วันอังคาร, สิงหาคม 03, 2564

เพิ่มอาวุธตำรวจปราบม็อบ มอบงบกลาง ๑.๖ หมื่นล้านให้ประยุทธ์ รัฐบาล ๔ พันศพโควิดไปโลด


นครบาลฯ ประกาศวันนี้ ใช้กฎหมาย ๓ ฉบับจัดการ ม็อบราษฎร หน้าหอศิลป์ตอนบ่าย ๔ โมง ทั้ง #พรก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.โรคติดต่อ และ พ.ร.บ.จราจรทางบก ส่วนจะตีความกฎหมายเหล่านี้ตามใจ เพื่อใช้อุป (ยุทโธป) กรณ์ เช่น แก๊สน้ำตาและกระสุนยางอีกไหม ไม่บอก

ถึงเวลานั้นรู้กันเอง ถ้าบังเอิญมีผู้ชุมนุมบาดเจ็บหรือกระทั่งล้มตาย ค่อยแถลงใหม่ว่าจำเป็นอย่างไร จึงสามารถใช้ความรุนแรงได้ แม้นว่าข้ออ้างเหล่านั้นไม่เข้าข่ายวิธีการปราบปรามที่เป็นสากลในทางปฏิบัติ เช่นจ่อปืนที่หัวผู้ชุมนุมกำลังขับจักรยานยนต์ออกไป

วานนี้ตำรวจแก้ต่างว่า การใช้ปืนจ่อเพียงขู่ให้ผู้ชุมนุมนั้นยุติกระทำการ แต่ในภาพที่แพร่กันไปทั่วเน็ตบ่งจะแจ้งว่า การจ่อปืนข้างหลังระดับหัว ไม่ทำให้ผู้ถูกจ่อรู้ได้เลยว่านั่นเป็นการขู่นะ และถ้าตำรวจผู้นั้นเผลอเหนี่ยวไก ก็จะทำให้เขาตายโดยไม่ทราบว่าเป็นการขู่

ดังนี้ตำรวจจะอ้างกฎหมายฉบับไหนก็ไม่สำคัญเสียแล้ว ตราบเท่าที่การบังคับใช้ไม่ได้อยู่ในร่องรอยแห่งกฎหมายนั้นๆ เจตนาจะใช้กำลังและอาวุธกับผู้ชุมนุม ซึ่งเรียกร้องมาตลอดให้เปลี่ยนตัวผู้นำและทีมบริหารรัฐบาล เนื่องจากกระทำผิดพลาดแทบทุกเรื่อง

นับแต่ละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อกลุ่มคนที่เห็นต่าง ด้วยประเด็นทางการเมือง มาถึงการล้างผลาญทรัพยากร เงินทุน ของชาติ จนร่อยหรอไม่เห็นทางกู่กลับ มีแต่กู้เกินความสามารถหามาชดเชยงบประมาณที่ผลาญไป แล้วยังจัดแก้วิกฤตโควิดระบาดล้มเหลวสิ้นดี

บ้านเมืองมาถึงจุดตกต่ำแทบทุกทางเช่นนี้ ก็ยังไม่สำนึก มุ่งมั่นแต่จะปราบปรามฝ่ายที่คอยตรวจตราและตักเตือน จึงเอาแต่เพิ่มอำนาจ บิดกฎหมาย ให้ตำรวจเป็นอสูรแทนทหาร ซึ่งได้กระทำมาจนมือเปรอะเลือดโชก อับอายนานาชาติ

นอกจากการออกกฏระเบียบและคำสั่งต่างๆ อย่างละเมิดสิทธิมนุษยชน และย่ำยีเสรีภาพ จน ๑๒ องค์กรสื่อมวลชน ร่วมกันยื่นฟ้องศาลแพ่งให้ยับยั้งอาการเหลิงอำนาจ และการใช้วิชามารบังคับกดขี่ประชาชน ของรัฐบาลชุดนี้ ศาลรับฟ้องไปแล้วต้องคอยลุ้นดูผล


อีกด้าน ของการตั้งใจใช้อาวุธปราบปรามประชาชน เข้าทางพวกอัปรีย์ที่คอยห้ำหั่นประชาชนซึ่งพยายามเรียกร้องให้เกิดการชำระล้าง การข่มเหงและเอารัดเอาเปรียบจากฝ่ายชนชั้นนำของประเทศ คำเสนอแนะของ อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ให้รัฐบาลใช้อัยการศึกขั้นเด็ดขาด

