Noi Thamsathien
May 17 at 10:49 AM ·
โพสต์นี้ยาว
พูดถึงเรื่องความทรงจำในช่วงการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง เรารู้สึกว่ามีรายละเอียดและมีเรื่องราวเยอะมาก และจนถึงวันนี้เรื่องราวมันก็ยังไม่จบ
ในท่ามกลางเรื่องราวต่างๆ มีเรื่องเล็กๆที่เรายังจำได้ค้างคาใจ ก็คือความตายของยามสองคนที่ถูกฆ่าทิ้งแม่น้ำ
.
คือตอนนั้นเราไม่ได้เป็นนักข่าว เราทำงานให้องค์กรเอ็นจีโอที่ทำงานสนับสนุนสื่อและที่ทำงานดันอยู่ตึกมณียาที่ชิดลม เราเป็นพวกชอบทำงานจนดึกดื่น ดังนั้นแน่นอนว่าทุกค่ำคืนที่เรากลับบ้านเป็นคนสุดท้ายของตึกนั้น เราจะต้องผ่านและเจอคนเสื้อแดงที่ชุมนุมที่ราชประสงค์และเป็นต้องแวะไปฟังพวกเขาบ้าง ตอนดึกๆคนขึ้นพูดมักจะเป็นณัฐวุฒิ เพราะเขามักจะเก็บคนพูดดีไว้คนท้ายๆ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจอย่างหนึ่ง จากที่เราไปสังเกตการณ์การชุมนุมกปปส. และไปดูการชุมนุมคนเสื้อแดง มันแตกต่างกันราวกับหน้ามือและหลังมือ สิ่งหนึ่งที่คุณจะเห็นได้ชัดคือ ในซีกกกปส.มีนักพูดฝีปากดีล้นหลาม อีเว้นท์ดี การดูแลความปลอดภัยเยี่ยม แต่คนเสื้อแดงมีความคร่าวมากกว่ากันเยอะ รวมถึงบนเวที เวลาที่ณัฐวุฒิขึ้นพูด มันจึงเป็นเวลาที่คนเสื้อแดงในที่ชุมนุมจะเงี่ยหูฟังเพราะมันเร้าใจได้เนื้อ และเรายังจำวันนั้นได้ วันที่เขาพูดว่าเงยหน้าดูฟ้าก็เห็นแต่ความมืดมิด ก้มหน้าดูดินก็เห็นแต่เงาหัวตัวเอง คำพูดอาจไม่เป๊ะแต่เนื้อหาประมาณนี้ คือคนเสื้อแดงในวันนั้นรู้แล้วว่าตัวเองถูกเทจากอีลีทในวันที่พวกเขาไม่ได้เป็นพลเมืองเชื่องเชื่ออีกต่อไป
.
อันที่จริงการ “เกิด” ของคนเสื้อแดงมันเป็นเรื่องน่าทึ่งมาก และเรารู้ว่าเพื่อนๆนักข่าวจำนวนมากรู้สึก้หมือนเจอขุมทรัพย์ให้เข้าไปค้นหา ความรู้สึกมันก็เหมือนกับสองปีมานี้ที่เราถามตัวเองว่าเราไปอยู่ที่ไหนมาจึงไม่เห็นการเติบโตของคนรุ่นใหม่ที่ออกมาเรียกร้องปชต. พวกเขามาจากไหน มาได้ยังไง กับเสื้อแดงในตอนนั้นก็เช่นกัน เรามีเพื่อนนักข่าวทั้งไทยและตปท.ที่พยายามทำความรู้จักคนเสื้อแดง ตามไปสัมภาษณ์ เก็บคลิป ถ่ายรูป ฯลฯทุกวัน หลายคนไปตจว.ไปตามมบ.เพื่อไปค้นหาตัวตนความคิดของพวกเขา ไม่ว่าจะเบลอหรือจะชัดแต่นี่คือปรากฎการณ์ใหม่ในตอนนั้นที่คนทำสื่อมันต้องการทำความเข้าใจหนักมาก กับกปปส.คุณไม่ต้องทำความรู้จักพวกเขา เพราะพวกเขาอธิบายตัวเองได้ดีมีพท.สื่อ พวกเขารู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร คุณแค่ไปดูเนื้อหาข้อเรียกร้องของเขา แต่กับคนเสื้อแดงเป็นอีกเรื่อง
.
