เราไม่ทราบว่าเขาเป็นใคร เราไม่เคยรู้เบาะแสของเขามาก่อน เพราะผู้เขียน
‘บันทึกนักโทษคดีการเมือง’ นี้อ้างว่าส่งออกมาจากในคุก
โดยได้รับความช่วยเหลือจากสหายร่วมคุกนามว่า ‘โชติช่วง’ ผู้ซึ่งก่อนติดคุก “โดนทหารซ้อมมาปางตาย” ด้วยข้อหาที่ “สื่อประโคมข่าว” ว่าเป็นเสื้อแดงก่อการร้ายที่ยิงระเบิด
เอ็ม ๗๙ ใส่ม็อบ กปปส.
“โชติช่วงนั้นพิการที่ขาข้างหนึ่ง
ต้องใส่ขาปลอมไว้ตั้งแต่ช่วงเข่าลงไป เวลาเดินก็จะกระเผลก แต่เขายืนหยัดทะนง...และอาศัยเหตุดังว่านี้
เขาเลยได้ช่วยนำสารของผมออกมาสู่โลกภายนอกได้สำเร็จ”
ผู้เขียนเล่าด้วยว่า
“โชติบอกว่าที่ขาของเขาขาดข้างหนึ่งต้องใส่ขาปลอมนี่แหละมีประโยชน์
เพราะระหว่างเข่าของเขากับขาปลอมที่เอามาต่อกับขาจริง ช่วงเข่่ามันพอมีที่ว่างสำหรับกระดาษซักแผ่น...
พรุ่งนี้จดหมายของพี่ถึงมือเป้าหมายแน่นอน”
มันจึงมาโผล่บนหน้าเฟชบุ๊คชื่อบัญชี ‘ศมศักดิ์ ภักดิเดช’
ท่านที่คุ้นๆ
อย่าเพิ่งตื่นเต้น จะเป็นศมศักดิ์ ภักดิเดช สมศักดิ์ ภักดีเดช ณ อยุธยา หรือว่าโสมสัก
พักดีเดจ ณ จัมปาสัก ล้วนแต่คือนามปากกาของนักเขียน-นักหนังสือพิมพ์ คนใดคนหนึ่ง
อาจเป็นเพราะชื่อนี้มีเสน่ห์ เลยมีคนชอบใช้หลายราย
รวมทั้งศูนย์ไซเบอร์กองทัพบกที่ได้เข้าครอบครองบัญชี ‘สม’ ศักดิ์
ภักดีเดช มานานแล้วไม่ได้ทำกิจกรรมอะไร ไม่รู้จะเปิดเอามาใช้ใหม่อีกไหม เมื่อไหร่
บันทึกทั้งหมด
คนโพสต์บอกว่ามี ๑๙ ตอน โพสต์ครั้งแรกเมื่อ ๒๘ มีนา ๕๙ อ้างว่า “ถูกศาลทหารตัดสินคดี
ม. ๑๑๒ เป็นรายแรก นับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ศาลนี้เคยพิจารณาคดี ม. ๑๑๒ เกือบ ๓๐ ปีมาแล้วในเหตุการณ์
๖ ตุลาคม ๒๕๑๙”
แล้วมาโพสต์ครั้งที่สองห่างกันเกือบสองปี
เมื่อ October 2 at 10:27am เล่าถึงบันทึกฯ ตอนที่ ๑ เกี่ยวกับ โชติ
ผู้นำต้นฉบับออกจากคุก
“โชติช่วงกับพวกถูกศาลตัดสินประหารชีวิตในเวลาต่อมา
และลดหย่อนให้เหลือจำคุกตลอดชีวิต โดยบรรเทาโทษจากเหตุที่เขาได้เซ็นสารภาพต่อ ผู้ช่วยเจ้าพนักงานสอบสวน...
