วันพุธ, มีนาคม 31, 2564

‘เต้น’ ประกาศยืนเคียงข้าง 'การต่อสู้' คนหนุ่มสาว ส่วนความผูกพัน 'ตู่' ทางกระบวนการ "มันไม่ได้ดำรงสภาพอยู่แล้ว"


ชัดแจ่มและจะแจ้ง กับการนั่งเรียงแถวแถลงข่าวของ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อย และพี่ๆ แกนนำ นปช. (ครั้งอดีต) ซึ่งบัดนี้น่าจะเรียกว่ากลุ่ม ยูดีดีส์คงไม่เกินจริงมากนัก โอกาสก็คือการถอดเครื่องอีเล็คโทรนิคคุมประพฤติ ได้อิสรภาพอัน เปราะบาง คืนมามากพอกล้าประกาศ

“ผมคิดว่าประเทศนี้ไม่สามารถจะพูดถึงอนาคตที่สดใสงดงาม ตราบเท่าที่อนาคตของชาติยังอยู่ในกรงขัง” แม้นว่า “การแสดงจุดยืนหรือการพูดเรื่องราวเหล่านี้ ก็อาจจะทำให้ความเปราะบางนั้น เปราะบางไปอีก แต่ผมไม่คิดจะมีทางเลือกอื่น”

เต้นพูดถึง “ในวันที่คนหนุ่มสาว ในวันที่พี่น้องประชาชนออกมาสู้ แล้วกำลังถูกกระทำอยู่เช่นนี้ ผมมีท่าทีอย่างอื่นไม่ได้ ผมแสดงจุดยืนอย่างอื่นไม่ได้ ผมต้องยืนเคียงข้างพวกเขา” โดยเปรียบเทียบถึงลูกชายวัยเยาว์ของตนในอีกสิบปีข้างหน้า

“จะอายุเท่าเพ็นกวิ้นวันนี้...ไม่แน่ว่าสิบปีข้างหน้า คนที่จะต้องวิ่งขึ้นลงบันไดศาล อาจจะไม่ใช่แม่เพนกวิ้น แม่รุ้ง แม่ไม้ค์ แม่ไผ่ แต่อาจจะเป็นผมซึ่งเป็นพ่อของเด็กชาย นปก ใสยเกื้อ...ผมถึงบอกว่าคนรุ่นเราต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ให้เด็กที่โตขึ้นมาบนความขัดแย้ง”

ใครที่อ้างว่า เด็กทำผิด “ต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย...ผมไม่ได้คิดแบบนั้น เราสู้กันมาสิบกว่าปี แล้วจนถึงวันนี้ การต่อสู้นี้ก็ยังคงอยู่ แล้วคนรุ่นลูกรุ่นหลานออกมาสู้วันนี้ ถูกดำเนินคดี ถูกกระทำต่างๆ นานามากมาย...คนรุ่นเราต่างหากต้องรับผิดชอบ”

เขาท้าวความตอนหนึ่ง “สิบกว่าปีที่ผ่านมา พวกผมต่อสู้แล้วเจอแต่สิ่งนี้...ถูกฆ่าตายมากที่สุดในประวัติศาสตร์...ถูกตราหน้าว่าเป็นควาย...ถูกกาหัวว่าเป็นพวกไร้การศึกษา เราถูกทำให้ไร้ค่า แต่พวกเขาคนหนุ่มสาวเหล่านี้...

หยิบยื่นความเห็นใจและหยิบยื่นเกียรติยศให้พวกผม พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่ตะโกนเรียกพวกเรากลางท้องถนน พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่บอกว่าเข้าใจพวกเราแล้วและขอโทษพวกเราที่เคยเข้าใจผิด ในนามของความเป็นมนุษย์ ผมทิ้งพวกเขาไม่ได้”

สัจจธรรมที่หลายๆ คนไม่สำเหนียก “ไม่มีใครปฏิเสธความเปลี่ยนแปลงได้ และเราอยู่ร่วมกับความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ ไม่มีใครต้องทำลายกันและกันให้พินาศ...เมตตาเถอะครับอย่าอาฆาต กรุณาเถอะครับอย่าพยาบาท”

