ตู่บอกมั่นคงก่อนแล้วค่อยมั่งคั่ง พ่องดิ
(ขออภัยใช้สำนวนเด็กแว้น) มั่นคงมาจะสี่ปี ห้ามติง ห้ามเตือน ห้ามโต้
ยังไม่เห็นจะมั่งคั่งจริงจังอะไร
ขนาดโรงงานยาสูบ หากินกับมะเร็ง
คุยโตเมื่อต้นปีที่แล้ว ว่าผลประกอบการของปี ๕๙ มีกำไรกว่า ๘,๘๖๓ ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านั้น (๕๘) ราว ๑,๗๐๐ ล้าน ผู้อำนวยการประกาศจะให้โบนัสคนงานถึง
๗ เดือน แล้วยังวาดฝันจะไปร่วมทุนกับญี่ปุ่นและจีนด้วย
มาตอนนี้ที่ไหนได้ โอละพ่องดิ
น.ส.ดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ ทั่น ผอ.เพิ่งแจ้งว่าถังแตกเสียแล้ว
ต้องชงเรื่องขอกระทรวงคลังหน่วยเหนือ เพื่อกู้เงินมาแก้ไขปัญหาสภาพคล่อง อีกสัก
๒,๙๐๐ ล้านบาท จะได้พอจ่ายเงินเดือนพนักงาน
และลงทุนติดตั้งเครื่องจักรโรงงานแห่งใหม่
“เป็นครั้งแรกที่โรงงานยาสูบต้องขอกู้เงิน
โดยให้กระทรวงการคลังมาช่วยค้ำประกันให้ เป็นผลกระทบจากภาษียาสูบใหม่
ทำให้โรงงานยาสูบไม่มีกำไร” น.ส.ดาวน้อยอ้าง
แต่ฟังไม่ขึ้นหรอกนะที่ว่า
การปรับอัตราภาษีสรรพสามิตใหม่ “ทำให้ส่วนแบ่งการตลาดในปีนี้เหลือ ๕๖%
จากที่ผ่านมาไม่ต่ำกว่า ๘๐% จำนวนผลิตลดลงเหลือ
๑๘,๐๐๐ ล้านมวน จากเดิมที่คาดว่าจะผลิต ๓๐,๐๐๐ ล้านมวน”
ที่จริงคนเดี๋ยวนี้เลิกสูบบุหรี่กันมากขึ้นเพราะรู้ดีว่ามันคือมะเร็งผ่อนส่ง
จำนวนขายยาสูบถึงได้ลด แทนที่จะกู้เงินมาสร้างเครื่องจักรใหม่
น่าที่จะหันไปลงทุนทำธุรกิจอื่น ดีกว่าคิดแต่กู้มาอุดกระเป๋าเพื่อเลี้ยงพนักงานต่อไปนานๆ
ถึงได้มีคนเขาไว้ทางไซเบอร์ ‘ออเจ้าไบรอัน @brian_the_lover’ เล่าว่า เพื่อนเล่าให้ฟังอีกต่อ “ผู้บริหารโรงงานยาสูบถนัดแต่ใช้เงิน
แต่หาเงินไม่เก่ง –
โครงการปลูกดอกดาวเรืองถวายพ่อหลวง
งบ ๑ ล้าน ผู้บริหารแก้เป็น ๕ ล้าน - มาตรการประหยัดไฟแทนที่จะขอความร่วมือให้
พนง.ช่วยปิดไฟ ก็ไปซื้อเครื่องตั้งเวลาปิด-เปิดไฟมาใช้ให้เปลืองเงิน” เข้าไปอีก
อีกราย
คุณนายอุปนายกสมาคมพิทักษ์สิทธิ์พยาบาล อยากมั่งคั่งตามที่ลุงตูบโม้
เลยไม่อยากให้มีประกันสุขภาพถ้วนหน้า พ.ต.ท.หญิง
ฐิชาลักษณ์ ณรงค์วิทย์ บอกว่าจะให้ค่ารักษาพยาบาลฟรีทั้งหมดได้อย่างไรกัน
“ประเทศไทยมีคนเสียภาษีเงินได้แค่ ๑๐%” เท่านั้น
เลยถูกนักรบทวิตภพ ‘สหาย ๑ แต้ม @FONGFODZS’ บริภาษณ์เอาว่า “อีตอแหล...ได้เงินเดือนจากประชาชนแท้ๆ
