วันเสาร์, มีนาคม 16, 2567

เสาหลักเมือง ร่องรอยการบูชายัญมนุษย์ในอุษาคเนย์?


Ituibooks
March 13·

บุคคลระดับพระบิดาแห่งประวัติศาสตร์และโบราณคดีไทยอย่างสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เคยหล่นทัศนะเกี่ยวกับที่มาของอะไรที่เรียกว่า “เสาหลักเมือง” เอาไว้ในบันทึกรับสั่งที่มอบให้แก่ ม.ร.ว.สุมนชาติ สวัสดิกุล (พิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ ม.ร.ว.บัว สนิทวงศ์ และ ม.ร.ว.ธันยวาท สวัสดิกุล ณ เมรุวัดโสมนัสวิหาร วันที่ 28 ธันวาคม 2502) เอาไว้ว่า
.
“หลักเมืองเป็นประเพณีพราหมณ์ มีมาแต่อินเดีย ไทยตั้งหลักเมืองขึ้นตามธรรมเนียมพราหมณ์”
.
แถมกรมพระยาดำรงฯ ท่านยังบอกต่อไปด้วยนะครับว่า
.
“ตัวอย่างหลักเมืองที่มีเก่าที่สุดในสยามประเทศนี้ คือหลักเมืองศรีเทพ ในแถบเพชรบูรณ์ ทำด้วยศิลาจารึก อยู่ในพิพิธภัณฑสถาน (หมายถึงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ปัจจุบัน) บัดนี้เรียกเป็นภาษาอินเดียในสันสกฤตว่า ‘ขีน’ เป็นภาษามคธว่า ‘อินทขีล’ หลักเมืองศรีเทพทำเป็นรูปตะปูหัวเห็ด หลักเมืองชั้นหลังลงมาทำด้วยหินบ้าง ไม้บ้าง”
.
สำหรับกรมพระยาดำรงฯ แล้ว เสาหลักเมืองจึงเป็นเรื่องของพราหมณ์อินเดีย แถมมีชื่อดั้งเดิมเรียกว่า “อินทขีล” อีกต่างหาก
.
ถ้าจะว่ากันด้วยรากศัพท์แล้ว คำว่า “อินทขีล” แปลตรงตัวว่า “ตะปู” หรือ “หมุด” ของ “พระอินทร์” แถมยังมีเทพปกรณ์เก่าแก่ระดับ 4,000-3,500 ปีมาแล้ว อย่างคัมภีร์ฤคเวท ซึ่งเป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดในพระเวท เล่าถึงเจ้าตะปูหรือหมุดของพระอินทร์เอาไว้ด้วยว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว อสูรตนหนึ่งมีรูป “งูใหญ่” ชื่อ “วฤตรา” ได้นำ “น้ำ” ทั้งจักรวาลไปกักเก็บไว้ที่หุบเขา และขนดไว้ภายในร่างกายของวฤตราสูรเองแต่เพียงผู้เดียว ทำให้ความชุ่มชื้นขาดหายไปจากโลก จนเกิดสภาวะอันแห้งแล้ง ผู้คนและสรรพสัตว์จึงต่างก็พากันเดือดร้อนทั่วไปหมด
.
ความจึงได้ร้อนไปถึงพระอินทร์ ในฐานะของผู้เป็นราชาเหนือเทพเจ้าทั้งปวง ให้ต้องแต่งทัพไปปราบวฤตราสูรเพื่อช่วงชิงเอาความชุ่มชื้นกลับมา โดยทัพอันเอิกเกริกของพระอินทร์ประกอบไปด้วย คณะเทพมารุต จำนวนมากมายมหาศาล ที่เคลื่อนที่ไปไหนมาไหนแล้วมีเสียงดังกึกก้องประดุจเสียงฟ้าร้องครืนครัน พระวรุณหรือที่คนไทยเรียกกันว่าพระพิรุณ และถือกันว่าเป็นเทพเจ้าแห่งฝน พระวิษณุ (หรือที่หลายครั้งในยุคหลังเรียกกันว่า พระนารายณ์) ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งแสงอาทิตย์ พระอัคนี ผู้เป็นเจ้าแห่งไฟ และพระโสม ผู้เป็นเทพแห่งน้ำโสม ผู้ประทานพลังแห่งความกล้าหาญ เป็นต้น
.
