เอ๊า ถึงรัฐบาลจะตั้งเสร็จ รายชื่อ
ครม.ส่งเข้าวัง รอโปรดเกล้าฯ เข้าเฝ้าถวายสัตย์ โดยมีหรือไม่มีผู้กอง (ธรรม) นัส อดีต
ร.ท.พชร เสือกองสลากที่ถูกปลดจากราชการเมื่อปี ๔๑ เพราะเป็นเพียงโผนั่งเทียนของสื่อก็ตามเถอะ
ควรไหมนี่ที่พรรคหลักของ คสช.
จะประกาศแช่แข็งนโยบายที่ใช้หาเสียงเอาดื้อๆ ตั้งแต่นกกระจอกยังไม่กินน้ำ
เมื่อกอบศักดิ์ ภูตระกูล โฆษกพลังประชารัฐบอกว่านโยบายขึ้นค่าแรงเป็นวันละ ๔๐๐-๔๒๕
บาท เก็บใส่ลิ้นชักไว้ก่อน ตอนนี้ยังทำไม่ได้ (ขืนทำโดนเจ้าสัวด่าตายโหง สิท่า)
กอบศักดิ์บอกด้วยว่าจะยังเอาใจคนชั้นกลางชาวกรุงให้ต่อเนื่อง
ฉะนั้นค่าแรงปริญญาตรี ๒ หมื่นต่อเดือน กับค่าแรงอาชีวะ ๑ หมื่น ๘
พันต่อเดือนทำได้ ที่ค่อนข้างห่วงแค่การอภิปรายแถลงนโยบายและเรื่องงบประมาณ
เห็นฝ่ายค้านตั้งท่าฟัดแหลกแน่
ถึงต้องคุยพวกพรรคร่วมไว้ให้ดี อย่าปล่อยรัฐบาลเพลี่ยงพล้ำ
อ่านเกมวิธีเอาชนะฝ่ายค้านของพลังประชารัฐได้ไม่ยาก
จากที่ ส.ส.ราชบุรี ปารีณา ไกรคุปต์ ตามจิกตามทึ้ง พรรณิการ์ วานิช
ส.ส.อนาคตใหม่ไม่หยุดหย่อน
นอกจากเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมแล้วยังมีเป้าหมายโยงใยไปถึงเรื่องหมิ่นสถาบัน
เช่นเดียวกับ ธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรค
พปชร. ที่ดูเหมือนงานหลักอยู่ที่คอย ‘ดิสเครดิต’
พรรคพลังประชารัฐ โดยเฉพาะหัวหน้า ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
และเลขาธิการ ปิยบุตร แสงกนกกุล หาว่า “วันๆ คิดแต่เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ
คิดแต่เรื่องการต่อต้านการสืบทอดอำนาจ”
แหม่ ก็นั่นนโยบายหลักของเขา
ไม่เหมือนพลังประชารัฐที่นโยบายหลักเก็บไว้ก่อนได้ เอาแต่นโยบายสร้างคะแนนนิยมกับฐานเสียง
ทำเป็นนิสัยทรั้มพ์ไปได้ที่หาเสียงกระทั่งในงานวันชาติ
เป็นปรากฏการณ์อเมริกันไม่เคยมีประธานาธิบดีคนไหนทำอย่างนี้มาก่อน
แต่ประการสำคัญของวิธีการ คสช.
ที่พยายามยัดข้อหาต่อต้านสถาบัน ชั้นเชิงการเมืองอย่างเลวเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม เป็นการแอบอ้าง
‘โหนเจ้า’
ทั้งที่พระเจ้าอยู่หัวฯ ก็ทรงพระเกษมสำราญดีอยู่ที่สตรานเบิร์ก
นอกจากกล่าวหาธนาธร-ปิยบุตรเพื่อปกป้องประยุทธ์แล้ว
รองโฆษก พปชร. ไม่เว้นโยงเข้าเรื่อง ‘ล้มเจ้า’
ให้ได้ จู่ๆ ก็ทะลุกลางปล้องว่า “รับไม่ได้ที่นายธนาธรและนายปิยบุตร
ยืนอยู่ตรงข้ามกับสิ่งที่คนไทยรักและศรัทธา” (เขาหมายถึงประยุทธ์หรือเปล่านั่น)
ประการสำคัญยิ่งกว่า อยู่ที่การโจมตีคู่แข่งด้วยข้อหาอันเป็นเท็จ
สักแต่จะด่าว่าเขาให้เสียหายเป็นใช้ได้ “ผมไม่เคยเห็นคุณธนาธรพูดถึงเรื่องนโยบายที่จะแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนเลย”
ในเมื่อตลอดกว่าสามเดือนที่ผ่านมาหลังการโหวตนายกฯ แล้วพรรคหลักฝ่าย
คสช.ไม่ค่อยโผล่หน้าไปสภากันนัก
