Thanapol Eawsakul
tspeondorS46l2thaum6c0ui4lic5fa0111279l7i448mi62m18ffa83936a ·
ประวัติย่อไอทีวี ฉบับทักษิณช่วยเจ้า
.......
ไอทีวีเป็นผลผลิตของเหตุการณ์พฤษภา 2535 สังคมเห็นร่วมกันว่าทีวีภายใต้ทหาร ช่อง 5 ช่อง 7 รัฐบาล ช่อง 3 ช่อง 9 ช่อง 11 เป็นส่วนหนึ่งของโฆษณาชวนเชื่อจนกลายเป็นโศกนาฎกรรมเดือนพฤษภา 2535
โดยไอเดียเพื่อไม่ให้เกิดการผูกขาด เลยมีกำกำหนดว่าบริษัทที่จะมาประมูลนั้นต้องมีสัดส่วนผู้ถือหุ้น 10 ราย แต่ละรายต้องมีสัดส่วนหุ้นที่เท่ากัน พร้อมกับแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน เพื่อป้องกันการผูกขาด และมีสัดส่วนเนื้อหารายการข่าวและสาระ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 และรายการบันเทิงไม่เกินร้อยละ 30
บริษัทผู้เข้าประมูล มีอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ คือ
- กลุ่มสยามทีวี มีแกนหลักคือ ธนาคารไทยพาณิชย์, บจก.สหศินิมา (มีสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ถือหุ้นใหญ่), หนังสือพิมพ์เดลินิวส์, บจก.บอร์น แอนด์ เอสโซซิเอทท์ ของนายไตรภพ ลิมปพัทธ์, สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น, หนังสือพิมพ์ดอกเบี้ย และหนังสือพิมพ์ตงฮั้ว กลุ่มนี้เสนอผลตอบแทนสูงสุดประมาณปีละ 1,000 ล้านบาท ตลอดทั้งอายุสัมปทาน 25 ปี ประมาณ 25,000 ล้านบาท
-กลุ่มเนชั่น ประกอบด้วย เครือเนชั่น, บจก.แปซิฟิค อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่นส์ ของนายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา โดยมี สมเกียรติ อ่อนวิมล เป็นผู้ควบคุมเนื้อหา, บมจ.มติชน และ บมจ.สามารถ กลุ่มนี้ได้คะแนนเนื้อหาเป็นอันดับหนึ่ง แต่เสนอผลตอบแทนตามเกณฑ์ขั้นต่ำประมาณปีละ 500 ล้านบาท
ผลการประมูลไม่ต้องสงสัยเลยว่ากลุ่มแรกชนะเพราะให้ค่าตอบแทนมากกว่า 2 เท่าคือปีละ 1,000 ล้านบาท 25 ปี 25,000 ล้านบาท
ซึ่งจะเป็นทุขลาภต่อมา
ต่อมา ไอเอ็นเอ็น ดอกเบี้ย และตงฮั้วถอนตัวออกไป กลุ่มสยามอินโฟเทนเมนท์ จึงดึงเครือเนชั่น คู่แข่งที่เข้าร่วมประมูลแต่ไม่ได้รับเลือก เข้าร่วมทุนด้วย
ดังนั้นจึงมีผู้ร่วมทุนทั้งหมดประกอบด้วย
สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ผ่าน สหศินิมา)
เนชั่น
กันตนา
วัฏจักร
เดลินิวส์
ล็อกซ์เลย์
บอร์น
และไจแอนท์
โดยตั้งชื่อสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ว่า สถานีโทรทัศน์ไอทีวี
เริ่มออกอากาศอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2539
หลังจากนั้น 1 ปีก็เหตุวิฤติต้มยำกุ้ง ปี 2540