ตอนนี้เขากับพวกถูกจองจำอยู่ที่เรือนจำบางขวาง”
แต่ครั้งนี้เราขอนำโพสต์ล่าสุด
ตอนที่สอง มาให้อ่านกันก่อน เพื่อสัมผัสกับเรื่องราวที่เราไม่สามารถตอบได้ว่าจริงแท้แค่ไหน
หากทว่าเนื้อความสร้างความตื่นรู้ต่อรายละเอียดที่ผู้เขียนนำมาเรียงร้อยเป็นเรื่องเล่า
แม้นว่าเป็นนิยายก็น่าจะขายดีอยู่มากทีเดียว
บันทึกนักโทษคดีการเมือง
ตอนที่ 2 :จากกองบัญชาการคณะรัฐประหารถึงคุกลับ
มันเป็นเวลาบ่ายสามโมงของวันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม 2557 ให้หลังรัฐประหาร 3 วันของคสช. ทีวีไม่มีอะไรให้ดู
นอกจากเพลงปลุกใจวนไปเวียนมา สลับกับการประกาศสั่งให้คนนั้นคนนี้ไปรายงานตัว
น่าเบื่อหน่าย
ผมเลยเอา VCD หนังซีรีส์สามก๊กมาเปิดดูแก้เบื่อ
ดูไปถึงตอนที่จิวยี่กำลังโรมรันกับขงเบ้งชนิดถึงพริกถึงขิง
ก็มีแขกไม่ได้รับเชิญบุกเข้ามาในบ้านถึงห้องนอนผม เป็นทหารใส่ชุดสนามเต็มพิกัด
มาพร้อมทั้งอาวุธเอ็ม 16 อาวุธสั้น
ปราดเข้ามาถึงห้องนอนตอนสามก๊กกำลังสนุกได้ที่
"ขอผมดูตอนนี้จบก่อนนะ
เดี๋ยวค่อยคุยกัน" ผมว่า แต่หัวหน้าชุดยศร้อยโทนี่ไม่รับมุขเลย
เขาดูเคร่งเครียดจริงจังกับภารกิจมาก เล็งเอ็ม 16 จ่อมาที่ผม
กระชากลูกเลื่อนดังลั่น และลูกมือเขาก็ประกบหน้าล้อมหลังวุ่นวายไปหมด
"โอเคผมขอเปลี่ยนกางเกงหน่อย
ใส่ชุดนอนไปมันน่าเกลียด ผมขอเตรียมเสื้อผ่าไปด้วยนะ สำหรับ 7 วัน หรือสำหรับ 2 ปี? คุณว่า..."
ไม่มีคำตอบ เขาพูดออกมาแค่ว่า รู้ใช่มั้ยว่าทำไมถึงมาเอาตัว? ผมว่า รู้ ตอนแรกนึกว่าจะเป็นวันแรกที่เกิดรัฐประหาร 22 พฤษภาคม ก็เลยแปลกใจที่เป็นวันนี้
ทหารมา 2 คันรถ กับตำรวจอีกคันหนึ่ง
จนเมียผมต้องเปรยออกมาดังๆ ให้พวกเขาได้ยินว่า "อะโห
ทำอย่างกับมาจับผู้ร้ายฆ่าคน"...ตำรวจทำหนังสือขอตรวจค้นที่พิมพ์กันขึ้นตอนนั้นว่า
ผมกระทำผิดกฎหมายของคณะรัฐประหาร โดยมีอุปกรณ์ในการกระทำผิดเพียบ
คือเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ แล้วก็โน้ตบุ๊ค เครื่อง IPAD ราวๆ
100 เครื่อง โทรศัพท์มือถืออีก 15 เครื่อง
...แต่นั่นมันจะเยอะไปหน่อย ผมเลยขอช่วยทางราชการด้วยการบอกว่า
จริงๆ แล้วเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เห็นๆ กันอยู๋นี่ผมใช้แค่ 2 เครื่อง
มือถือ 2 เครื่อง เอาไปแค่นั้นแหละ ถ้าเอาไปหมดนี่ตายพอดี
พวกคุณทำงานยากหละ
ไม่รู้ว่าอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำผิดนี่เครื่องไหน...พันตำรวจเอก
หัวหน้าชุดตำรวจที่มาจากสน.ละแวกบ้านผม ขอบอกขอบใจผมยกใหญ่ที่ช่วยงานราชการให้สบายขึ้น
ตำรวจเอาพลาสติกมาซีลเครื่องโน้ตบุ๊คที่ว่า กับมือถือไปเป็นอันเสร็จเรื่อง
แล้วส่งผมให้ "ผู้ช่วยพนักงานสอบสวน" คือทหาร โดยพาขึ้นรถตู้ไป
มีพวกนายสิบกับพลทหารในชุดสนามอาวุธครบมือ 6 นายประกบหน้าหลัง ไม่พูดไม่คุยไม่ส่งเสียง
และผมก็ไม่อยากถามว่าจะพาไปไหน...?