ยังมารังแกประชาชนอีก” เขาหมายถึงคนที่เสียภาษีไม่ได้มีแค่ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ดังอ้าง
ถ้าดูตามตารางรายได้เข้ารัฐจากภาษีอากรเมื่อปี
๕๗ จะเห็นว่ามาจากภาษีทางการบริโภคมากที่สุด ๔๘%
รองลงไป ๒๙% จากการลงทุน ตามติดๆ ชนิดหายใจรดต้นคอ ๒๘% ก็ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT ที่บรรดาลูกจ้าง
แรงงานต้องจ่ายกันเวลาไปเซเว่น สมแล้วที่ ‘สหายฯ’
ลงท้ายแรง “อีหน้าด้าน”
คนเหล่านี้ไม่เคยคิดเสียบ้างว่าคณะรัฐประหารเข้าปู้ยี่ปู้ยำความอูฟูของประเทศมากกว่ารัฐบาลที่ผ่านๆ
มาหลายเท่านัก ขนาดสำนักข่าวเวิร์คพ้อยท์ที่เคยเล่นแต่บันเทิงโลกสวย จนได้รับความนิยมสูงกว่าสำนักไหนมาตลอดยุค
คสช. ชนิดอมรินทร์เทียบไม่ติดฝุ่น ไทยรัฐตามไม่ทัน ยังอดไม่ได้ที่จะหันมาสะกิด
คสช.บ้าง
เขาเสนอข่าวด้วยภาพแค้ปชั่นคำพูดถึงเรื่อง
ประเทศไทยวัยทีนในฝัน (ที่ไม่มีวันออนแอร์) ว่ารายการเดินหน้าประเทศไทยของ คสช. “ออกอากาศไปแล้ว
๔ ตอน นำเสนอฯโยบายที่ประสบความสำเร็จของรัฐบาล”
แต่ยังมีอีกหลายอย่างที่จะต้องปรับปรุง
“เรื่องสำคัญและควรถูกพูดถึง
๑.เครื่องรับชำระเงินอัจฉริยะ หรือ Cash box บนรถเมล์ ขสมก.” ๒,๖๐๐ คัน สั่งซื้อกล่องมาแล้วใช้การไม่ได้ “จนล่าสุดต้องยุติการติดตั้งทั้งหมดแล้ว...นอกจากนี้บริษัท
ช.ทวี ที่เป็นผู้จัดหา Cash box ยังมีข่าวประมูลรถเมล์ NGV
ของ ขสมก. อย่างมีเงื่อนงำด้วย”
๒.บัตรแมงมุม “ที่จะทำให้สามารถขึ้นรถเมล์
BTS, MRT เรือด่วนและทางด่วน
โดยใช้บัตรเพียงใบเดียว” ประกาศจะเปิดใช้งานตั้งแต่ ตุลาคม ๒๕๖๐ จนป่านนี้ยังไม่พร้อม
ทั้งการแจกบัตรและอ่านบัตร
๓.บัตรคนจน คสช. เริ่มแจกตั้งแต่ปลายปี
๖๐ “แต่ปรากฏว่ามีคนจนหลายคนไม่ได้รับบัตร
รวมถึงคนที่ได้บัตรแล้วหลายคนไม่ได้จนจริง รวมถึงเครื่องรูดบัตรสวัสดิการฯ
ก็มีอยู่แค่ตามร้านค้าใหญ่บางร้าน” ทำให้ร้านค้าเล็ก๐ ขายของได้น้อยลง ส่วนร้านค้าใหญ่ๆ
ที่มีเครื่องรูดบัตรแล้ว ขายของแพงขึ้น
๔.นโยบายทวงคืนผืนป่า คสช. เริ่มโครงการตั้งแต่สถาปนาตัวเองเป็นรัฐบาลใหม่ๆ
บอกว่าจะเพิ่มพื้นที่ป่าจากเดิม ๓๑.๕% ให้เป็น ๔๐% โดยบอกว่า “ต้องไม่ให้กระทบต่อประชาชนผู้ยากไร้”
ที่ไหนได้ “ดำเนินการไปแล้ว ๕ แสนไร่
กลับมีหลายพื้นที่ทับที่ดินของชาวบ้าน...เฉพาะที่ชัยภูมิ
มีชาวบ้านเดือดร้อนจากนโยบายนี้แล้ว ๘๐๐ คน”
๕. คสช.