ไอทีวี ขาดทุนอย่างหนัก ธนาคารไทยพาณิชย์ในฐานะผู้ถือหุ้นและเจ้าหนี้รายใหญ่ ได้เปลี่ยนแปลงประธานกรรมการไอทีวี จากนายโอฬาร ไชยประวัติ เป็นนายประกิต ประทีปะเสน อดีตรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธ.ไทยพาณิชย์ และมีนโยบายที่จะแก้ปัญหาการขาดทุน โดยต้องการอำนาจการบริหารเบ็ดเสร็จ โดยผลักดันให้มีการแก้ไขสัญญาสัมปทาน โดยเฉพาะในเรื่องการกระจายผู้ถือหุ้น และจะนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรี ในสมัยนายชวน หลีกภัย มีมติเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 อนุมัติให้มีการแก้ไขสัญญาสัมปทาน ด้วยเหตุผลว่าเพื่อให้สอดคล้องกับ พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 และเป็นไปตามข้อบังคับของ ตลท. และมีการแก้ไขสัญญาสัมปทานเมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2543
หรือนัยหนึ่งรัฐบาลชวนช่วยหาช่องทางในการขายไอทีวีเพื่อลดภาระการขาดทุนของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ หรือของเจ้านั่นเอง
หลังวิกฤติ 2540 คนที่ไม่บาดเจ็บจากต้มยำกุ้งและมีเงินสดมากพอคือทักษิณ ชินวัตร
ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2543 ธนาคารไทยพาณิชย์ได้ดึงกลุ่มชิน คอร์ปอเรชั่น (ชินคอร์ป) เข้ามาถือหุ้นไอทีวีด้วยวงเงิน 1,600 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 39% ส่วนธนาคารไทยพาณิชย์ได้แปลงหนี้เป็นทุน มีสัดส่วน 55% โดยมอบสิทธิ์การบริหารให้กับชินคอร์ป ของทักษิณ ชินวัตร ซึ่งตอนนั้นก่อตั้งพรรคไทยรักไทยแล้ว
หรือนัยหนึ่งสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์หรือเจ้า ก็สามารถปลดภาระหนี้สินได้ด้วยการช่วยเหลือของทักษิณนั่นเอง
ในเวลานั้นทักษิณคือผู้มาช่วยเจ้า คือ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากาัตริย์ ที่ถือหุ้นใหญ่ในธนาคารไทยบพาณิชย์ที่เป็นทั้งผู้ถือหุ้นและเจ้าหนี้ในไอทีวี รวมทั้งเรื่องเงินค่าสัมปทาน 25,000 ล้านบาทที่สัญญาไว้กับรัฐด้วย
หลังจากนั้นเราก็ทราบกันดี ว่ามีเรื่องมากมาย
ทั้งการแทรกแซงสื่อ (แต่ทักษิณบอกว่านี่มันเป็นบริษัทผม)
กบฎไอทีวี
การรัฐประหาร 2549
การปิดไอทีวี
หรือแม้แต่หุ้นมรดกของพิธา
ฯลฯ
แต่ทั้งหมดทั้งปวงเกิดจากความหวังดีของทักษิณที่จะมาช่วยเจ้านั่นเอง
.....
Jom Petchpradab
17h
·
มี"ผม"ในวันนี้..เพราะมี "ไอทีวี.ทีวีเสรี" ในวันนั้น
เห็นเพื่อนพ้อง น้องพี่ ( ส่วนใหญ่จะเป็นน้องๆ ) ต่างพากัน รำลึก "ไอทีวี ทีวีเสรี"กันอีกครั้ง สืบเนื่องจากกรณีที่ คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล ถูกร้องเรื่องถือหุ้นไอทีวี.
"ไอทีวี.ทีวีเสรี" เป็นบันทึกชีวิตบทสำคัญอีกบทหนึ่งในชีวิตของผม หลังจากชีวิตบทแรกในวิชาชีพสื่อมวลชนเริ่มต้นที่ขึ้นสื่อสิ่งพิมพ์ หนังสือพิมพ์ "มติชน" หนังสือพิมพ์ที่มีสโลแกนว่า"คุณภาพของประชาชนคือคุณภาพของประเทศ" เป็นเวลา 9 ปีเต็ม.
