iLaw
23h ·
ความเรียง โควิด19 กับวัยเยาว์ที่สาบสูญ (ระดับอุดมศึกษา) โดย พริกป่น
เราจะต้องเจ็บปวดอีกเท่าไหร่กับระบบการปกครองนี้” เป็นคำถามที่เราเชื่อว่าเกิดขึ้นในหัวของใครหลายๆคน รวมถึงตัวเรา ระบบการศึกษาไม่ได้เพิ่งเริ่มทำร้ายเรา จากสถานการณ์ COVID-19 แต่มันทำร้ายเรามาโดยตลอด 20 ปี หรือทั้งชีวิตของการเป็นเยาวชนคนไทยคนหนึ่ง ระบบการศึกษาที่ถูกควบคุมและออกแบบโดยคสช. ปลูกฝัง ทำลายความฝัน และฆ่าเราทุกคนอย่างช้าๆ
ขณะที่กำลังเขียนบทความนี้อยู่ เรากำลังพ้นสภาพนักศึกษาจากคณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตของประเทศชาติ ระบบการศึกษาก็กำลังหยิบยื่นความสิ้นหวังแก่นักศึกษา เราไม่ได้ต้องการเพียงเอาชีวิตวัยรุ่นเราคืนมา แต่เราต้องการให้คุณเอาเผด็จการของคุณคืนไป
เราเข้ารับการศึกษาคณะจิตรกรรมฯครั้งแรกตอนปี 2562 และถูกให้ลาออกช่วงกำลังจะจบปี 1 ว่าด้วยเรื่องของการตรวจสอบที่ผิดพลาดของมหาวิทยาลัย ที่ปล่อยให้นักศึกษาเรียนและจ่ายค่าเทอม ทางมหาวิทยาลัยก็เชิญเราให้เขียนใบลาออก และมาสอบเข้าใหม่ เราเข้ารับการศึกษาคณะจิตรกรรมฯอีกครั้งในปี 2563 และถูกพ้นสภาพนักศึกษาอีกครั้ง ในปี 2564 การถูกให้ออกครั้งนี้ ทางมหาวิทยาลัยให้เหตุผลกับเราว่า เรามีผลการศึกษาไม่ผ่านระเบียบที่กำหนดไว้ เราจึงต้องหลุดจากระบบการศึกษา และการหลุดจากระบบการศึกษาครั้งนี้ มันอาจจะหมายถึง การที่เราจะต้องบอกลาระบบการศึกษาตลอดไป
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว บางท่านอาจจะมองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เป็นไปตามระเบียบ เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว แต่มันยุติธรรมกับเยาวชนคนหนึ่งจริงๆแล้วเหรอ ที่เราจะไม่มีสิทธิเข้าถึงการศึกษาเพียงเพราะว่าเราไม่ได้มาตรฐานตามระเบียบการศึกษาที่รัฐบาลคชส.กำหนดไว้ แล้วมันสมควรจริงๆแล้วใช่หรือไม่ ที่มหาวิทยาลัยจะมีสิทธิกำหนดชีวิตเรา ขูดรีดทุกอย่างจากนักศึกษาเพื่อมหาวิทยาลัย และทอดทิ้งคนที่ไม่ได้มาตรฐานไว้ข้างหลัง คนที่ถูกทอดทิ้งก็มีความฝัน แต่เราไม่ใช่หุ่นยนต์ เราคือคน คนเหมือนกันกับทุกคนที่ประสบความสำเร็จ มีความหวัง และถูกทำลายโดยระบบการศึกษา
ในช่วงปี 2563 ที่เราได้กลับเข้ามาเรียนคณะจิตรกรรมฯ ขณะนั้นสถานการณ์ทางการเมืองเข้มข้นมากขึ้นทุกวัน เราก็เป็นคนหนึ่งที่เริ่มสนใจเรื่องระบบอำนาจ หรือคนที่คณะจะเรียกว่า อินการเมือง หรือไม่ก็ พวกเผาบ้าน ในช่วงแรกๆของการซิ่วมาเรียน ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่เข้มข้นทุกวัน ภายในคณะก็เริ่มมีการทำศิลปะต่อต้านเผด็จการ ขบถต่อความคิดเก่าๆของคณะจิตรกรรมฯ ซึ่งเราก็เป็นคนหนึ่งที่ร่วมแสดงจุดยืนของเราชัดเจนภายในคณะมาโดยตลอด ซึ่งมันก็อาจจะส่งผลให้ อาจจะไปเป็นที่ไม่ชอบใจของใครหลายๆคนภายในคณะ รวมถึงการตัดสินงานศิลปะ ที่ล้าหลัง วิจารณ์มากไปกว่างานตรงหน้า แต่แอบแฝงไปด้วยอุดมการณ์ส่วนตัว