ถ้อยคำซับซึ้งและซึมลึกของเขา ทำให้วันนี้ ณัฐวุฒิเป็น พี่เต้น ของน้องๆ หลานๆ ที่ “ยังอยู่ตรงนี้ จะไม่ทอดทิ้งกัน” ถึงอย่างนั้นมันช่วยไม่ได้ที่มันกระหวัดเกี่ยวถึงอีกพี่ ตู่ ซึ่งไม่ใช่ลุง ‘I Too’ ที่ผู้คนมักจะว่าได้ยินหรือ ‘hear’ ตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมา

ตู่-เต้น เป็นของคู่กันสำหรับ นปช.ครั้งกระโน้นสิบกว่าปีที่แล้ว วันนี้ก็ยัง “เราเป็นพี่น้องกัน ในทางส่วนตัวเนี่ยยังไงก็แยกกันไม่ได้ครับ แต่ว่าในแง่กระบวนการทางการเมือง ในแง่ของการขับเคลื่อนทางการเมือง ในฐานะองค์กรนำของ นปช.แบบเดิมนั้น

โดยข้อเท็จจริงมันไม่ได้ดำรงสภาพอยู่แล้วเกือบสามปี “ที่คุณจตุพร (พรหมพันธุ์) และคณะดำเนินการนั้น ก็เป็นไปดังที่ผมได้อธิบายความตั้งแต่ต้น ว่าเรายังไม่ได้ทราบเรื่อง...แล้วก็ไม่มีเจตนาจะไปกระทบกระทั่งใดใดกับคณะที่เคลื่อนไหวกันอยู่”

นั่นเป็นเรื่องของกำหนดวันที่ ๔ เมษายน ซึ่งผู้ยังดำรงตำแหน่งประธาน นปช.ประกาศจัดชุมนุมใหญ่ ขับอีกตู่ออกไปจากฐานะ ผู้ครองเมืองโดยมิพักจะเอ่ยถึงอีกสองข้อเรียกร้องของขบวนการคนรุ่นใหม่ อันทำให้พวกเขาถูกจับยัดคุกทั้งที่ยังไม่ได้ดำเนินคดี

มีเสียงกระทบออกมาแล้วว่า “ถ้าจตุพรจะออกมานำม็อบโดยจำกัดประเด็น ไม่แตะ ๑๑๒ก็นอนอยู่บ้านดีกว่า ไม่ยกเลิก ๑๑๒ และไม่ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ไม่มีทางเป็น ปชต.” สุรพศ ทวีศักดิ์ จดจารึกไว้ตามตรงบนสื่อสังคม เช่นกันกับอีกความเห็น

“ไล่ประยุทธ์ ๑ ไปก็มีประยุทธ์ ๒ ไล่ประยุทธ์ ๒ ก็มีประยุทธ์ ๓ ฯลฯ บทเรียนจากการไล่ถนอม-ประภาส ไล่เปรม ไล่สุจินดา ยังไม่พออีกหรือ” พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ ถามแรงๆ โดยเชื่อว่า “นี่เป็นการเบี่ยงเบนแนวทางการชุมนุม

ไปเป็นเรื่องการบริหาร ปท.ของประยุทธ์เพียงคนเดียว แม้แต่ปัญหา รธน.๖๐ ก็พูดถึงน้อยลงๆ โดยโยนไปเป็นเรื่องหลังเลือกต็ั้งครั้งต่อไป” เขาปรารภดังๆ ด้วยว่า “ความขัดแย้งการเมืองวันนี้เดินมาไกลมากแล้วจากจุดเริ่มต้นปี ๔๙

ไม่อาจหวนกลับได้” แม้กระทั่งประสบการณ์ พฤษภา ๓๕ ที่รุ่น ๕ กับรุ่น ๗ ช่วงชิงอำนาจกันแล้ว ไปหมอบกรานออกโทรทัศน์ให้รุ่น ๙ ตัดสิน เพื่อที่ได้กลับสู่ ‘Status quo’ สถานะไม่เปลี่ยน รักษาระบอบศักดินาประชาธิปไตยมาจนกระทั่งบัดนี้

(https://www.youtube.com/watch?v=LY8tVO8gB5Q, https://www.facebook.com/VoiceOnlineTH/videos/131816035560924/, https://www.facebook.com/pichitlk/posts/3889922941075495, https://www.facebook.com/awirapa และ https://www.facebook.com/waymagazine/posts/10157685906961456)