แต่พอออกจากปากซอยไปที่ถนนใหญ่ก็พบว่ามีรถสิบล้อทหารจอดอยู่คันหนึ่ง
มีทหารอยู่ในรถเพียบ พอขับไปอีกซักระยะก่อนขึ้นทางต่างระดับก็มีอีกคันหนึ่งจอดอยู่
คงแนวๆ ว่ามารักษาการณ์ หรือเป็นชุดเสริม...เกิดว่าผมฮึดฮัดต่อสู้ หรือมีคนมาช่วยชิงตัว
พวกทหาร 2 คันสิบล้อนี่จะได้ลุยกันเปรี้ยงปร้าง...โถ
!รอบคอบกันมากเลยภารกิจนี้
โดยที่ไม่มีสุ้มเสียงอะไร
รถตู้ของทหารก็พาผมลงทางด่วนยมราช มุ่งหน้าไปเทเวศร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งหอประชุมกองทัพบก
อันเป็นกองบัญชาการของ คสช.
ที่นั่นมีคนที่ถูกพาตัวมาในเวลาไล่เลี่ยกับผม
3 ชุด
ให้นั่งแยกกัน ผมมาทราบภายหลังว่าชุดแรก 3 คนนี่เป็นภรรยา
ลูกสาว ลูกชายของคุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข ซึ่งโดนจำคุกอยู่ในเวลานั้น อีก 2 ชุดเป็นคนทำสื่อออนไลน์ทางอินเตอร์เน็ต
ที่มีชื่อเสียงในเรื่องการถ่ายทอดสดการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง 2 เว็บไซต์
จากนั้นมีการเรียกตัวแต่ละชุดไปคุยกับคนที่ดูแลกรณีของพวกเรา
คือพลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา เขาเป็นหนึ่งในบิ๊กคสช.