ในปี 2539 ผมเป็น 1 ในคณะผู้บุกเบิก 50 กว่าคนแรกของ"ไอทีวี ทีวีเสรี" ด้วยตำแหน่ง บรรณาธิการข่าวสังคม-การศึกษา-ศาสนา-สิ่งแวดล้อม และต่อท้ายด้วย บรรณาธิการข่าวราชสำนัก. โดยมีแม่ทัพใหญ่นำธง"ทีวีเสรี" ที่เอกชนเป็นเจ้าของช่องแรกของประเทศไทยในเวลานั้น คือคุณสุทธิชัย หยุ่น
"ไอทีวี.ทีวีเสรี"ยุคนั้น เปรียบเสมือนคลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงสร้างภูมิทัศน์ใหม่ของสื่อทีวีเมืองไทย ด้วยคัมภีร์การนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่แหวกทุกกฎ ทุบทุกธรรมเนียมปฎิบัติในการนำเสนอข่าวสารของวงการโทรทัศน์เมืองไทย. ปัจจัยเดียวที่ทำเช่นนี้ได้ก็เพราะ "เสรีภาพ"ของความเป็น "ทีวีเสรี" ช่องนี้
ด้วยเวลาเพียง 2 ปีของการก่อกำเนิดขึ้นของ"ไอทีวี ทีวีเสรี" ได้สร้างความแปลก ความสดใหม่ในการรายงานข่าว ทันเหตุการณ์ เจาะลึก และเปิดโปงขบวนการทุจริตในรัฐราชการหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะวงการตำรวจ
แต่วิกฤติ"ต้มยำกุ้ง"เป็นเหมือนโรคร้ายแรงที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว เกาะกินทำลายความเป็น"ไอทีวี.ทีวีเสรี"ลงไปอย่างน่าเสียดาย
ขณะที่รัฐบาลซึ่งเป็นเจ้าหนี้ ก็ดูจะไม่ยินดีปรีดาที่จะให้ทีวีเอกชนรายนี้ได้ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของสาธารณะอีกต่อไป หวังเพียงแค่รายได้จากที่ ไอทีวี.ต้องจ่ายตามสัญญาที่ทำไว้ในช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะขาขึ้น ทั้งๆ ที่รัฐบาลเองนั่นแหละที่ล้มเหลวผิดพลาดในการบริหารจนนำพาประเทศเข้าสู่ภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจ แต่ภาคธุรกิจเอกชนกลับต้องมาแบกรับความล้มเหลวนั้น
และเพื่อที่จะต่อลมหายใจให้ "ไอทีวี."ได้อยู่รอดได้ต่อไป นักการเมืองใหญ่และเป็นนายทุนที่รวยที่สุดในเวลานั้น ได้เข้ามาซื้อทีวีช่องนี้ไป จากนั้นเป็นต้นมา "ไอทีวี." จึงไม่มีนามสกุลหรือสโลแกนที่ว่า"ทีวีเสรี"อีกต่อไป ....
และนี่คือที่มา อันนำมาซึ่งจุดอวสานของ"ไอทีวี." แต่ที่น่าเศร้ายิ่งกว่าแม้ว่าทีวีช่องนี้จะตายไปนานแล้ว แต่กลับถูกขุดมาใช้ทำลายร้างทางการเมืองกันต่อไปอีก (ทั้งๆที่จุดจบของไอทีวี.ก็เพราะการเมือง ด้วยเหมือนกัน)
ขอบคุณทุก ๆ คน ที่ร่วมกันก่อร่างสร้างสถานีโทรทัศน์ "ไอทีวี.ทีวีเสรี" ด้วยกันมาอย่างทุ่มเทและเสียสละ และแน่นอนพวกคุณได้สร้าง "ผม" ให้แข็งแกร่งอยู่ได้ในทุกวันนี้ด้วยเช่นกัน.
มี"ผม"ในวันนี้..เพราะมี "ไอทีวี.ทีวีเสรี" ในวันนั้น
เห็นเพื่อนพ้อง น้องพี่ ( ส่วนใหญ่จะเป็นน้องๆ ) ต่างพากัน รำลึก "ไอทีวี ทีวีเสรี"กันอีกครั้ง สืบเนื่องจากกรณีที่ คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล ถูกร้องเรื่องถือหุ้นไอทีวี.