เมื่อพระอินทร์ได้พบกับอสูรวฤตราผู้ชั่วร้ายแล้ว พระองค์ก็ทรงขว้างอาวุธคู่พระหัตถ์ของพระองค์คือ “วัชระ” หรือ “สายฟ้า” ตรงไปปักเข้าที่เศียรของอหิวฤตราสูรเสียจนขาดสะบั้น แล้วความชุ่มชื้นก็กลับคืนสู่โลกอีกครั้ง ด้วยอุปสรรคถืออสูรแห่งความแห้งแล้ง ได้เสียชีวิตจบสิ้นลงเรียบร้อยแล้ว
.
ถึงฤคเวทจะพรรณนาความเอาไว้เท่านี้ แต่พวกพราหมณ์ยังมีความเชื่ออีกด้วยว่า เศียรของอหิวฤตราสูรที่ถูกวัชระปักลงจนขาดสะบั้นไปนั้น ได้จมลงสู่กลางมหาสมุทร และปักลงอยู่ที่ตำแหน่งศูนย์กลางของโลก ดังนั้น จึงเป็นธรรมเนียมของพวกพราหมณ์ที่จะเรียกตำแหน่งเสาเอกของสิ่งปลูกสร้างอันใดก็ตามไว้ตรงกันทั้งหมดว่า “ตำแหน่งเศียรนาค” ซึ่งก็หมายถึงเศียรของวฤตราสูรที่ถูกวัชระตรึงเอาไว้นั่นเอง
.
โดยนัยยะหนึ่ง “วัชระ” จึงเปรียบเสมือนกับ “เสา” ไม่ก็ “ตะปู” หรือ “หมุด” ที่ตรึงเศียรของวฤตราสูรไว้ พวกพราหมณ์จึงเรียก “สายฟ้า” อาวุธคู่ใจของพระอินทร์ในอีกชื่อหนึ่งว่า “อินทกีละ” หรือ “อินทขีล” (และออกเสียงแบบไทยๆ ว่าอินทขิล) นั่นแหละ
.
เทพปกรณ์และธรรมเนียมอินเดียว่ามาอย่างนี้ก็ยิ่งชวนให้รู้สึกเคลิ้มตามนะครับ ยิ่งเมื่อยังมีหลักเมืองที่ถูกเรียกว่า “อินทขิล” กันอย่างโต้งๆ ที่เมืองเชียงใหม่ แถมในจารึกที่เรียกกันว่า “ศิลาจารึกหลักเมืองศรีเทพ” หลักเดียวกันกับที่กรมพระยาดำรงฯ อ้างถึงนั้น มีคำภาษาสันสกฤตอ่านออกเสียงได้ว่า “ขีลัง” อยู่ด้วยก็ยิ่งทำให้กรมพระยาดำรงฯ ถึงกับเอาไปอ้างไว้ในจดหมายที่เขียนถึงสมเด็จฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ที่ต่อมาถูกนำมารวบรวมเอาไว้ในชื่อสาส์นสมเด็จเลยทีเดียว
.
กรมพระยานริศฯ เองก็ดูจะเชื่อไปในทิศทางเดียวกันนั้นด้วย เพราะข้อความตอบกลับเรื่องที่สมเด็จฯ ทั้งสองท่านนี้พูดคุยกันเรื่อง “เสาหลักเมือง” นั้น ท่านถึงกับบอกว่า “เกล้ากระหม่อมสะดุ้ง และออกอุทานอันไม่เป็นภาษาคน” เมื่อสมเด็จพุทธาจารย์ ญาณวโร (เจริญ สุขบท) แปลคำว่า “อินทขีล” ให้ท่านฟังว่าคือ “ตะปูพระอินทร์”
.
ด้วยเห็นว่า ศิลาจารึกหลักเมืองศรีเทพ (และยังอ้างถึงหลักเมืองนางรอง) เป็นแท่งหินรูปทรงตะปูหัวเห็ดเช่นกัน
.
แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรเล่าครับว่า เสาหลักเมืองนั้นจะเป็นของที่ภูมิภาคของเราอิมพอร์ตเอามาจากอินเดีย ในเมื่อมีร่องรอยอยู่ให้เพียบเลยว่าบรรพชนคนอุษาคเนย์นั้นมีการสร้างเสาหลักบ้าน (ในชุมชนขนาดย่อม) และเสาหลักเมือง (ในชุมชนขนาดใหญ่) กันในหมู่สังคมที่ยังไม่ได้ยอมรับนับถือศาสนาพุทธ หรือพราหมณ์-ฮินดู แถมยังมีให้เห็นมาจนกระทั่งทุกวันนี้?