มันมีช่วงหนึ่งที่เราสังเกตเห็นการรายงานของเพื่อนๆสื่อว่ามีข้อจำกัด ตอนนั้นเราอึดอัดใจ เคสที่อึดอัดมากที่สุดคือเคสการ์ดสองคนที่ถูกฆ่าทิ้งน้ำ มือเท้าถูกพันธนาการ มันไม่มีข่าวหรือไม่ก็ไม่มีรายละเอียด เรารู้แต่ว่าศพพวกเขาอยู่ที่วัดลาดพร้าว สัญชาติญาณความอยากรู้เข้าสิง เราก็ตามไปดู อยากจะรู้แน่ๆว่า ข่าวนี้มันจริงหรือและมันคืออะไร มีคนตายแต่ทำไมมีข่าวสั้นกุด
.
ไปถึงวัดลาดพร้าว เงียบกริบ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราไปคุยกับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เขาบอกว่าวัดที่เราเห็นว่าเงียบนั้นอันที่จริงมีทหารไปอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เราก็เลยเดินลัดเลาะเข้าตามมุมต่างๆในวัด จริงดังว่า เจอทหารเพียบ ไปตั้งกำลังกันอยู่ในวัดเตรียมออกปฏิบัติการ ทหารนั้นมาจากตจว.เพื่องานนั้นโดยเฉพาะ เรายังไปคุยกับพวกเขาบางคน แต่จำไม่ได้แล้วว่าคุยอะไร
.
ที่ศาลาสวดศพ เราเจอผู้คนกลุ่มเล็กๆสองกลุ่ม เตรียมงานค่ำ เจอน้องนักข่าวประชาไท แต่ไม่มีนักข่าวคนไหนได้คุยกับญาติ ศพที่ไปตั้งสวดที่วัดเหลือศพเดียว เพราะคนที่เป็นคนอุดรนั้นมีญาติมารับไปทำพิธีที่อุดรแล้ว ที่เหลือคือคนแพร่ ต่อมามีคนบอกเราว่า ผู้ชายหนึ่งในนั้นเป็นพี่ชายของคนตาย แต่เขาไม่พูดกับนักข่าว เราก็เลยใช้มุขไปทักแสดงตัวเป็นคนเหนือเขาก็เลยพูดกับเรา
.
พี่ชายคนตายบอกว่า เขายังไม่ได้เห็นศพน้องเขาเลย ตายไปหลายวันแล้วถ้าจะนับวันที่ลงน้ำแต่หมอไม่เปิดศพให้ดู กว่าจะขอเอาศพออกมาได้ก็ไม่ง่าย เขาบอกว่า ถ้านานขนาดนี้ ต่อให้เปิดให้ดูก็คงจะยากที่จะเห็นร่องรอยอะไร เพราะศพก็แช่อยู่ในน้ำนานไม่น้อย แล่วบ่นว่าอยากเอาศพกลับบ้านไปทำพิธีที่บ้านมากกว่า เพราะหวาดกลัว ทำไมล่ะ “กรุงเตบมันบ่ะไจ่ตี่ของเฮา” เขาว่า เราฟังแล้วอึ้ง เขาบอกว่าอยากกลับบ้านเร็วๆเพราะอยู่เมืองกรุงไม่รู้จักใคร มีแต่คนไปกดดัน แต่ว่าไม่มีเงินพอและเขายังอยากให้มีคนชันสูตรศพน้อง เขาถูกผลักดันให้จัดงานศพเสียที่วัดลาดพร้าวและให้เผาโดยเร็ว ผู้หญิงอีกคนที่รู้จักคนตายเพราะอยู่บ้านใกล้กันเล่าให้เราฟังว่า ภรรยาคนตายไม่คุยกับญาติสามีตั้งแต่ที่มีทหารเข้าไปพูดคุยด้วย
.
ในคืนนั้นเราได้ยินว่า พี่ชายคนตายเอาศพน้องของเขากลับบ้านจนได้ มีคนช่วยเหลือสมทบเงินค่ารถให้ เราไม่ได้ยินเรื่องราวของเขาอีก ส่วนคนที่เป็นคนอุดรยิ่งไม่รู้เลย นี่เป็นสองศพที่ตายก่อนสลายการชุมนุม
.