เป็นเพราะเหตุนั้นกระมังทำให้ธนกรไม่รับรู้ว่าฝ่ายค้านเขาอภิปรายเรื่องปากท้องของประชาชนไปถึงไหนแล้ว
ขอยกตัวอย่างพรรคอนาคตใหม่จากการอภิปรายประเด็นการแก้ปัญหาสินค้าเกษตรกรรมราคาตกต่ำ
มีการยื่นกระทู้ให้มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้น
ควรที่ฝ่ายรัฐบาลต้องเงี่ยหูฟัง ไหนๆ
รัฐบาลที่แล้วซึ่งทีมเศรษฐกิจยกทั้งกระบิมาอยู่รัฐบาลใหม่มีวิสัยทัศน์ลอกการบ้านดีๆ
จากสมัยทักษิณมาใช้ แม้จะไม่ได้เห็นผลเพราะปรับใช้ไม่เป็นก็ตาม
นอกจาก ‘ทิม
พิธา’ ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อของ อนค.บัณฑิตฮาวาร์ดที่รับช่วงกิจการของครอบครัวด้านเกษตรกรรมมาตั้งแต่อายุ
๒๕ ปี จากบริษัทที่เคยติดหนี้ระดับร้อยล้านมาเป็นกิจการระดับพันล้าน
พูดถึงการแก้ปัญหาราคาพืชผลอย่างได้เนื้อแท้ๆ ในแง่นโยบายที่เป็นรูปธรรม
แล้วยังมี ส.ส.บัญชีรายชื่อของ
อนค.อีกคนที่อภิปรายสนับสนุนการตั้งกรรมาธิการวิสามัญแก้ไขปัญหาราคาผลิตผลเกษตรกรรมตกต่ำ
ศิริกัญญา ตันสกุล ให้รายละเอียดของปัญหาเสริมจากพิธา
ทำให้มองเห็นความผิดพลาดบกพร่องชัดเจน อันจะนำไปสู่การแก้ไขได้ดี
ที่ดูเหมือนว่าพรรครัฐบาล ‘ขี้’ ตู่จะไม่ยอมฟัง
ศิริกัญญาซึ่งอ้างในตอนหนึ่งว่าได้ทำการศึกษาค้นคว้าเรื่องการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลมาตั้งแต่ปี
๒๕๕๖ พูดถึงความผิดพลาดของรัฐบาล คสช.ชุดที่แล้วว่ามัก ‘ไม่คงเส้นคงวา’ แล้วยังวางนโยบายโดยไม่ฟังความเห็นของเกษตรกร
อย่างกรณีอ้อย คสช.มีนโยบายจูงใจให้ชาวนาเลิกปลูกข้าว
ให้เงินอุดหนุนชาวนาที่หันมาปลูกอ้อยไร่ละ ๒ พันบาท แต่พอขึ้นปี ๒๕๖๑ กลับมีประกาศ
คสช.ฉบับที่ ๑/๒๕๖๑ ให้มีการลอยตัวราคาน้ำตาล จนโดนบราซิลฟ้อง WTO
เพื่อที่จะเลี่ยงปัญหาที่บราซิลฟ้องว่าไทยใช้นโยบายอุดหนุนน้ำตาลในประเทศ
คสช.ก็สั่งให้ยกเลิกการตัดเงินสะสมเข้ากองทุนพยุงราคาเยียวยาอ้อยและน้ำตาล
ที่เคยเก็บ ๕ บาทต่อกิโลกรัม ทำให้กองทุนหมดเงิน เมื่อเกิดปัญหาราคาตกเกษตรกรก็ไร้ที่พึ่ง
เรื่องอ้อยและยางพารานี้มีปัญหาใหญ่อีกอย่างด้านการเพิ่มผลผลิต
ศิริกัญญาบอกว่าแม้สินค้าราคาดีแต่ว่าต้นทุนกินหมด อย่างเช่นราคาปุ๋ย ซึ่งเป็นต้นทุนต้องจ่ายให้แก่การนำเข้า
อันมีบริษัทใหญ่เกือบจะผูกขาด ๕ บริษัท
รัฐบาล
คสช.จำกัดประเภทปุ๋ยที่นำเข้าให้อยู่ที่ ๑๐ ชนิด ทำให้เจ้าใหญ่ๆ
สามารถควบคุมตลาดได้เพราะมีทุนมากและสายป่านยาว นำเข้าครั้งละจำนวนมากก็ได้เปรียบเรื่องต้นทุน
หรืออย่างยาฆ่าแมลงที่เธอยืนยันว่า
“มีการผูกขาดการนำเข้าแน่นอน” แถมบริษัทนำเข้านั้น
“ยังอาจเป็นของท่านใดท่านหนึ่งใน (สภาฯ) ที่นี้” ด้วยซ้ำ
ศิริกัญญาชี้ว่าปัญหาการผูกขาดยังเป็นอุปสรรคที่ปลายน้ำของเกษตรกรในการขายผลิตผล
เพราะ คสช.หวงแหนโควต้าการส่งออกไว้กับสมาคมการค้าไม่กี่แห่ง
แล้วยังเจอการผูกขาดจากตลาดที่ซื้อสินค้าไทยอีกด้วย
ดังเช่นการส่งออกลำไยตากแห้งขึ้นอยู่กับ ‘ล้ง’
ผู้นำเข้าของจีน เจ้าใหญ่รายเดียวเท่านั้น