วันพุธ, ตุลาคม 13, 2564

หนทางประชาธิปไตย ‘ฟ้อง’ ‘โดนฟ้อง’ และ ‘ลูกอีช่างฟ้อง’

ในบริบทแห่งหนทางสู่เป้าหมายประชาธิปไตยของปวงชนในไตแลนเดีย คนหนึ่งต้อง ฟ้อง เพื่อรักษาสิทธิและเสรีภาพ อีกคนถูกฟ้องเพราะอำนาจเหนือประชาธิปไตยไม่ชอบให้ใช้เสรีภาพ บางคนเป็นลูกอีช่างร้อง ฟ้องแม่งดะ

คนที่ต้องฟ้องนี่ทีแรกไม่ยี่หระ บอก ชั่งหัวมันกับพวกวัฒนะอธรรม รับใช้พญามาร แต่ครั้นเหล่ากัลยาณมิตรผู้ร่วมแนวคิดทักว่า ถ้าปล่อยคนเหล่านั้นทำการโดยอำเภอใจ จะกลายเป็นอนิสัยเรื้อรังฝังหัวตลอดไป เป็นพิษเป็นภัยระยะยาวต่อมวลชน

สุชาติ สวัสดิ์ศรี ศิลปินของทวยราษฎร์ ประกาศเอาฤกษ์ ๑๔ ตุลา ๒๕๖๔ จะไปยื่นฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เป็นวงเงิน ๑,๑๒๐,๐๐๐ บาท ให้ได้หลาบจำ

คำร้องต่อศาลปกครองกลางระบุ ขอให้ทบทวนตรวจสอบการใช้อำนาจของคณะกรรมการฯ ออกคำสั่งยกเลิกสถานะ ศิลปินแห่งชาติของเขาไปเมื่อ ๑๙ สิงหา อ้างว่าเขาแสดงความคิดเห็นทางสื่อสังคม “โดยมีถ้อยคำหรือภาพที่หมิ่นเหม่ต่อสถาบัน” กษัตริย์ไทย

คำสั่งนี้อ้างเป็นมติของคณะกรรมการ หากแต่ “ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นธรรม ทั้งการลงมติใช้วิธีประชุมลับ ไม่เปิดเผยข้อมูลข้อเท็จจริงที่นำมาใช้ประกอบการพิจารณา ไม่ให้สิทธินายสุชาติชี้แจงโต้แย้งก่อนการลงมติ”

จัดว่าเป็น “การใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ ตีความข้อกฎหมายกำกวมตามอำเภอใจ และขัดต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น” คำฟ้องแจ้งไว้ในตอนหนึ่ง

คดีนี้จึงเป็น ตัวอย่างให้ผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิ์ และถูกก้าวล้ำครอบงำ ดูไว้เป็นตัวอย่างว่าในวิถีทางประชาธิปไตย การแสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะต่อบุคคลสาธารณะ ไม่ควรที่จะเป็นเหตุให้ต้องถูกริบสถานะทางสังคมละล่วงล้ำศักดิ์ศรี

สำหรับรายที่ถูกอัยการสั่งฟ้องในข้อหาความผิดตามประมวล กม.อาญา มาตรา ๑๑๒ จากการที่เขาเปิดอภิปรายสดผ่านทางสื่อสังคมเฟชบุ๊ค เรื่อง “วัคซีนพระราชทาน: ใครได้ใครเสีย” นั้น ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้ากล่าวว่า

“ขอใช้โอกาสนี้แจ้งให้สังคมทราบกันว่า นี่เป็นยุคที่เกิดคดีทางการเมืองมากสุดในประเทศไทย ที่ รบ.ใช้กฎหมายกดขี่ปิดปากประชาชน ทุกวันนี้เกิดคดีทางการเมืองกว่า ๘๐๐ คดี มีผู้ถูกกล่าวหากว่า ๑,๕๐๐ คน เฉพาะมาตรา ๑๑๒ มีผู้ถูกดำเนินคดีมากกว่า ๑๕๐ คดี