ที่เข้ามากำกับควบคุมว่าจะกวาดล้างใครบ้างที่เป็นปฏิปักษ์ต่อคณะรัฐประหาร
และคนที่คณะรัฐประหารเห็นว่าต้องขจัด
ผมไม่รู้ว่าเขาสอบปากคำซักถามคนอื่นอย่างไร
แต่กับผมเขาให้เกียรติด้วยดี เรียกผมด้วยความเคารพ
และบอกว่าเป็นแฟนคลับของผมมายาวนาน ติดตามผลงานจนเป็นแฟนพันธุ์แท้
โดยเขายกตัวอย่างผลงานต่างๆ มา ทำให้ผมแน่ใจว่าเขาเป็นแฟนตัวจริง
"ท่านเป็นนักรบไซเบอร์ที่ทางเราหวาดหวั่นครั่นคร้าม
จริงจังทุ่มเท ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงใดๆ ข้อมูลต่างๆ แน่นปึ้ก ที่ไปที่มาชัดเจน
ไม่มโน..." แต่พลเอกไพบูลย์จบลงที่คำว่า "แต่...ทำไมต้องมาเฉียดไปวนมากับสถาบันเบื้องสูง
ผมยอมไม่ได้เด็ดขาด จึงต้องจัดการท่าน" เขากล่าวสรุป
ผมอธิบายให้เขาฟังอยู่ประมาณหนึ่ง แต่บรรดาลูกทีมของเขา
พวกนายพลหน่วยข่าวและตำรวจคอยขัดคออยู่เป็นระยะ แล้วก็นำแฟ้มประวัติของผมที่หน่วยข่าวสะกดตามทุกฝีก้าว
มานำเสนอต่อพลเอกไพบูลย์ว่าผมนั้นร้ายกาจแค่ไหน และชักจูงให้เห็นด้วยว่าผมน่าจะเป็นพวกฝ่ายซ้าย
นิยมเลื่อมใสลัทธิคอมมิวนิสต์ด้วย เนื่องจากว่าผมเคยใช้นามปากกาว่า ‘ปีกซ้าย’ เขียนบทกวีประณามเผด็จการ....ผมว่าโรนัลโด้ก็ปีกซ้ายนะ
และมันก็ไม่ได้เป็นคอมฯ ซักหน่อย...พลเอกไพบูลย์เลยว่า ท่านนี่อารมณ์ขันใช้ได้
ไม่เครียดเลยเหรอ
ผมเลยว่า ผมรู้ดีครับว่าวันใดวันหนึ่งที่เกิดรัฐประหารขึ้นผมคงโดนแน่ๆ
ผมเตรียมใจเตรียมตัวมานานแล้ว ขอแค่ให้ทำตามข้อกฎหมายกันหน่อย อย่านอกเกมก็พอ
พลเอกไพบูลย์ว่า แน่นอนเขาทำตามระเบียบกฎหมาย
เบื้องต้นก็คือพาไปที่ ‘จัดไว้ให้’ เป็นเวลา 7 วันก่อน
จากนั้นรถตู้คันเก่าก็พาออกจากหอประชุมกองทัพบก
โดยมีคนร่วมคณะไป 3
ราย นอกจากผมแล้วก็มีอีกหนึ่งหนุ่มที่เป็นคนทำเวปไซต์ถ่ายทอดสด
และอีกหนึ่งสาวที่ทำอีกเวปไซต์สำหรับการถ่ายทอดสด..ส่วนครอบครัวของสมยศถูกปล่อยตัวกลับบ้านไป
นั่นคือเครื่องหมายสำคัญว่า คณะรัฐประหารกำลังเข้าโหมดขจัดสื่อที่ต่อต้านการรัฐประหาร
และปิดกระบอกเสียงฝ่ายปฏิปักษ์ลงอย่างเด็ดขาด
รถตู้คันนั้นออกเดินทางไป
โดยไม่ยอมตอบคำถามใดๆ ของสาวร่วมคณะของเราว่าจะพาไปไหน? แต่ไม่นานก็ไปที่ค่ายทหารแห่งหนึ่ง
ไม่ห่างจากที่เรามา พาลงไปให้ข้าวผัดกันคนละห่อ