.
เอาเข้าจริงแล้ว เสาหลักเมืองของอุษาคเนย์ทั้งภูมิภาคจึงควรจะเป็นเรื่องใน “ศาสนาผี” พื้นเมืองเสียมากกว่า
.
ดังนั้น ร่องรอยที่น่าสนใจก็คือตำนาน ควบตำแหน่งเรื่องซุบซิบเกี่ยวกับการสร้างเสาหลักเมือง ที่ว่ากันว่าต้องมีการบูชายัญมนุษย์ ซึ่งมักจะถูกปฏิเสธว่าไม่จริง (โดยมักจะไม่มีการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน)
.
ด้วยคงเพราะไม่เชื่อว่า ความเป็นไทยอันดีงามจะมีร่องรอยแปดเปื้อนเช่นนี้แต่ร่องรอยหลักฐานอย่างอื่นไม่ได้บอกกับเราอย่างนั้นเสียหน่อย
.
ตัวอย่างเช่น ข้อความในพงศาวดารมอญอย่าง “ราชาธิราช” ที่ระบุว่า
.
“แล้วมะกะโทให้หาฤกษ์ปลูกปราสาท โหรถวายฤกษ์ ในฤกษ์นั้นว่า วันพฤหัสบดีเดือนหกแรมสามค่ำ ศักราชได้ 648 ปี นักษัตรฤกษ์ยี่สิบสองเป็นราชฤกษ์นั้น จะมีหญิงมีครรภ์แปดเดือนเดินมาเป็นนิมิตได้ฤกษ์เอาเสาลงหลุม จึงมุขมนตรีคนทั้งปวง ครั้นวันฤกษ์ก็พร้อมกันคอยท่าฤกษ์และนิมิตถึงฤกษ์เวลากลางวัน พอหญิงมีครรภ์คนหนึ่งเดินมาริมหลุม คนทั้งปวงกล่าวพร้อมกันว่าได้ฤกษ์ แล้วก็ผลักหญิงนั้นลงในหลุมจึงยกเอาเสาปราสาทนั้นลงหลุม โลหิตสตรีนั้นกระเด็นขึ้นมาเป็นอสรพิษแปดตัว เจ็ดตัวนั้นตายในสถานที่นั้น แต่ตัวหนึ่งเลื้อยไปทางทิศประจิม แลโหรทำนายว่า เมืองนี้จะบังเกิดกษัตริย์แปดพระองค์ จะทิวงคตในเมืองนี้เจ็ดพระองค์ แต่พระองค์หนึ่งนั้นจะไปทิวงคตฝ่ายประจิมทิศ”
.
เรื่องราวในราชาธิราชชวนให้นึกถึงตำนานสร้างเมืองเวียงจันทน์ที่เล่าว่า ในขณะที่สร้างเมือง ทางการได้ประกาศหาผู้ที่จะมาเป็น “ศรี” ของเมือง (“สีเมือง” ในภาษาลาว) นางสี ชาวเมืองทรายฟอง ที่ตั้งท้องไม่มีพ่อ จึงกระโดดลงไปในหลุมที่จะสถาปนาหลักเมือง
.
ทุกวันนี้ชาวลาวเชื่อกันว่าหลักเมืองเป็นปราสาทขอมหลังหนึ่งในวัดสีเมือง เมืองจันทน์ แต่ที่จริงแล้วน่าจะเป็นหินใหญ่ (megalith) ที่ตั้งอยู่ในวัดสีเมือง ที่ผู้คนยังไปเคารพบูชากราบไหว้ ด้วยถือว่าเป็นประธาน หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในวัดมากกว่า
.
และก็อย่างที่รู้กันนั่นแหละครับว่า เรื่องเล่าทำนองนี้ก็มีในไทยด้วย ที่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้มีในเอกสารของฝรั่ง เช่น บทความหนึ่งในวารสาร Siam Society ฉบับประจำเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1910 (พ.ศ.2453) ที่มีข้อความตอนหนึ่งระบุว่า
.