"ไอทีวี.ทีวีเสรี" เป็นบันทึกชีวิตบทสำคัญอีกบทหนึ่งในชีวิตของผม หลังจากชีวิตบทแรกในวิชาชีพสื่อมวลชนเริ่มต้นที่ขึ้นสื่อสิ่งพิมพ์ หนังสือพิมพ์ "มติชน" หนังสือพิมพ์ที่มีสโลแกนว่า"คุณภาพของประชาชนคือคุณภาพของประเทศ" เป็นเวลา 9 ปีเต็ม.
ในปี 2539 ผมเป็น 1 ในคณะผู้บุกเบิก 50 กว่าคนแรกของ"ไอทีวี ทีวีเสรี" ด้วยตำแหน่ง บรรณาธิการข่าวสังคม-การศึกษา-ศาสนา-สิ่งแวดล้อม และต่อท้ายด้วย บรรณาธิการข่าวราชสำนัก. โดยมีแม่ทัพใหญ่นำธง"ทีวีเสรี" ที่เอกชนเป็นเจ้าของช่องแรกของประเทศไทยในเวลานั้น คือคุณสุทธิชัย หยุ่น
"ไอทีวี.ทีวีเสรี"ยุคนั้น เปรียบเสมือนคลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงสร้างภูมิทัศน์ใหม่ของสื่อทีวีเมืองไทย ด้วยคัมภีร์การนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่แหวกทุกกฎ ทุบทุกธรรมเนียมปฎิบัติในการนำเสนอข่าวสารของวงการโทรทัศน์เมืองไทย. ปัจจัยเดียวที่ทำเช่นนี้ได้ก็เพราะ "เสรีภาพ"ของความเป็น "ทีวีเสรี" ช่องนี้
ด้วยเวลาเพียง 2 ปีของการก่อกำเนิดขึ้นของ"ไอทีวี ทีวีเสรี" ได้สร้างความแปลก ความสดใหม่ในการรายงานข่าว ทันเหตุการณ์ เจาะลึก และเปิดโปงขบวนการทุจริตในรัฐราชการหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะวงการตำรวจ
แต่วิกฤติ"ต้มยำกุ้ง"เป็นเหมือนโรคร้ายแรงที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว เกาะกินทำลายความเป็น"ไอทีวี.ทีวีเสรี"ลงไปอย่างน่าเสียดาย
ขณะที่รัฐบาลซึ่งเป็นเจ้าหนี้ ก็ดูจะไม่ยินดีปรีดาที่จะให้ทีวีเอกชนรายนี้ได้ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของสาธารณะอีกต่อไป หวังเพียงแค่รายได้จากที่ ไอทีวี.ต้องจ่ายตามสัญญาที่ทำไว้ในช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะขาขึ้น ทั้งๆ ที่รัฐบาลเองนั่นแหละที่ล้มเหลวผิดพลาดในการบริหารจนนำพาประเทศเข้าสู่ภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจ แต่ภาคธุรกิจเอกชนกลับต้องมาแบกรับความล้มเหลวนั้น
และเพื่อที่จะต่อลมหายใจให้ "ไอทีวี."ได้อยู่รอดได้ต่อไป นักการเมืองใหญ่และเป็นนายทุนที่รวยที่สุดในเวลานั้น ได้เข้ามาซื้อทีวีช่องนี้ไป จากนั้นเป็นต้นมา "ไอทีวี." จึงไม่มีนามสกุลหรือสโลแกนที่ว่า"ทีวีเสรี"อีกต่อไป ....
และนี่คือที่มา อันนำมาซึ่งจุดอวสานของ"ไอทีวี." แต่ที่น่าเศร้ายิ่งกว่าแม้ว่าทีวีช่องนี้จะตายไปนานแล้ว แต่กลับถูกขุดมาใช้ทำลายร้างทางการเมืองกันต่อไปอีก (ทั้งๆที่จุดจบของไอทีวี.ก็เพราะการเมือง ด้วยเหมือนกัน)
ขอบคุณทุก ๆ คน ที่ร่วมกันก่อร่างสร้างสถานีโทรทัศน์ "ไอทีวี.ทีวีเสรี" ด้วยกันมาอย่างทุ่มเทและเสียสละ และแน่นอนพวกคุณได้สร้าง "ผม" ให้แข็งแกร่งอยู่ได้ในทุกวันนี้ด้วยเช่นกัน.