หนุ่มที่ไปด้วยบอกว่ากินไม่ลง...ทหารบอกว่าจะต้องเดินทางต่ออีกนาน ปลายทางก็ไม่แน่ใจมีอะไรให้กินไหมนะ...ก็เลยต้องกินมื้อเย็นนั้น
เรียบร้อยก็ให้เราไปยืนชิดกำแพง
ให้ทหารถ่ายรูป ทำให้สาวร่วมคณะอุทธรณ์ว่า "โหย
ทำยังกับผู้ร้ายฆ่าคนเลยนะ"...จากนั้นพาเราขึ้นรถบรรทุกสำหรับขนนักโทษสีลายพรางดำ
เข้าไปข้างในมองออกมาข้างนอกแทบจะไม่เห็นอะไร
รถบรรทุกคันนั้นพาเราออกจากค่ายทหารกรุงเทพฯ 3 ทุ่มเศษ
ถนนโล่งโปร่งจากการประกาศเคอร์ฟิวหลังสามทุ่ม ส่วนจะพาไปทางไหน ไม่มีคำตอบเช่นเคย
แต่ทหารที่มาควบคุมเรานี้เป็นชุดใหม่แล้ว
ด้วยความมืดมิดทำให้มองออกมาข้างนอกไม่รู้ว่าพิกัดไหนหรือไปทางไหน
รู้แต่ว่าคงผ่านไปนานพอสมควร แต่ก็ไม่น่าจะนานถึงขั้นไปถึงกาญจนบุรี (ในใจผมนั้นคิดว่าน่าจะไปกาญจนบุรี
เพราะช่วงรัฐประหาร 22พฤษภาคม มีการควบคุมพวกแกนนำเสื้อแดง นปช.ไปกาญจนบุรี)
แล้วรถก็เลี้ยวลงข้างทางเข้าไปในทางแคบๆ ถนนดูขรุขระ...ผมอดเสียววาบไม่ได้ว่าพวกนี้อาจเล่นไม่ซื่อ
แวะข้างทางแล้วสังหารทิ้งซะ
แต่ทุกอย่างอยู่ในเกม ไม่นานรถบรรทุกก็หยุดลง
พวกเราลงไป มองไปเจอกำแพงสูง มีป้อมตรวจการณ์..ครับ มันคือคุกทหาร
แต่เราก็ไม่รู้ว่าพิกัดนี้ตั้งอยู่ที่ไหน เพราะไม่มีป้าย
หรือสัญลักษณ์ไหนที่ชี้ว่าพิกัดนี้อยู่ส่วนไหนของประเทศ
ผู้บัญชาการเรือนจำเป็นนายทหารยศพันตรี
ท่าทีเป็นมิตร จำแนกให้สาวร่วมคณะที่กำลังขวัญเสียไปขังอยู่ห้องหนึ่ง
ส่วนผมกับหนุ่มเจ้าของเวปไซต์ไปขังรวมกันสองคน ในห้องขังกว้างพอที่จะมีพื้นที่ให้ผมออกกำลังกายเดินเล่นเอาเหงื่อได้
.
.
รุ่งเช้าหลังจากได้ข้าวต้ม และกาแฟไปแล้ว
มีเสียงเรียกจากห้องข้างๆ ว่าเป็นใครมายังไง พร้อมกับยื่นมือข้ามกรงขังตรงประตูโผล่มาจับมือทักทาย
โดยไม่ได้เห็นหน้า เขาแนะนำตัวว่าเป็นหมอเหวง โตจิราการ
ที่ถูกจับกุมตอนทหารเข้าสลายการชุมนุมของนปช.เสื้อแดง ที่ถนนอักษะ
ตอนเกิดรัฐปนะหาร 22 พฤษภาคม
เขาบอกว่าที่ทหารขังเเราไว้นี่คือคุกทหาร
นครปฐม ไม่ห่างจากกรุงเทพฯ นัก ผมเลยถึงบางอ้อว่า มิน่ารถบรรทุกที่พามา
ถึงไม่ได้ใช้เวลานานมากนัก
นอกจากหมอเหวงแล้วก็มีแกนนำนปช.และคณะโดนจับมาก่อนหน้าเราราว
20 ราย ตั้งแต่วันเกิดเหตุรัฐประหาร...หมอเหวงคอยขับร้องเพลงแสงดาวแห่งศรัทธาอยู่ทั้งกลางวัน
กลางคืน และชวนเราร้องไปด้วย
"ไม่รู้อาจารย์ธิดา
เมียผมเป็นไงบ้าง.." เขาถามข้ามห้องมา ผมเลยว่า
