วันอาทิตย์, มีนาคม 03, 2562

วิสาหกิจทหารคุม การบินไทย อสมท. ขาดทุนกันอ่วม

วันนี้ ๓ มีนา หญิงหน่อย เพื่อไทย ไปหาเสียงที่ลำพูน พูดถึง ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กำลังเตรียมออกพื้นที่หาเสียงให้พรรคพลังประชารัฐ เป็นฤกษ์งามยามดีขอต้อนรับ แต่จะให้ดีกว่านั้นควรที่จะมาร่วมการดีเบทเสียที

ซึ่งคงไม่มีทางเป็นได้ ในเมื่อคนอย่างประยุทธ์เคยแต่พูดเรื่อยเปื่อย ไม่เช่นนั้นได้แต่สั่งอย่างโน้นอย่างนี้ มีหรือที่จะมีน้ำอดน้ำทนพอฟังเหตุฟังผลของคนอื่นได้ กำหนดการของประยุทธ์จึงมีแต่ปราศรัยลูกเดียว ตั้งแต่ ๑๐ มีนาเป็นต้นไป

ประเดิมที่โคราชแห่งแรก จากนั้นจึงขยับต่อไปที่เชียงรายวันที่ ๑๖ มีนา และนราธิวาสวันที่ ๑๗ มีนา ปิดท้ายกรุงเทพฯ ๒๒ มีนา คาดว่าจะมีการเกณฑ์ชาวบ้านไปนั่งฟังและให้หน้าม้าค่อยเป่าปากส่งเสียงเชียร์เป็นธรรมดา

แต่เนื้อหาที่จะพูด ประยุทธ์น่าจะไม่มีน้ำยาเท่าไรนัก คงได้แต่พล่ามลมๆ แล้งๆ กระแนะกระแหนอดีตนายกฯ รัฐบาลก่อนอย่างเคย เนื่องเพราะ หมดแล้ว ซึ่งราคาคุย ไม่มีอะไรเหลือให้อิงแอบเอามาอ้างได้อีก

โดยเฉพาะในเรื่องเศรษฐกิจ จากที่มีรายงานของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ทั้งที่อ้างว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวสูงขึ้น “ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งที่กลับมาขยายตัวสูงสุดในรอบ ๕ เดือน ที่ระดับ ๑๗.%

แต่ขณะเดียวกัน “ในเดือน ม.ค. ๒๕๖๒ การส่งออกติดลบ ๕.% โดยมีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ ๑.๘๙ หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ” ซึ่งก็โทษตลาดการค้าโลกที่ยังหดตัวบ้าง สงครามการค้าและการตั้งกำแพงภาษีบ้างอีกตามเคย


ทั้งๆ ที่คลังอ้างว่าตัวเลขการท่องเที่ยวอันเป็นปัจจัยหลักในการเติบโตเศรษฐกิจประเทศไทย ดีขึ้นในช่วงมกราคมที่ผ่านมา คือมีนักท่องเที่ยวจากจีนมากขึ้นราว ๑๐.๓% แต่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในต้นปีนี้ถึงจะดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ต่ำกว่าที่รัฐบาล คสช. คาดการณ์เอาไว้ คือไม่ถึง ๔ เปอร์เซ็นต์
 
ไหนจะผลประกอบการของการบินไทยที่รัฐบาล คสช. ยินดีเข้าไปอุ้มไว้บนบ่าประชากร ปีที่ผ่านมายังขาดทุนอยู่ตามเคย เมื่อเดือนมกรา “กลุ่มบริษัทฯ ขาดทุนสุทธิ ๑๑,๕๖๙ ล้านบาท คิดเป็นขาดทุนต่อหุ้น ๕.๓๓ บาท” โดยที่ปีก่อนนั้นก็ขาดทุน ๒,๑๐๐ ล้านบาทอยู่แล้ว


