วันนี้ ๓ มีนา หญิงหน่อย เพื่อไทย
ไปหาเสียงที่ลำพูน พูดถึง ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กำลังเตรียมออกพื้นที่หาเสียงให้พรรคพลังประชารัฐ
เป็นฤกษ์งามยามดีขอต้อนรับ แต่จะให้ดีกว่านั้นควรที่จะมาร่วมการดีเบทเสียที
ซึ่งคงไม่มีทางเป็นได้
ในเมื่อคนอย่างประยุทธ์เคยแต่พูดเรื่อยเปื่อย ไม่เช่นนั้นได้แต่สั่งอย่างโน้นอย่างนี้
มีหรือที่จะมีน้ำอดน้ำทนพอฟังเหตุฟังผลของคนอื่นได้ กำหนดการของประยุทธ์จึงมีแต่ปราศรัยลูกเดียว
ตั้งแต่ ๑๐ มีนาเป็นต้นไป
ประเดิมที่โคราชแห่งแรก
จากนั้นจึงขยับต่อไปที่เชียงรายวันที่ ๑๖ มีนา และนราธิวาสวันที่ ๑๗ มีนา
ปิดท้ายกรุงเทพฯ ๒๒ มีนา คาดว่าจะมีการเกณฑ์ชาวบ้านไปนั่งฟังและให้หน้าม้าค่อยเป่าปากส่งเสียงเชียร์เป็นธรรมดา
แต่เนื้อหาที่จะพูด ประยุทธ์น่าจะไม่มีน้ำยาเท่าไรนัก
คงได้แต่พล่ามลมๆ แล้งๆ กระแนะกระแหนอดีตนายกฯ รัฐบาลก่อนอย่างเคย เนื่องเพราะ ‘หมดแล้ว’ ซึ่งราคาคุย ไม่มีอะไรเหลือให้อิงแอบเอามาอ้างได้อีก
โดยเฉพาะในเรื่องเศรษฐกิจ
จากที่มีรายงานของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ทั้งที่อ้างว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวสูงขึ้น
“ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งที่กลับมาขยายตัวสูงสุดในรอบ ๕ เดือน ที่ระดับ ๑๗.๔%”
แต่ขณะเดียวกัน “ในเดือน ม.ค. ๒๕๖๒ การส่งออกติดลบ
๕.๗% โดยมีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่
๑.๘๙ หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ” ซึ่งก็โทษตลาดการค้าโลกที่ยังหดตัวบ้าง
สงครามการค้าและการตั้งกำแพงภาษีบ้างอีกตามเคย
ทั้งๆ
ที่คลังอ้างว่าตัวเลขการท่องเที่ยวอันเป็นปัจจัยหลักในการเติบโตเศรษฐกิจประเทศไทย ดีขึ้นในช่วงมกราคมที่ผ่านมา
คือมีนักท่องเที่ยวจากจีนมากขึ้นราว ๑๐.๓%
แต่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในต้นปีนี้ถึงจะดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ต่ำกว่าที่รัฐบาล
คสช. คาดการณ์เอาไว้ คือไม่ถึง ๔ เปอร์เซ็นต์
ไหนจะผลประกอบการของการบินไทยที่รัฐบาล
คสช. ยินดีเข้าไปอุ้มไว้บนบ่าประชากร ปีที่ผ่านมายังขาดทุนอยู่ตามเคย
เมื่อเดือนมกรา “กลุ่มบริษัทฯ ขาดทุนสุทธิ ๑๑,๕๖๙ ล้านบาท
คิดเป็นขาดทุนต่อหุ้น ๕.๓๓ บาท” โดยที่ปีก่อนนั้นก็ขาดทุน
๒,๑๐๐ ล้านบาทอยู่แล้ว
เป็นที่น่าประจานอย่างยิ่งต่อความไร้ประสิทธิภาพของวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่ต้องพึ่งงบประมาณจากรัฐอย่างมหาศาลเช่นนี้
ผลประกอบการเสื่อมทรามลงต่อเนื่องทุกปีทั้งๆ ที่มีพวกทหารระดับนายพลที่
คสช.ส่งเข้าไปนั้งคุมในคณะกรรมการอำนวยการ กินเงินเดือนกันเป็นเรือนแสน
แม้แต่องค์การสื่อสารมวลชนที่กำลังอื้อฉาวจากการสั่งปลดผู้ดำเนินรายการ
หลังจากปรากฏผลการสัมภาษณ์เยาวชนนับร้อยคนที่เข้าร่วมรายการดีเบทแบบเกมโชว์
ออกมาว่าส่วนใหญ่กว่า ๙๐
เปอร์เซ็นต์ไม่เห็นด้วยกับการครอบงำและวางกับดักสืบทอดอำนาจของ คสช.
คสช.ตั้งพลเอกนายหนึ่งเข้าไปเป็นประธานบอร์ด
อสมท. ที่ส่อถึงการบริหารจัดการอย่างกดขี่ลำเอียง
กับเรื่องเนื้อหารายการอันเกิดจากการแสดงความเห็นอย่างบริสุทธิ์ เป็นเหตุให้ชาวบ้านก่นด่ากันทั้งเมืองอยู่ขณะนี้
แล้วยังมีหน้ามาแก้ตัวอีกว่า คำสั่งให้ผู้จัดรายการยุติหน้าที่ทันใดนั้นไม่ใช่การสั่งถอด
เป็นเพียงการเปลี่ยนตัวพิธีกร นำเอาคนที่มีความรอบรู้ทางด้านเศรษฐกิจดีกว่ามาแทนที่เท่านั้น
การอ้างอย่างนี้ถ้าเป็นในประเทศอารยะตะวันตก จะต้องถูกสื่อตอกกลับใส่หน้าว่า ‘บีเอส’ ไปแล้ว
มิหนำซ้ำถ้าไปดูผลประกอบการของ
อสมท.ในช่วง ๕ ปีที่ผ่านมาภายใต้ คสช. ก็ไม่พ้นได้เห็นตัวเลขตกต่ำต่อเนื่องมาตลอดเช่นกัน
ข้อความทวี้ตของ Isriya Paireepairit @markpeak แจงกราฟแสดงรายได้ของ
#อสมท
๗ ปีหลังสุด ชัดว่า
“รายได้รวมตกฮวบ, ๓ ปีหลังสุดขาดทุน และรายได้จากทีวีจะลดลงน้อยกว่าวิทยุแล้ว
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป อสมท จะถือเป็นบริษัทวิทยุมากกว่าทีวีด้วยซ้ำ ที่เหลืออ่านใน https://brandinside.asia/mcot-financial-2561/ …”
ครั้นไปเทียบกับผลประกอบการของเอกชนบริษัท
เจ้าสัว ที่สนิทแนบแน่นกับ คสช. อย่าง ‘กลุ่มทรู’
ส่วนหนึ่งของ ‘ซีพี’ ปีที่แล้วทรูทำกำไรได้
๗ พันล้านบาท ทำให้สามารถจ่ายเงินปันผลได้ถึง ๓ พันล้านบาท
“ถือเป็นปีที่
๖ ติดต่อกัน ที่รายได้จากการให้บริการของทรูมูฟ เอช
มีอัตราการเติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรม...ในขณะที่ผู้ให้บริการรายใหญ่รายอื่นมีรายได้จากการให้บริการรวมกันลดลงร้อยละ
๐.๑ จากปีก่อนหน้า”