ทำให้ไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศ ที่รัฐบาล/ผู้ปกครองใช้อำนาจอย่างก้าวร้าว กีดกันการแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและเสรีของมวลหมู่ประชากร อภิวัฒน์ ขันทอง ผู้ฟ้องแสดงตนว่าเป็นเจ้าหน้าที่คอยดำเนินคดีต่อผู้เผยแพร่ข้อความ “ตามคำสั่งของพลเอกประยุทธ์ที่ 32/2563

ส่วนลูกอีช่างร้อง ศรีสุวรรณ จรรยา ซึ่งไปแจ้งความกับคณะกรรมการเลือกตั้งไว้ว่า คณะก้าวหน้า“มีการกระทำเข้าลักษณะเป็นพรรคการเมือง ลงสมัครเลือกตั้งท้องถิ่น ตามมาตรา ๑๑๑ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง” นั้น

คงจะรับงานให้คอย เตะตัดขา คณะรณรงค์ทางการเมืองภาคประชาชนแห่งนี้จริงๆ ดังที่ ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้าตั้งข้อสังเกตุว่า “คน ๆ นี้ร้องมากี่เรื่อง สำเร็จไปกี่เรื่อง ร้องไปเพื่ออะไร มีเหตุผลเบื้องหลังเพื่อสกัดพวกเราใช่หรือไม่”

ปิยบุตรบ่นด้วยว่า “คนบางกลุ่มในประเทศนี้จะกลัวอะไรพวกเรานักหนา ตั้งแต่วันที่ตั้งพรรคอนาคตใหม่ จนมาถึงวันที่ยุบพรรคตัดสิทธิเราไปแล้ว ถ้าจะทำแบบนี้ทำไมไม่เอาให้ชัดไปเลย ว่าต้องการจะลบชื่อพวกเราออกไปจากแผ่นดินนี้ถึงจะพอใจ”

เป็นที่ทราบกันแล้วว่าคณะก้าวหน้าเป็นกลุ่มผู้จัดตั้งพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นประวัติการณ์ครั้งแรกกว่า ๘๐ ที่นั่ง จึงถูก ทำหมัน ด้วยการปั้นข้อหา หัวหน้าให้พรรคยืมเงินและถือหุ้นสื่อ ส่ง ตลก.รัฐธรรมนูญฟันสำเร็จด้วยการยุบพรรค

ต่อมาถูกดูดบ้าง งูเห่าบ้าง ที่ยังเหลืออยู่ ๖๐ กว่าที่นั่ง ตั้งพรรคก้าวไกลเดินหน้ากันต่อ ต่างทำหน้าที่ตรวจสอบทั้งการทำงานและความไม่ชอบมาพากลในรัฐบาลประยุทธ์ อย่างไม่ย่นย่อและมีประสิทธิภาพสูง จน นักร้อง ต้องฟ้องเหมือนที่ทำกับพรรคต้นตอ

เพียงเพราะสิ่งที่คณะก้าวหน้าเข้าไปจับ เนื่องจากไม่มีกฎหมายพรรคการเมืองกำกับ ก็คือการเลือกตั้งท้องถิ่น ซึ่งพวกเขาทำได้แข็งขันอย่างทรงประสิทธิภาพ จากการเลือกตั้งนายก อบจ. มาคราวนี้ ๒๘ พฤศจิกา เป็นการเลือกตั้ง อบต.หลายพันแห่งทั่วประเทศ

ดังธนาธรชี้ชวนว่า “เราอยากให้ประชาชนได้ร่วมกันตระหนัก ว่าองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นอย่าง อบต.มีความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนมาก มีความใกล้ชิดกับประชาชนมาก และหนึ่งเสียงของทุกคนเปลี่ยนบ้านของตัวเองได้”

หากงานนี้ของคณะก้าวหน้าประสบความสำเร็จ ปักหลักใน อบต.ได้ถึงครึ่ง จะทำให้พวกนักยึดอำนาจที่ครองเมืองอยู่เดี๋ยวนี้ครั่นเนื้อครั่นตัว หนาวๆ ร้อนๆ กันไปตามๆ

(https://prachatai.com/journal/2021/10/95439, https://twitter.com/Thanathorn_FWP และ https://www.facebook.com/supermone.sawadsri/posts/4713105445395983)