จนได้ เอากะเขาเหมือนกัน ผบ.ทบ.พูดไม่ต้องใช้หัวคิด พูดอย่างกูเป็นใหญ่ เป็นตะหานต้องมาก่อนใคร “นอกจากกำลังพลแล้ว มองไปถึงครอบครัวที่เป็นกำลังพลของกองทัพบก หรือคนที่ทำงานที่สวนสนประดิพัทธ์...ที่เราจ้างมา”
เท่านั้นไม่พอ “หรือทึ่สนามกอล์ฟกองทัพบก ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ไม่ใช่กำลังพลของกองทัพบก” แกหมายถึง ‘แค้ดดี้’ อะนะ “สำหรับตนแล้วจะเป็นคนกลุ่มแรก เพราะเขามาดูแลกำลังพลที่มาออกกำลังกาย โดยเฉพาะสนามกอล์ฟกองทัพบก ที่รามอินทรา”
พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ จะ ‘อุบาทว์’ เหมือนกับที่ ‘โรซี่ สโป๊คด๊าร์ค’ ต่อว่าหรือไม่ แค่ไหน ไม่กล้าเม้นต์ เห็นแต่สิ่งที่ทั่น ผบ.พูดเป็นข้ออ้าง “เพื่อเป็นการเรียกความเชื่อมั่นในเรื่องการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ” น่ะไม่ใช่นะเฮีย
ทั้งสวนประดิพัทธ์และสนามกอล์ฟกองทัพบก อาจเป็น ‘สวัสดิการเชิงธุรกิจ’ อย่างที่ ผบ.อ้าง แต่เพื่อการกินอิ่มหมีพีมันของพวกตะหานล้วนๆ นะนาย ไม่ได้เป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจของชาติและประชาชนอย่างที่ทั่นเพ้อ นะเออ
เอาแบบที่ ส.ส.วิโรจน์ ลักขณาอดิสร แนะน่าจะดีกว่ากันเยอะเลย “ให้ประชาชนได้ฉีดวัคซีน เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาปากท้องก่อนเถอะครับ ให้ทหารที่เกษียณแล้ว อยู่บ้านซักผ้า ล้างรถเอง เลิกเอาทหารเกณฑ์มารับใช้ ก็ออกกำลังกายได้เหมือนกัน” ครับทั่น
เท่าที่ทั่นพูดมา ล้วนพูดเอาแต่ได้สำหรับพวกตน มองเห็นหัวประชาชนส่วนใหญ่เสียที่ไหน ข้าราชการโดยเฉพาะทหาร เอาเปรียบประชาชนพลเรือนมาตลอดการครองเมืองเป็นสิบๆ ปี จะอดใจเสียนิดช่วงโควิดนี่น่ะ ยังทำไม่ได้
ในสถานการณ์ที่ไทยกำลังเป็นประเทศที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ล้าหลังที่สุดในอาเซียน เพราะต้องรอแอสตร้าเซเนก้าของ ‘สยามไบโอไซน์’ ที่ยังชะงักอยู่เมื่อเกิดปัญหา พบผลข้างเคียงร้ายแรงในยุโรป ถ้อยที่ จรรยา วงศ์สุรวัฒน์ มอบให้
“มึงกลัว ติดโรคจากแค้ดดี้ มึงก็ไม่ต้องไปตีกอล์ฟ” ไง นอกจากหัดออกกำลังกายด้วยการทำงานบ้านมั่ง อย่าง ส.ส.วิโรจน์ว่าแล้ว อย่าทำตัวเป็นกาฝากสังคมอีกก็จะดี ดังที่ กานดา นาคน้อยว่า “หลังเกษียณก็ยังเป็นภาระของสังคมอีกนะ”
ดังนี้จึงต้อง ‘โละ’ บรรดาองคาพยพที่เกาะกินอยู่บนหลังประชากร ตามที่ #เดินทะลุฟ้าV2 เขาเรียกร้องกันอยู่อีกในขณะนี้ ที่บริเวณริมคลองหน้าทำเนียบ ไม่ว่า ปิยะ ต๊ะวิชัย จะว่าไร ไม่ว่า เส ‘กสก’ ล จะถุยไง ไม่ว่า ‘สายสืบ’ นครบาล จะเตรียมการขนาดไหน
