“ปลอม ปลอม ปลอม” อะไรก็ปลอมถ้ามันทำให้
คสช.และลิ่วล้อดูไม่ดี หรือกระทั่งชี้ชัดว่า ‘ชั่ว’
เหมือนอย่างที่เพจ ‘ซีเอสไอแอลเอ’ เผยภาพหนังสือสั่งการทัพภาคปฏิบัติการ ‘ไอโอ’ สนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ พอนักข่าวถาม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ว่าไง ‘เฮียตือ’ พูดได้แต่คำว่า “ปลอม ปลอม”
แม้กระทั่งเพจ ‘อวย’ “๒๔ มีนากาลุงตู่ บ้านเมืองสงบและมั่นคง”
ก็ปลอมเพราะไปโผล่ที่ ‘ประชาไท’ ทำให้ดูแล้วเห็นเป็น
‘กองการสื่อสาร หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา’ ช่วยหาเสียงให้ พล.อ.ประยุทธ์ จัทร์โอชา ซึ่งเพจจริง
(ชื่อเขียนติดกันไม่มีวรรค) รีบแถลงว่าถูก ‘hacked’
ส่วนพวกของแท้ไม่มีใครอยากแฮ้ค เช่นของ
เบญญา นันทขว้าง ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชาชาติไทย ข่มขู่ผู้ที่จะไปออกเสียง
‘จับปากกาฆ่าเผด็จการ’ ว่าถ้าฝ่ายประชาธิปไตยชนะเลือกตั้งละก็
จะโดนปฏิวัติรัฐประหารอีกรอบแน่
มิใยทางพรรคเพื่อไทยเปิดแผนนโยบาย “จัดทำร่างพระราชบัญญัติป้องกันการรัฐประหาร”
หากพรรคได้รับเลือกตั้งครั้งนี้ (#BreakingNews โดย Palrak
Raksaphol แจ้งว่า
“นายโภคิน พลกุล
แกนนำพรรคเพื่อไทย ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและอดีตประธานรัฐสภา
เปิดเผยในงานเสวนา ‘เวทีสัญญาประชาคม’ พรรคการเมืองทำอย่างไรประชาธิปไตยไทยจะไม่ล้มเหลวอีก”)
ขณะที่ ‘ตัวใหญ่’ ที่กำลังหาเสียงแบบทวงบุญคุณ
(ทั้งที่แย่งเขามานี่นะ) พอถูกถาม “คิดว่าจะชนะการเลือกตั้งไหมคะ”
ตอบว่า “ผมไม่เคยคิดว่าจะแพ้หรือชนะ” ครั้นมีเสียงถามต่อ แล้ว “ถ้าท่านนายกฯ
แพ้จะทำยังไง” (ผู้ถามคือ หทัยรัตน์ พหลทัพ ผู้สื่อข่าวสำนัก ‘อัลจาซีรา’)
ประยุทธ์หันขวับทันใด “ใครถาม”
เปลี่ยนบทเปลี่ยนบุคคลิกจากที่พยายามทำให้เป็นมนุษย์มนา กลับไปสู่ลักษณะ ‘หมาดุ’ ทันที เป็นบทที่ลูกไล่อย่าง สุเทพ
เทือกสุบรรณ เอาไปใช้โฆษณาหาเสียงให้คนเลือกพรรคของตนเข้าไปช่วยดันให้เป็นนายกฯ
อีกรอบ
“๕
ปีมานี้ พล.อ.ประยุทธ์ก็ทำให้บ้านเมืองได้สงบเรียบร้อย
เราก็ได้มีสมาธิทำมาหากินไม่ต้องกลุ้มใจพะวักพะวงกับสถานการณ์ของบ้านเมือง” ที่
กปปส. เป็นคนก่อ ก็ยังไม่วายแหล “อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย
จีดีพีของประเทศถือว่าดี การส่งออกดี การท่องเที่ยวดี การค้าขายดี
แต่ว่าเศรษฐกิจของประชาชนไม่ดี
อันนี้ความจริง” แต่แล้วบิดต่อ “เพราะงั้นเราเลยบอกว่าเราจะหนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป” อ้างว่านี่แหละตัวเดียวอันเดียวเท่านั้น “ที่จะดูแลบ้านเมืองให้สงบเรียบร้อยต่อไปอีกอย่างน้อยสี่ห้าปี”
แผนระยะยาวสองสมัยแบบเดียวกับพวก
สว.ตั้งเอง ๒๕๐ คนนั่น ที่จะควบการเลือกตั้งสองหนสองรัฐบาล ถ้าไม่มีการยึดอำนาจเสียก่อนดังที่ช่วยกันขู่
ไม่เฉพาะแต่ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อของ รปช. เท่านั้นที่ประกาศเป็นลายลักษณ์อักษร
ผู้บัญชาการมวลมหาประชาชนเองตามย้ำด้วยปาก
ในการปราศรัยหาเสียงของพรรค รปช.