เราจำไม่ได้ว่าสื่อต่างๆเล่นข่าวนี้ไหม แต่รู้สึกว่านอกจากประชาไทไม่มีสื่อตาม อาจเป็นเพราะเรื่องราวต่างๆมันมากมายจนรับมือไม่ไหว เรื่องสองศพในแม่น้ำกับข่าวที่หายไปทำให้เราโทรไปบ่นกับเพื่อนที่ทำงานไอซีซีทีวี แล้วก็บอกว่า นี่ถ้ามีนักข่าวอยากทำข่าวเมืองไทยและอยากให้เราช่วย ขอให้บอก เรายินดีไปช่วยฟรีๆ แล้วเราก็ได้ช่วยสมใจ แต่งานมันไม่ออกอยู่ดี เพราะนักข่าวตปท.ที่เราไปช่วย บินเข้ามาและไม่มีแบคกราวด์เรื่องเมืองไทยเลย ส่วนเพื่อนนักข่าวในเมืองไทย ที่รู้จักและตามเรื่องทุกฝีก้าวก็เป็นนักข่าวอิสระซะอีก
.
แต่ถ้าสนใจเราแนะนำให้ไปหาอ่านงานนักข่าวตปท.หลายๆคน แน่นอนที่สุดคนที่เกาะติดมากคือนิค นอสติชช์ ตอนนั้นเรายังเจอช่างภาพเยอรมันคนหนึ่งที่บอกเราว่าเก็บภาพไว้เยอะมากเพราะตามไปถ่ายทุกวัน เขาเล่าให้เราฟังด้วยว่า มีเพื่อนนักข่าวอิสระผู้หญิงที่บ้าดีเดือดออกไปเดินหน้าวัดปทุมทั้งๆที่รู้ว่ามีคนดักยิง เรื่องราวพวกนี้เราจำได้ว่าตอนนั้นคิดว่าแปะไว้ก่อนแล้วจะตามไปคุยต่อ แต่เรื่องอื่นๆพัวพันเข้ามาจนลืมไปเหมือนกับอีกหลายเรื่องมากมาย เดี๋ยวนี้ช่างภาพคนนั้นยังอยู่เมืองไทยไหม ชื่ออะไรเรายังจำไม่ได้เลย รู้แต่ว่าฮีมีออฟฟิสอยู่สุขุมวิทซอยต้นๆนี่เอง เพราะเราตามไปคุยด้วยในฐานะผู้เห็นเหตุการณ์การสลายการชุมนุม
.
วันนี้ในคลับเฮาส์มีคนพูดเรื่องคนไปยืนสูบบุหรี่ที่ระเบียงและถูกสไนเปอร์ส่องดับ เรื่องนี้ยิ่งมีรายละเอียดน่าระทึก ตอนนั้นเราไปทำงานที่ปัตตานี เพิ่งกลับมากรุงเทพฯพบว่าเข้าบ้านที่ซอยรางน้ำไม่ได้เพราะเป็นดินแดนสไนเปอร์ ดราม่าเยอะมากเพราะกระสุนที่ลอยลงมาจากคอนโดที่กำลังก่อสร้างแห่งหนึ่ง ตอนนั้นนึกในใจว่าใครจะอยากอยู่คอนโดนี้ฟระ แต่ว่าเราคิดผิด คอนโดขายดี
.
เรื่องราวของคนเสื้อแดงมันเริ่มต้นอย่างน่าตื่นเต้น คือในความรู้สึกนักข่าวไม่ง่ายที่คุณจะได้เห็นคนที่เรียกกันว่าชาวบ้านลุกขึ้นมาชุมนุมเรียกร้องสิทธิทางการเมืองจำนวนมากเช่นนี้ การตื่นทางการเมืองของพวกเขามันเป็นเหัวข้อให้คนศึกษา เส้นทางของพวกเขา เหตุการณ์ที่สามเหลี่ยมดินแดง ซอยรางน้ำ ถนนราชปรารภ ถนนราชดำเนิน ราชประสงค์ และที่อื่นๆ เราเคยรอดูสารคดีของคนทำสารคดีคนหนึ่งที่เรารู้ว่าเก็บฟุตไว้เยอะมาก แต่ทว่าก็ยังไม่ได้เห็นสักที มันเหมือนกับว่า การสลายการชุมนุมและการรปห.ที่ตามมาได้กลบเรื่องราวคนเสื้อแดงลงดินไป แต่ว่าการชุมนุมของคนรุ่นใหม่ในศักราชนี้กลายเป็นการชุบชีวิตให้ #คนเสื้อแดง และก็มีการพูดเรื่องนี้กันอีกครั้ง