“ปล่อยเพื่อนเรา, เขียนรัฐธรรมนูญใหม่, ยกเลิกมาตรา ๑๑๒ และพลเอกประยุทธ์ต้องลาออกจากนายกรัฐมตรี” ยังเป็นหนทางสว่างให้ประเทศไตแลนเดียเดินไปสู่วัน ‘ฟ้าทองผ่องอำไพ’ อยู่นั่นแล ตู้คอนเทนเนอร์ ม้วนลวดหนาม รถฉีดน้ำแรงสูง รังแต่จะทำให้ภาพลักษณ์ไทยๆ เสื่อม
การไล่เอาชนักตัวบทกฎหมายปักหลังต่อนักกิจกรรม ไม่ว่าคดี #ม็อบ9กุมภา หรือ #ม็อบ10กุมภา #ตีหม้อไล่เผด็จการ ที่ระดมแจ้งข้อกล่าวหาสัพเพเหระ “ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน, พ.ร.บ.โรคติดต่อ และใช้เครื่องเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต”
ไม่ได้ทำให้กระบวนการของคนรุ่นใหม่ชะลอลงไปแต่อย่างใด แม้จะพูดกันว่าเวลานี้ชัก ‘แผ่ว’ แต่ว่าการตั้งหมู่บ้าน ‘บางกลอย’ เป็นชุมชนชมัยมรุเชษฐ์ โดยนักต่อสู้เพื่อเส้นทางชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ ได้ผสมผสานไปกับนักกิจกรรมรุ่นเก่า ยืนหยัดข้อเรียกร้องที่อำนาจรัฐไม่ใส่ใจ
และแม้นว่าเหล่าแกนนำ ‘คณะราษฎร’ ต่างถูกข้อหารุนแรง ‘หมิ่นกษัตริย์’ คดียังไม่ได้เริ่ม แต่ไม่ให้ประกัน ก็ยังมีแกนนำรุ่นใหม่ๆ โผล่ขึ้นมาทดแทนไม่หยุด ล่าสุดนี้สาวเก่งอีกคนถูกป้ายข้อหา ๑๑๒ จากการปราศรัย “กระชากหน้ากากไบโอไซน์” เมื่อ ๒๕ มกราคม
เบนจา อะปัญ จากกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ พูดหน้าอาคารศรีจุลทรัพย์ ที่ทำการ ‘สยามไบโอไซน์’ ถึงการผูกขาดวัคซีนไว้กับแค่สองบริษัท “วัคซีนซิโนแวค (Sinovac) และวัคซีนแอสตราเซนเนก้า (AstraZeneca)” ถึงวันนี้ผิดเสียที่ไหน
รายแรกมีน้อยเกินไปและราคาแพงมาก รายหลังเกิดปัญหา ส่วนที่ส่งมาจากแหล่งผลิตเกาหลีใต้เพื่อชิมลองต้องยับยั้งไว้ก่อน ส่วนที่จะต้องผลิตเองโดยสยามไบโอไซน์มีแต่ไทม์ไลน์ ไม่มีใครเห็น ‘โปรดัคชั่นไลน์’ แล้วอย่างนี้ยังฟ้องเบนจาข้อหา ๑๑๒ เสียอีก
จากคำปราศรัย “ถึงการผูกขาดวัคซีนกับบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ และงบประมาณของวัคซีนพระราชทานที่มาจากภาษีประชาชน...และกำไรที่ได้มาคนที่ได้รับกลับไม่ใช่ประชาชน” แค่นี้นะ ‘หมิ่นกษัตริย์’ บ้องตื้นเสียเหลือเกิน
แล้วมีรัฐมนตรีสาธารณสุขเที่ยวโกหกโลกว่าไอ้วัคซีนที่ประชาชนรอฉีด แต่ ผบ.ทบ.จะเอาไปให้แค้ดดี้ก่อนนั้น ไม่ใช่ ‘วัคซีนพระราชทาน’ มันต่างกันตรงไหน
(https://www.facebook.com/lawyercenter2014/posts/3734077523308741, https://www.facebook.com/iLawClub/posts/10165173308685551 และ https://www.matichon.co.th/politics/news_2621709)