เจ้าขุนทอง : ต่างกรรม ต่างวาระ
26 ธันวาคม 2555
Posted by Alib-Ba-Ta
OK Nation
เรื่องนี้ผ่านมาเกือบสามปีแล้ว มีข้อมูลในหัวตั้งแต่ตอนลูกเกิด ได้มาจากการหาเพลงกล่อมลูกใน Internet และไปพบข้อมูล หนังสือ "ขุนทอง เจ้าจะกลับเมื่อฟ้าสาง" ของคุณ อัศศิริ ธรรมโชติ เป็นเรื่องราวของ เจ้าขุนทองสองคน ต่างกรรม ต่างวาระ....
ขุนทองแรก เป็นว่า เป็นตำนานในสมัยพม่าล้อมกรุงศรี ขุนทองชาวบ้านธรรมดาได้ออกปล้นค่ายพม่าแห่งหนึ่งที่วัดโบสถ์เพื่อช่วยบ้านเมือง จนตัวตาย ความกล้าหาญทราบถึงพระเนตรพระกรรณ จึงโปรดให้แห่ศพอย่างสมเกียรติ เพราะทำคุณต่อชาติบ้านเมือง เรื่องนี้ ได้ถ่ายทอดผ่านบทเพลงกล่อมเด็ก เป็นตำนานถึงผู้กล้า มาจนถึงทุกวันนี้
วัดเอ๋ยวัดโบสถ์ มีตาลโตนดเจ็ดต้น
26 ธันวาคม 2555
Posted by Alib-Ba-Ta
OK Nation
เรื่องนี้ผ่านมาเกือบสามปีแล้ว มีข้อมูลในหัวตั้งแต่ตอนลูกเกิด ได้มาจากการหาเพลงกล่อมลูกใน Internet และไปพบข้อมูล หนังสือ "ขุนทอง เจ้าจะกลับเมื่อฟ้าสาง" ของคุณ อัศศิริ ธรรมโชติ เป็นเรื่องราวของ เจ้าขุนทองสองคน ต่างกรรม ต่างวาระ....
ขุนทองแรก เป็นว่า เป็นตำนานในสมัยพม่าล้อมกรุงศรี ขุนทองชาวบ้านธรรมดาได้ออกปล้นค่ายพม่าแห่งหนึ่งที่วัดโบสถ์เพื่อช่วยบ้านเมือง จนตัวตาย ความกล้าหาญทราบถึงพระเนตรพระกรรณ จึงโปรดให้แห่ศพอย่างสมเกียรติ เพราะทำคุณต่อชาติบ้านเมือง เรื่องนี้ ได้ถ่ายทอดผ่านบทเพลงกล่อมเด็ก เป็นตำนานถึงผู้กล้า มาจนถึงทุกวันนี้
วัดเอ๋ยวัดโบสถ์ มีตาลโตนดเจ็ดต้น
เจ้าขุนทองไปปล้น ป่านฉะนี้ไม่เห็นมา
คดข้าวใส่ห่อ ถ่อเรือออกตามหา
เขาก็ร่ำลือมาว่า เจ้าขุนทองตายแล้ว
เหลือแต่กระดูกแก้ว เมียรักจะเอาไปปลง
ขุนศรีจะถือฉัตร ยกระบัตรจะถือธง
ถือท้ายเรือหงส์ ปลงศพเจ้า พ่อนา
ขุนทองที่สอง แต่งโดยคุณ สุจิตต์ วงษ์เทศ อธิบายเหตุการณ์ช่วงปี 2516-2519 ไว้ได้อย่างแยบยล กินใจ ขุนทองเป็นชาวบ้านธรรมดาเหมือนกัน(และคงไม่ได้หมายถึงขุนทองแค่คนเดียว) ที่คิดปกป้อง และทำเพื่อบ้านเมืองเช่นเดียวกัน แต่ต่างกรรม ต่างวาระ
วัดเอ๋ยวัดโบสถ์ ตาลโตนดเจ็ดต้น
ขุนทองเจ้าไปปล้น ป่านฉะนี้ไม่เห็นมา
คดข้าวใส่ห่อ ถ่อเรือไปตามหา
เขาก็ร่ำลือมา ว่าเจ้าขุนทองตายแล้ว
นั่งรถยนต์เรไร นั่งรถไฟนกแก้ว
ส่งเสียงแจ้วแจ้ว ว่าเจ้าขุนทอง เจ้าขุนทอง
เจ้าออกจากบ้าน เมื่อตะวันเรืองรอง
แล้วหันมาสั่งน้องน้อง ว่าพี่จะไปหลายวัน
ไปเพื่อสิทธิเสรี เพื่อศักดิ์ศรีชาวบางระจัน
โอ้เจ้นนกเขาขัน แล้วเจ้าขุนทองก็ลงเรือน
สะพายย่ามหาดเสี้ยว ซึ่งใส่หนังสือแสงเดือน
ทั้งสมุดที่ลบเลือน ด้วยรอยน้ำตาแต่เมื่อคืน
ขุนทองเจ้าร้องไห้ อยู่ในเรือนจนดึกดื่น
ว่าดอกจำปีถูกปืน ตายอยู่เกลื่อนเจ้าพระยา
ลูกเอ๋ยหนอลูกเอ๋ย เข้าอย่าเฉยเชือนชา
แม่มาร้องเรียกหา นี่พ่อมาตั้งตาคอย
เจ้ามิใช่นักรบ ที่เคยประสบริ้วรอย
รูปร่างก็น้อยน้อย เพราะเรียนหนังสือหลายปี
แม่ก็รู้ว่าลูกรัก นั้นมีความภักดี
พ่อก็รู้ว่าลูกมี กตัญญูต่อแผ่นดิน
แต่ใครเขาจะรู้ เพราะเขามิใช่พระอินทร์
มนุษย์อาจได้ยิน แต่อำนาจมาบังตา
ลูกบอกว่าลูกรู้ จึงสู้แบบอหิงสา
แม่กับพ่อก็รอมา หลายเพลาหลายเพล
ดอกโสนบานเช้า ดอกคัดเค้าบานเย็น
ออกพรรษามาตระเวณ ที่อนุสาวรีย์ทูน
ไม่มีร่างเจ้าขุนทอง มีแต่รัฐธรรมนูญ
พ่อกับแม่ก็อาดูร แต่ภูมิใจลูกชายเอย
ผ่านมาแล้วหลายชั่วอายุ ถ้าทั้งสองเจ้าขุนทองรับรู้ คนแรกคงเสียใจ ว่านี่เราต่อสู้ปกป้องบ้านเมืองมาให้คนไทยได้อยู่เย็นเป็นสุข ไม่ใช่มารบราฆ่าฟันกันเอง ส่วนคนที่สองก็คงเสียใจแหมือนกัน ผ่านมาแล้ว 36 ปี มีรัฐธรรมนูญผ่านมาหลายฉบับ
สุดท้าย “เรายังคงเหมือนยืนอยู่ที่จุดเดิม ในขณะที่คนรอบบ้านก้าวผ่านจุดเดิมที่เรายืนอยู่ ไปเรียบร้อยแล้ว”