ง” ของอานนท์
๑๕ สิงหาคม วันนัดหมายครั้งต่อไป ถ้าตำรวจไม่ยอมลดระดับกลับคืนสู่สามัญสากล เยาวชนก็คงจะรักษาระดับการเรียกร้อง จากเบาไปหาหนัก ระหว่าง ‘ปลดแอก’ ไปถึง ‘ทะลุฟ้า’ ไม่น้อยกว่านี้ “ซ้ำมีมากกว่า”
(https://tlhr2014.com/archives/33299, https://www.facebook.com/HRLawyersAlliance/posts/200224642083793 และ https://www.facebook.com/thestandardth/posts/2819281045031436)