ที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดปัตตานี สุเทือกปลุกปั่นสร้างความเกลียดชังและกระตุ้นการแบ่งแยกว่า
“พรรคเพื่อไทย เพื่อชาติ เพื่อธรรม อ่าตระกูลเพื่อทั้งหลาย รวมทั้งประชาชาติ
รวมทั้งอนาคตใหม่ รวมทั้งพรรคอะไรของมันกะเลวราดเยอะแยะเนี่ย
...ทักษิณทั้งนั้น
ถ้าพี่น้องเลือกไอ้พรรคพวกนั้นเข้าไป ทั้งหมดทุกคะแนนที่ได้ในพรรคเหล่านั้น
มันไปรวมกันเชิดชูทักษิณ เอาทักษิณกลับบ้านอีก...เอากลับมาอย่างเท่เท่
ไม่ต้องติดคุก ไม่ถูกดำเนินคดี ให้มันกลับมาเป็นซุปเปอร์มนุษย์เหนือหัวคนไทยทั้งหลาย...
ถ้าเลือกกันอย่างนั้นก็เตรียมตัวไปราชดำเนินกันใหม่
ไปสวนลุมกันใหม่ ทีนี้เป่านกหวีดให้คอแตกมันก็ไม่สนแล้ว ส่วนผมนั่นเผลอๆ
ไม่ได้ไปด้วยนะเที่ยวนี้เพราะว่าติดคุกก่อน” สมพรปาก
พูดชัดขนาดนี้ ว่าถ้าประชาชนเลือกพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยทั้งหลายถล่มทลาย
กปปส.จะออกมาก่อกวนริมท้องถนน เป่านกหวีดปิดกรุงเทพฯ กันอีก
แน่ใจหรือว่าจะได้ดั่งใจอีกครั้ง พลังของผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่ๆ
เขาไม่เล่นด้วยกันแล้ว
ทั้งที่สุเทือก ณ กปปส.
พยายามบอกผู้เป็นพ่อเป็นแม่ให้พยายามรั้งๆ คนรุ่นใหม่เอาไว้
แต่จากการเที่ยวสัมภาษณ์สำรวจความเห็นจากหลายสำนัก (รวมทั้งบีบีซีไทย) ในช่วงเดือนที่ผ่านมา
ส่วนใหญ่บอกว่าต้องการ ‘ความเปลี่ยนแปลง’ ที่แท้จริง
ระยะเวลา ๕ ปีที่หลายคนรอจะได้ใช้สิทธิเลือกตัวแทนของตนโดยตรง
คนรุ่นใหม่เหล่านี้ที่ปัจจุบันอายุ ๒๑-๒๒ ปีไปแล้ว
แต่เพิ่งจะได้ใช้สิทธิเป็นครั้งแรก ทำให้เกิดความคิด “อยากเห็นการพัฒนาไปในทางใหม่ การพัฒนาที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ไม่ใช่แบบสิ่งเดิม ๆ คนเดิม ๆ พรรคเดิม ๆ”
นักศึกษาปีหนึ่งคนหนึ่งบอกกับบีบีซีไทย
ในขณะที่อีกคนที่บอกว่ารอมาสี่ปีแล้วเห้นว่า “ผู้นำอาจไม่ใช่คนที่ดีที่สุด
แต่สามารถทำให้ผู้ตาม หรือว่าคนใต้การควบคุม นำพาประเทศไปสู่อนาคตที่ดีกว่าได้”
บางคนยังบอกด้วยซ้ำว่า
ถ้าจะมีการเป่านกหวีดปิดกรุงเทพฯ กันอีกครั้งละก็ “ผมไม่เอาด้วยนะ” ‘เด็กๆ’
ที่เทพเทือกดูแคลนเหล่านี้เป็นผู้ได้ใช้สิทธิหน้าใหม่ ๗.๓ ล้านคน ที่ อจ.ประจักษ์
ก้องกีรติ รองคณะบดีรัฐศาสตร์ มธ. วิเคราะห์ว่า
“สามารถผลักดันให้พรรคใดพรรคหนึ่ง
ขึ้นมาเป็นพรรคอันดับสามได้เลยทีเดียว ถ้าเราตีว่าคนรุ่นใหม่ไปใช้สิทธิ ๙๐% เท่ากับ ๖ ล้านเศษ คำนวณด้วยสูตร ๗๕,๐๐๐ คะแนน ต่อ ส.ส. ๑ ที่นั่ง เทให้พรรคนึงไปเลย