ช่วงปลายปี 2563 เราเข้าร่วมการชุมนุม และได้รับผลกระทบทางด้านจิตใจ จากความรุนแรงของฝั่งรัฐบาล เราเข้ารับรักษาในปี 2564 ซึ่งในระหว่างนั้น เราต้องเรียนศิลปะแบบออนไลน์ ตามมาตรการที่รัฐแจกจ่ายมาให้มหาวิทยาลัย ทุกอย่างเป็นไปด้วยความหดหู่และยากลำบาก นักศึกษาหลายๆคนไม่มีสิทธิเข้าถึงการเรียนออนไลน์ ด้วยหลายสาเหตุ ทั้งในเรื่องของอุปกรณ์ และการเปลี่ยนแปลงที่ทางมหาลัยวิทยาลัยก็ไม่เคยรับมือมาก่อน อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องของเศรษฐกิจที่เราทุกคนล้วนได้รับผลกระทบจากการบริหารที่เห็นแก่คนกลุ่มหนึ่งของรัฐบาล คสช. การเรียนออนไลน์จึงเป็นการเรียนที่ไม่อาจมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับการได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัย อีกทั้งผลกระทบในเรื่องสภาพจิตใจ ที่ได้รับมาจากความเป็นอยู่ของชีวิตที่สิ้นหวังมากขึ้นทุกวัน เราไม่สามารถผลิตงานได้ท่ามกลางความล้าหลังของคณะจิตรกรรม ความล้าหลังของการศึกษา ซ้ำยังหวาดระแวงต่อเหตุการณ์คุกคามประชาชน สุดท้ายมันก็ไปจบตรงที่ ภาคเรียนที่ผ่านมา จะเป็นภาคเรียนสุดท้ายที่เราจะได้เรียน เพราะเราไม่สามารถทำได้ตามมาตรฐานที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้ จึงต้องพ้นสภาพนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร
เราเคยเป็นเด็กคนหนึ่งที่เติบโตมาตามขนบของประเทศนี้ พยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จจอมปลอม หรือไม่ก็พยายามเพื่อระบบอุปถัมภ์ แล้ววันหนึ่งเราก็พังทลายซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับระบบการศึกษาภายใต้การปกครองของรัฐบาลคสช. โดนหลอกลวงมากมายจากการศึกษา เติบโตมาในประเทศที่จำกัดและละเมิดสิทธิผ่านทางกฎหมาย สร้างกฎเกณฑ์เพื่อควบคุมและกำจัดคนที่แตกต่าง อีกคำถามที่เรามักจะถามตัวเอง หรือไม่ก็พูดกับเพื่อนๆตลอด ถ้ารัฐประหารไม่เกิดขึ้น หรือประเทศเราไม่ได้ปกครองด้วยระบอบนี้ เราจะทำอะไรอยู่ เราก็อาจจะเป็นเด็กคนหนึ่งที่เติบโตอย่างเป็นตัวของตัวเอง ได้รับการศึกษา ได้เรียนฟรี มีสวัสดิการรองรับ ได้ใช้ชีวิตตามประสาวัยรุ่นคนหนึ่ง มีความรัก มีความฝัน ไม่ต้องกังวลต่อความมอยุติธรรมในประเทศ ไม่ต้องกลัวถูกคุมคาม มีชีวิตเยี่ยงมนุษย์คนหนึ่ง รับรู้ถึงความเป็นมนุษย์ เป็นประชาชนคนหนึ่งที่ไม่มีใครมีสิทธิเหนือหัว
สิ่งที่ประเทศนี้พรากไปจากเยาวชน คือทั้งชีวิตของพวกเรา รัฐบาลไม่อาจเติมเต็มความหวังของประชาชนได้ พวกเราทุกคนเพียงปรารถนาที่จะมีชีวิตเยี่ยงมนุษย์คนหนึ่ง มีคุณภาพชีวิตที่ดีและไม่ถูกละเมิดสิทธิ แต่สิ่งที่ประเทศนี้มอบให้แก่เยาวชนที่เติบโตมาในยุคของการรัฐประหาร คือการพรากความเป็นมนุษย์คนหนึ่งไปจากเรา คุณให้เราใช้ชีวิตตามหลักหน้าที่พลเมือง เพื่อที่จะได้ควบคุมเราประหนึ่งว่าเราเป็นหุ่นยนต์ เป็นทาส เป็นเครื่องมือของรัฐบาล และเมื่อเรามาทวงอำนาจของเราคืน รัฐบาลก็ปฏิบัติต่อเราราวกับว่าเราเป็นอาชญากร ทั้งที่รัฐบาลคสช.มากกว่าที่คืออาชญากร ปล้นอำนาจ ไม่เคยนำมาซึ่งความสงบสุข แต่นำมาซึ่งความฉิบหาย มีแต่ขูดรีดประชาชน ที่ความฝันเราไม่อาจเป็นจริง เพราะพวกเขาขโมยมันไปตั้งแต่เข้ามารัฐประหาร
ชีวิตวัยรุ่นของเรามันไม่ได้เพิ่งมาถูกพรากไป แต่พวกเขาขโมยทุกอย่างไปจากประชาชน ในวันหนี่งเราอาจจะได้กลับมาใช้ชีวิตปกติ แต่มันไม่อาจยั่งยืน ถ้าเผด็จการยังไม่หมดไป เราจึงไม่ได้ต้องการเพียงแค่เราชีวิตวัยรุ่นเราคืนมา แต่ต้องการให้คุณเอาเผด็จการของคุณคืนไป