ประกาศให้การปราบคอรัปชั่นเป็นวาระแห่งชาติ แต่ผ่านมากว่า ๓ ปี
สถานการณ์คอรัปชั่นในไทยกลับไม่ดีขึ้น จะเห็นได้จากดัชนีภาพลักษณ์คอรัปชั่นของไทยได้เพียง
๓๗ คะแนน จากเต็ม ๑๐๐ “อีกทั้งยังมีเรื่องอื้ฉาวหลายเรื่องที่ยังค้างคา
เช่นเรื่องนาฬิกาของ พล.อ.ประวิตร (วงษ์สุวรรณ)”
๖. ปี ๒๕๖๐
รัฐบาลให้สัญญากับสหประชาชาติว่าจะเคารพสิทธิมนุษยชน
แต่การละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทยยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เช่นการสลายชุมนุมกลุ่มคัดค้านโรงไฟฟ้าเทพฯ
ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรงเกินจำเป็น”
แม้นว่า อจ.พวงทอง ภวคพันธุ์ จะตั้งคำถาม
“ทำไมในข่าวนี้ เวิร์คพ้อยท์ไม่ถามต่อไปว่า
ใครต้องรับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น” ซึ่งเธอคำนวณออกมาได้ว่า “ว่าขส.มก.ต้องจ่ายเงินให้กับเศษเหล็กที่ใช้การไม่ได้เป็นจำนวน
๖๔๐,๓๘๔ บาท x ๘๐๐ คัน = ๕๑๒,๓๐๗,๒๐๐ บาท ใช่หรือไม่”
อจ.พวงทองยังมีคำถามต่อไปอีกหลายประเด็น “ความเสียหายที่เกิดจากภาษีของเรา
ไม่จำเป็นต้องมีคนรับผิดชอบอย่างนั้นหรือ? ถ้าเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้ง สื่อจะกลัวจนไม่กล้าถามอย่างนั้นหรือ?
ประชาธิปไตยไม่ใช่ยาวิเศษที่รักษาโรคทางสังคมทุกชนิดได้
แต่มันปิดปากเราไม่ได้ง่าย ๆ มันให้โอกาสกับเราที่จะตรวจสอบตั้งคำถามท้าทาย
ไปจนถึงเอาคนที่เกี่ยวข้องมารับผิดได้
แน่นอนว่าประชาธิปไตยแบบไทยมีจุดบกพร่องมากมาย
แต่วิธีแก้ปัญหาคือ ต้องช่วยกันเรียกร้องกดดันแก้ไขให้ตัวระบบทำงานให้ได้
ไม่ใช่ช่วยกันล้มระบบที่ตนเกลียด แต่กลับแกล้งหูหนวกตาบอดกับระบบที่เลวร้ายกว่า”
มันจึงมาถึงจุดที่ว่า
ถ้าจะรอให้พวกที่ไม่แยแสอะไร หรือพวก ‘ignorant’ เจ็บตัวกันถ้วนหน้าเสียก่อนแล้วจึงจะขยับ
คนที่ถูกกระทำมาก่อนมิบักโกรกล้มหายไปหมดละหรือ