“เมื่อต้น ค.ศ.1634 (พ.ศ.2177 ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าปราสาท) พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาให้ซ่อมประตูใหม่ทั้งหมด ตรัสสั่งให้จับหญิง (หมายถึงหญิงท้องแก่) ฝังเสาละ 2 คน ประตูหนึ่งมี 2 เสา เพราะฉะนั้น ประตู 17 ประตู จึงต้องการหญิง 68 คน”
.
เคราะห์ดีขึ้นมาหน่อยที่เรื่องราวข้างต้นนั้นยังถูกบันทึกไว้ด้วยว่า ผู้หญิงทั้ง 68 คนนั้น ไม่ได้ต้องถูกบูชายัญอยู่ที่หลุมเสาทั้งหมด เพราะในบรรดาผู้หญิงที่ถูกจับมาทั้งหมดนี้เกิดมีอยู่ 5 คน ที่อยู่ๆ ก็คลอดลูกออกมา ซึ่งถือเป็นอุบาทว์ ดังนั้น จึงแก้เคล็ดด้วยการจับบูชายัญลงหลุมเสาของประตูไชยแค่เพียง 4 คน ส่วนคนที่เหลือให้โกนหัวแล้วกรีดศีรษะ 2 แฉก แล้วกลับบ้านได้
.
ข้อมูลทำนองนี้ยังมีอยู่อีก แต่ก็เป็นเช่นเดียวกับทั้งในราชาธิราช ตำนานสร้างเมืองเวียงจันทน์ และบันทึกที่ฝรั่งอ้างถึงสมัยพระเจ้าปราสาททอง คือเราไม่มีข้อมูลพอจะพิสูจน์หรอกนะครับว่า จริงหรือเปล่า? เพราะอย่างน้อยก็ไม่เห็นมีพงศาวดาร หรือเอกสารไม่ว่าจะภาษาใดเลยที่ยืนยันกับเราได้ว่ามีการบูรณะประตูเมืองสมัยพระเจ้าปราสาททอง
.
โดยยังไม่ต้องพูดถึงว่า มีการจับเอาผู้หญิงท้องแก่ไปฝังอยู่ใต้เสาจริงหรือเปล่าด้วยซ้ำไป
.
แต่นอกจากข้อมูลที่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือตำนานต่างๆ แล้วก็ยังมีรูปประติมากรรมที่แสดงถึงการบูชายัญมนุษย์อีกเช่นกัน คือรูปประติมากรรมบนหน้ากลองมโหระทึก อายุ 2,300-1,900 ปีมาแล้ว จากมณฑลยูนนาน ในประเทศจีน ที่แสดงรูปการจับมนุษย์มัดไว้กับเสา (หรือหลักของบ้าน) ในลานกลางบ้าน (ซึ่งคือที่ตั้งของเสาหลักบ้าน ในชุมชนต่างๆ ของอุษาคเนย์) ในงานพิธีกรรมบางอย่าง
.
กลองมโหระทึกพวกนี้สร้างขึ้นในวัฒนธรรมเดียน (Dian culture) ซึ่งแม้ว่าในปัจจุบันจะอยู่ในเขตประเทศจีน แต่ในทางวัฒนธรรมนั้นสัมพันธ์กับอุษาคเนย์มากกว่า อย่างน้อยที่สุดช่วงเวลาที่วัฒนธรรมเดียนเจริญอยู่นั้น ราชวงศ์ฮั่นของจีนที่มีอายุอยู่ร่วมสมัยกันนั้น ก็ถือว่าคนพวกนี้คือพวกป่าเถื่อน และไม่เคยยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของจีนเลย
.
เอาเข้าจริงแล้ว เมื่อพิจารณาจากข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นร่องรอยหลักฐานต่างๆ บางทีตำนานการฝังคนไว้ที่ใต้หลุมเสานั้น ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องเหลวไหลเสียทีเดียวก็ได้นะครับ
.
เสาหลักเมือง ร่องรอยการบูชายัญมนุษย์ในอุษาคเนย์? โดย ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ
------------------------------------
ผี พราหมณ์ พุทธ ในศาสนาไทย"
โดย คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง วิจักขณ์ พานิช และศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ (บรรณาธิการ)
ออกแบบปก ประกิต กอบกิจวัฒนา
.
320 บาท
ฟรีจัดส่งลงทะเบียน
สั่งซื้อทาง inbox ครับผม

(https://www.facebook.com/photo/?fbid=713406624333692&set=a.477605444580479)