“ทำไงก็ต้องมีคนตาย ความเด็ดขาดจำเป็นแล้ว ไม่มีปืนคุมอะไรไม่ได้หรอกครับ” เขาน่าจะโมหะเสียจนใช้คำผิดไปนิด ความตั้งใจคงหมายถึงว่า ถ้าไม่ใช้ปืนทำลายล้างละก็ ไม่สามารถคุมม็อบได้ เขาคงต้องรู้มาแล้วอย่างดีว่าตำรวจมีอาวุธพร้อมมือ

แล้วยังสะสมเพิ่ม เตรียมไว้เข่นฆ่าฝ่ายเห็นต่างที่นับวันจะเพิ่มขึ้นไม่หยุดยั้ง “สำนักงานตำรวจแห่งชาติทำงบจัดซื้ออาวุธปืนสำหรับปีหน้ากว่า ๗,๐๐๐ กระบอก” Pita Limjaroenrat - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลป่าวร้องให้ชาวบ้านทั้งหลายตระหนัก

“รวมห้าปีของรัฐบาลประยุทธ์ซื้อไปแล้ว ๘๐,๓๐๓ กระบอก เตรียมปกป้อง หรือ เตรียมทำสงครามกับประชาชน” เขาเสริม “งบประมาณจัดซื้ออาวุธปืนสงครามส่วนนี้ เป็นคนละส่วนกับงบจัดซื้อปืนสวัสดิการ และ ยุทโธปกรณ์สำหรับตำรวจสายงานป้องกันปราบปราม”

และ “การจัดซื้ออุปกรณ์ควบคุมฝูงชน (หรือเครื่องมือปราบม็อบ) ก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญตั้งแต่หลังปี ๒๕๖๑ ด้วย” โดยมีการตั้งงบประมาณระหว่างปี ๖๑ ถึง ๖๕ มากกว่า ๒,๐๗๐ ล้านบาท “รายการที่น่าสนใจคือการจัดซื้อปืนชอตไฟฟ้า (Taser gun) สำหรับ ๑,๔๙๓ สน.”

ความพยายามของพรรคฝ่ายค้านเช่นก้าวไกล ที่จะตัดทอนงบประมาณซื้ออาวุธหลากหลายของกลาโหมและกองทัพ โดยระบุให้ผันไปใช้ในกระบวนการต่อสู้ แก้ไขภาวะวิกฤตจากการระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-๑๙ เป็นวงเงินถึง ๑๖,๓๖๒ ล้านบาท


ปรากฏว่าความพยายามนั้นเป็นหมัน เมื่อกรรมาธิการงบประมาณฯ ด้วยคะแนนเสียง ๓๕ ต่อ ๗ และงดออกเสียง ๓ คน อนุมัติให้โอนงบประมาณส่วนนั้นไปเข้า งบกลางที่นายกรัฐมนตรีจะนำไปใช้จ่ายอย่างไรตามใจชอบ ไม่ต้องผ่านการกลั่นกรองของสภา

กรรมาธิการที่คัดค้าน การตีเช็คเปล่า ให้ประยุทธ์ จันทร์โอชา นำออกใช้ได้อย่างคล่องมือ ไม่ต้องห่วงการตรวจสอบนั้นเป็นเหล่า ส.ส.พรรคก้าวไกลเกือบทั้งหมด ยกเว้นคนเดียวที่มาจากพรรคประชาชาติ ที่ร่วมไม่เอาด้วยต่อข้อเสนอนั้น คือ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง

และควรบันทึกไว้ด้วยว่า ไม่เพียงกรรมาธิการในส่วนของพรรครัฐบาล (พปชร.) และพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นฝ่ายค้าน ยังร่วมให้ความเห็นชอบด้วยทั้งกระบิ ๑๒ คน แล้วคงออกมาให้เห็นผลในภายหลังได้ง่ายๆ ว่าเพราะข้ออ้างของพรรครัฐบาลเจ้าของญัตติ

มอบงบประมาณส่วนนี้ให้ประยุทธ์ใช้จัดการปัญหาโควิด ทั้งๆ ที่ประยุทธ์นี่ละเป็นหัวหน้าใหญ่ ทีมแก้ไขผลกระทบจากการระบาดของโควิด ซึ่งทำหน้าที่นี้มาแล้วหลายเดือน ใช้จ่ายเงินงบประมาณไปแล้วมากมาย จนบัดนี้ก็ยัง ล้มเหลว ไม่เป็นท่า

เมื่ออัตราผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มสูงมาตลอดกว่าเดือน ช่วงชิงกันทำลายสถิติแต่ละวัน จนวันนี้ใกล้สองหมื่นเข้าไปทุกที (๑๘,๙๐๑) ตายอีก ๑๔๗ ราย

(https://www.moveforwardparty.org/parliament/4428/, https://www.prachachat.net/politics/news-683165 และhttps://www.facebook.com/1709974189109218/posts/3797730223666927/?d=n)