ก่อนผมถูกจับมาได้อ่านข่าวหนังสือพิมพ์ว่าหมอสลักธรรม
ลูกชายของหมอเหวงไปเยี่ยมอาจารย์ธิดาที่ถูกควบคุมตัวไว้ที่กาญจนบุรี สุขภาพดี
หายห่วงได้...แกเลยบรรเลงเพลงแสงดาวแห่งศรัทธาด้วยความปรีดากว่าเดิม
มาถึงวันที่ 27 พฤษภาคม ผมกับคณะมาอยู่คุกทหารครบ 2 วัน ส่วนหมอเหวงกับคณะอยู่มาครบ 7 วันตามอัตราที่กำหนดไว้ว่า
จะควบคุมตัวได้ไม่เกินนี้ กรุ๊ปของหมอเหวงเลยโดนปล่อยตัวกลับบ้านไป
นายทหารยศพันตรี ผู้บัญชาการคุกทหารแห่งนี้
ผ่อนคลายความเข้มงวดลง ด้วยการปล่อยเราจากห้องขังให้มีเสรีลงไปเดินเล่นแถวกองบก.ได้บ้าง
และให้ความหวังว่าเมื่อเราอยู่ครบ 7 วันในวันที่ 31 พฤษภาคม
ก็จะได้กลับบ้านแบบเดียวกับคณะหมอเหวง
"แต่มีบางคนที่จะต้องไปต่อที่ใหม่..."
เขาพูด โดยไม่มองหน้าใคร ทำให้สาวเจ้าของเวปไซต์ถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความขวัญเสีย...ผมบอกเธอว่า
ไม่หรอก ใน 3 คนนี้ คุณ 2 คนจะได้กลับบ้าน
ผมจะได้ไปต่อ
ผมเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงภรรยา
แจ้งเธอว่าหากในวันที่ 31
พฤษภาคมนี้ ซึ่งครบ 7 วันของการควบคุมตัวตามกฎหมายของคณะรัฐประหาร
ไม่เห็นผมกลับบ้าน ผมคงจะได้อยู่ต่อที่นี่ หรือไปต่อที่อื่น อาจจะ 5 หรือ 10 หรือ 20 ปี
แต่ในที่สุดแล้ว ผมเชื่อว่าไม่ควรเกิน 2 ปี เราจะได้พบกัน
ผมฝากจดหมายฉบับนั้นไปกับหนุ่มร่วมห้องขังคุกทหาร
และเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมมาถึง
รถบรรทุกคุกทหารพาเราบ่ายหน้าไปกรุงเทพฯ เพื่อนร่วมชะตากรรม 2 รายถูกปล่อยตัวลงข้างทางที่เรียกแท็กซี่ได้ง่ายสะดวก ส่วนผมได้สิทธิ์ไปต่อ
"ผมรู้ดีว่าเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้น
ผมเตรียมตัวเตรียมใจเผชิญกับมัน ถ้าถามว่าหากย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะทำเรื่องนี้ไหม?
เมื่อต้องเสี่ยงภัยอย่างนี้ แน่นอน ผมยังต้องทำ
และอาจต้องทำมากกว่านี้...ผมขออภัยขอโทษคุณจริงๆ ที่ไม่เคยบอกกล่าวคุณเลย"
เนื้อความในจดหมายบางตอน และว่า "ได้โปรดอย่าได้บอกเรื่องนี้กับแม่ของผม
อีกไม่นานผมก็จะได้กลับบ้าน เพียงแต่ยังไม่ใช่เวลานี้"
รถบรรทุกทหารวิ่งต่อไป
โดยเป็นธรรมเนียมที่ผมรู้แล้วว่า รถทหารนั้นจะไม่มีวันบอกคุณหรือใคร ว่ามันกำลังจะพาคุณไปที่ไหน...!?