วันพฤหัสบดี, เมษายน 04, 2562

ธนาธรแจงเรื่อง ความตั้งใจทำลายพรรคอนาคตใหม่ คสช. "ต้องดำเนินการ ‘อะไรบางอย่าง’ เพื่อทำให้กลับมาควบคุมสังคมได้เบ็ดเสร็จอีกครั้ง”

อีกคืบของ คสช. ที่จะทำให้สถานการณ์หลังเลือกตั้งปั่นป่วนจนต้องยื้อเวลาครองเมืองของรัฐบาลรัฐประหารต่อไปเรื่อยๆ เมื่อตำรวจออกหมายเรียกทั้งหัวหน้าและเลขาฯ พรรคอนาคตใหม่ จากการแจ้งความของ พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ กำลังพลแผนกแจ้งความของ คสช.

โดยเฉพาะ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ โดนข้อหาหนัก ม.๑๑๖ ยุยงปลุกปั่นก่อกวนความสงบ และ ม.๑๘๙ ให้ความช่วยเหลือผู้กระทำผิด สองข้อหานี่ระวางโทษรวมกัน ๙ ปี ส่วน ปิยบุตร แสงกนกกุล ถูกหมายเรียกเพราะเป็นผู้อ่านแถลงการณ์ของพรรคอนาคตใหม่กรณีคำสั่งยุบพรรคไทยรักษาชาติ

ข้อหา ยุยงปลุกปั่น นั้น ไอลอว์ระบุว่า “หลังการรปห. ข้อหานี้ถูกใช้มากขึ้นเรื่อยๆ ต่อกลุ่มคนที่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองตรงข้ามกับคสช. จนเข้าลักษณะเป็นการตั้งข้อหาเพื่อหวังผลทางการเมือง” (ดูเพิ่มเติมที่ http://freedom.ilaw.or.th/blog/116NCPO)

สำหรับหมายของ อจ.ปิยบุตรมีลักษณะวิเศษเล็กน้อย โดยที่ อจ.บอกว่า “ผมเพิ่งได้รับหมายเรียกพยานก่อนเที่ยงวันนี้เอง ให้ผมไปพบพนักงานสอบสวนตอนบ่ายโมงวันนี้” แต่หมายน่าจะเขียนลงวันที่ย้อนหลังไป ๒๗ มีนาคม ดูเป็นเจตนา หาเรื่อง ค่อนข้างชัดอยู่
 
มิฉะนั้นกระบวนการออกหมายในยุค คสช. นี่ก็คง ค่อยเป็นค่อยไปเหมือนการคำนวณคะแนนเลือกตั้งของ กกต. ซึ่งถึงจุดนี้มีการบิดต่อไปว่าจะต้องทำการปรึกษากรรมการร่างรัฐธรรมนูญและ สนช. ว่าจะใช้วิธีไหนดี จนเป็นที่มึนงงของทั่วโลกว่า กกต.ประเทศนี้ห่วยแตกขนาดจัดเลือกตั้งเสร็จแล้วยังไม่รู้วิธีนับคะแนนเลยเชียวหรือ

กลับไปที่ความวิเศษของการทำคดีความกับผู้ถูกกล่าวหาฝ่ายประชาธิปไตย มีชั้นเชิงบิดเบี้ยวพลิกพริ้วมากมายระดับ ๑๘ มงกุฏเลยก็ว่าได้ ดังที่ สงวน คุ้มรุ่งโรจน์ ผู้สื่อข่าวอาวุโส นำมาเล่าแชร์ประสบการณ์ของตนเองว่า

ไร้สาระไหม ๔-๕ เดือนที่แล้ว สน.ปทุมวันออกหมายเรียกข้าพเจ้าไปพบ ถามว่า ทำไมถึงสนิทกับธนาธร แล้วจับเราไปพิมพ์นิ้วดำ” ไร้สาระพอกันก็คดี ม.๑๘๙ ของธนาธรนั่นละ เหตุจากเมื่อครั้งที่ รังสิมันต์ โรม เป็นหนึ่งในหัวหอกกลุ่มนักศึกษาต้านรัฐประหาร

ธนาธรเล่าเหตุการณ์ที่ครั้งนั้นยังไม่ได้สนิทสนมกับรังสิมันต์ นั่งรถตู้ของตนผ่านเห็นเดินอยู่ข้างทางก็แวะทัก และรับขึ้นรถไปส่งยังสถานที่พวกพ้องของรังสิมันต์รวมตัวกันอยู่ ปรากฏว่ามีรถของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงติดตามไป แต่ไม่มีการสอบถามหรือแจ้งความอะไรจนกระทั่งครั้งนี้เกือบ ๕ ปีให้หลัง

สันนิษฐานว่า พ.อ.บุรินทร์ คงมีหน้าที่คอยเปิดดูบันทึกรายงานของหน่วยงานความมั่นคงว่ามีกรณีไหนใช้ฟ้องร้อง เอาชนักปักหลังพวกกระบวนการประชาธิปไตยได้บ้าง พอเจอของธนาธรกรณีนี้ก็เลยป๊งเช้ง
ธนาธรจึงได้บอกกับ จอมขวัญ หลาวเพชร ว่า “ผมอยากจะบอกสังคมทั้งสังคมว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องผมคนเดียว มีคนที่โดนกระทำจากความไม่ยุติธรรมแบบนี้มาก่อนผมเป็นร้อยๆ คน ในช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมา

ผมคิดว่าในสิ่งที่มีคดีความ แล้วก็มีข่าวลวงที่ตั้งใจจะมาทำลายพรรคอนาคตใหม่เที่ยวนี้ ผมคิดว่ามันเป็นเพราะสถานการณ์ทางการเมืองมันเดินมาถึงทางตันเต็มที ในความหมายว่าต่อให้พรรคพลังประชารัฐตั้งรัฐบาลได้ ก็อาจจะไม่ได้เสียงข้างมาก

อาจจะต้องใช้ สว. ซึ่งถ้าใช้ สว. (ก็อาจจะมีความจำเป็น) คนในสังคมก็อาจจะไม่ยอมรับ ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา สังคมก็ไม่ได้ให้การยอมรับ นักศึกษามากกว่า ๒๐ สถาบันได้ร่วมรณรงค์กันล่ารายชื่อเพื่อถอดถอน กกต.ชุดนี้

ดังนั้นจะเห็นได้เลยว่ามันมีการเคลื่อนไหวในหลายภาคส่วนของสังคมที่ให้ผมเดา คสช.รู้สึกว่าควบคุมไม่ได้ ดังนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่อาจจะต้องดำเนินการ อะไรบางอย่าง เพื่อทำให้กลับมาควบคุมสังคมได้เบ็ดเสร็จอีกครั้ง”


ไม่แน่ใจว่า “อะไรบางอย่าง” ที่ธนาธรอ้าง จะหมายถึงเฉพาะความพยายามแบบ สู้ไม่ได้ก็ลอบทำร้าย หรือไม่ หรือจะไปไกลถึงขั้น ล้มกระดาน เลือกตั้งครั้งนี้เพื่อที่ คสช. ยังคงเป็นรัฐบาลต่อจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ถวายสัตย์เข้าปฏิบัติหน้าที่

ช่วงสองวันที่ผ่านมามีนักวิชาการรัฐศาสตร์หลายรายที่ คมชัดลึกไปขอความเห็นต่อสถานการณ์ทางการเมืองเวลานี้ ส่วนใหญ่เห็นคล้อยกันว่าจากการที่พรรคพลังประชารัฐไม่สามารถชนะได้ และ กกต. พยายามอย่างยิ่งยวดให้เกิดการพลิกผัน เลยจะนำไปสู่ทางตัน

ไชยันต์ ไชยพร จากจุฬาฯ บอกว่า “อาจถึงขั้นการแสดงออกของจำนวนพลังประชาชนบนท้องถนน” ขณะที่ ยุทธพร อิสรชัย จากสุโขทัยธรรมาธิราชชี้ว่า “มีความเป็นไปได้ที่ประเด็นเหล่านี้จะขยายเป็นวงกว้าง แล้วพลิกสถานการณ์ให้ประชาชนออกมาชุมนุมประท้วง”

ด้าน ธเนศวร์ เจริญเมือง แห่ง มช. พูดถึง “เสียงค้านของคนรุ่นใหม่ที่ออกมาจากความตั้งใจที่เห็นได้ชัดเจน” แต่ว่า “การคัดค้านจะดำเนินไปอีกนานเพียงใด” แล้ว การเมืองบนความยุ่งยาก ก็จะดำเนินต่อไปอีกยาวนาน มีอยู่คนเดียวในชุดนี้ที่มองสถานการณ์ขณะนี้ โลกสวย มากๆ

พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต สะเด็ดถ้อยออกมาว่า “ความขัดแย้งไม่น่าจะขยายตัวสู่การชุมนุมบนท้องถนนอีก” เพียงแต่ว่า ประชาชนต้อง “ทำตัวเป็นผู้สังเกตการณ์ที่ดี ไม่ออกความเห็นด้วยอารมณ์ที่รุนแรง”

เสร็จแล้วคณะบดีพัฒนาสังคมฯ นิด้า แนะว่า “เราควรปล่อยให้ผู้กุมอำนาจดำเนินและติดตามกัน หากการเมืองเดินต่อไปไม่ไหวก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้อีก จากการเลือกตั้งในครั้งต่อไป”


ไม่ทราบว่าทั่นคณบดีก่อนพูดนี่คิดไว้ก่อนหรือคิดตามไปด้วยไหมว่า เลือกตั้งคราวหน้าก็ยังมี สว.๒๕๐ เสียงที่พรรคการเมืองจัดตั้งของ คสช. กำลังเจอทางตันขณะนี้จะเอามาใช้แก้ แต่แม้เปิดทางแล้วก็ยังไปต่อไม่ได้ ต้องเจอกับสภาพเดิม

เพราะกระแสหลากของมติมหาชนคนรุ่นใหม่ ที่ถาโถมสวนกลับเข้ามาเหมือนเขื่อนพัง