เป็นที่น่าประจานอย่างยิ่งต่อความไร้ประสิทธิภาพของวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่ต้องพึ่งงบประมาณจากรัฐอย่างมหาศาลเช่นนี้ ผลประกอบการเสื่อมทรามลงต่อเนื่องทุกปีทั้งๆ ที่มีพวกทหารระดับนายพลที่ คสช.ส่งเข้าไปนั้งคุมในคณะกรรมการอำนวยการ กินเงินเดือนกันเป็นเรือนแสน

แม้แต่องค์การสื่อสารมวลชนที่กำลังอื้อฉาวจากการสั่งปลดผู้ดำเนินรายการ หลังจากปรากฏผลการสัมภาษณ์เยาวชนนับร้อยคนที่เข้าร่วมรายการดีเบทแบบเกมโชว์ ออกมาว่าส่วนใหญ่กว่า ๙๐ เปอร์เซ็นต์ไม่เห็นด้วยกับการครอบงำและวางกับดักสืบทอดอำนาจของ คสช.
 
คสช.ตั้งพลเอกนายหนึ่งเข้าไปเป็นประธานบอร์ด อสมท. ที่ส่อถึงการบริหารจัดการอย่างกดขี่ลำเอียง กับเรื่องเนื้อหารายการอันเกิดจากการแสดงความเห็นอย่างบริสุทธิ์ เป็นเหตุให้ชาวบ้านก่นด่ากันทั้งเมืองอยู่ขณะนี้

แล้วยังมีหน้ามาแก้ตัวอีกว่า คำสั่งให้ผู้จัดรายการยุติหน้าที่ทันใดนั้นไม่ใช่การสั่งถอด เป็นเพียงการเปลี่ยนตัวพิธีกร นำเอาคนที่มีความรอบรู้ทางด้านเศรษฐกิจดีกว่ามาแทนที่เท่านั้น การอ้างอย่างนี้ถ้าเป็นในประเทศอารยะตะวันตก จะต้องถูกสื่อตอกกลับใส่หน้าว่า บีเอสไปแล้ว

มิหนำซ้ำถ้าไปดูผลประกอบการของ อสมท.ในช่วง ๕ ปีที่ผ่านมาภายใต้ คสช. ก็ไม่พ้นได้เห็นตัวเลขตกต่ำต่อเนื่องมาตลอดเช่นกัน ข้อความทวี้ตของ Isriya Paireepairit @markpeak แจงกราฟแสดงรายได้ของ #อสมท ๗ ปีหลังสุด ชัดว่า

รายได้รวมตกฮวบ, ๓ ปีหลังสุดขาดทุน และรายได้จากทีวีจะลดลงน้อยกว่าวิทยุแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป อสมท จะถือเป็นบริษัทวิทยุมากกว่าทีวีด้วยซ้ำ ที่เหลืออ่านใน https://brandinside.asia/mcot-financial-2561/ 

ครั้นไปเทียบกับผลประกอบการของเอกชนบริษัท เจ้าสัว ที่สนิทแนบแน่นกับ คสช. อย่าง กลุ่มทรูส่วนหนึ่งของ ซีพี ปีที่แล้วทรูทำกำไรได้ ๗ พันล้านบาท ทำให้สามารถจ่ายเงินปันผลได้ถึง ๓ พันล้านบาท

ถือเป็นปีที่ ๖ ติดต่อกัน ที่รายได้จากการให้บริการของทรูมูฟ เอช มีอัตราการเติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรม...ในขณะที่ผู้ให้บริการรายใหญ่รายอื่นมีรายได้จากการให้บริการรวมกันลดลงร้อยละ ๐.๑ จากปีก่อนหน้า”


มันชี้ให้เห็นความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญว่าท่ามกลางผู้ประกอบการธุรกิจบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตหลายรายล้วนไม่ทำกำไรกันหมด ยกเว้นทรูรายเดียวที่อูฟู มั่งคั่งยั่งยืนไปกับ คสช. ชวนให้หวนไปนึกถึงคำพูดของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ที่บอกว่าเคยถูกหัวหน้า คสช.ขอให้เอื้อประโยชน์แก่บริษัทเจ้าสัว