‘นิเคอิรีวิว’ ย้ำเศรษฐกิจไทยยังติดปลัก ยากฟื้นจนกว่าจะถึงเลือกตั้ง ดัชนีองค์ประกอบการผลิตอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคมยังคงลดลงต่อเนื่อง
จาก ๕๐.๓ เมื่อเดือนกันยายนเป็น ๔๙.๘ ในเดือนที่แล้ว
“การอ่านตัวเลขเหนือ ๕๐
แสดงว่าเศรษฐกิจขยายตัว ถ้าต่ำกว่า ๕๐ ลงไปหมายความว่ากำลังหดตัว”
รายงานเรื่องดัชนีการจัดการใบสั่งจ้างผลิตของประเทศไทย
หรือ ‘พีเอ็มไอ’ ในเดือนตุลาชี้ว่า
ความต้องการให้ประเทศไทยผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคยังคงหดตัวต่อไปอีกเดือน
“อาการซบเซาของความคาดหวังทางธุรกิจทำให้กระแสใบสั่งซื้อหดหาย
เช่นเดียวกับการจ้างงาน” เบอร์นาร์ด อาว นักเศรษฐศาสตร์ประจำไอเอชเอสมาร์กิตผู้จัดทำดัชนีพีเอ็มไอ
อธิบายเพิ่มเติมว่า
“ยิ่งไปกว่านั้น
จำนวนมูลภัณฑ์ทั้งในส่วนวัถุดิบและผลิตภัณฑ์ที่สำเร็จแล้ว ยังคงลดน้อยลงไปกว่าเดิม
ทำให้มีรายงานว่าจะมีการตัดค่าใช้จ่ายลดต้นทุนกันอีก” (ซึ่งหมายถึงจะมีโรงงานเลิกจ้างหรือปิดกิจการเพิ่มขึ้น)
เป็นสภาพการณ์ที่ไม่สวยอย่างยิ่งในภาวะน้ำท่วมยืดเยื้อแถบภาคกลางรายรอบกรุงเทพฯ
มาสามสี่เดือนแล้ว (และนี่ฝนกำลังกระหน่ำหนักในภาคใต้
ยังไม่รู้ว่าความเสียหายชนิดไหนจะเกิด)
พื้นที่อยุธยา นนทบุรี ปทุมธานี
สิงห์บุรีและชัยนาท ล้วนแต่เต็มไปด้วยนิคมอุสาหกรรมและโรงงานประกอบสินค้า
ซึ่งอาจมีเครื่องสูบน้ำ กระสอบทรายกั้น หรือสร้างบนที่ถมสูง
แต่จะทนได้นานต่อไปอีกเท่าไรในเมื่อการขนส่งและคนงานเดินทางทุลักทุเล หรือกระทั่งหยุดชะงัก
เช่นนี้เป็นการย้ำซ้ำเติมสิ่งที่บทความอีกชิ้นของนิเคอิเมื่อสามสี่วันก่อน
ว่าการลงทุนจากต่างประเทศพากันเมินไทยไปหาประเทศเพื่อนบ้าน
“บริษัทญี่ปุ่นบางแห่งกำหนดหลักการใหม่ ‘ไทยแลนด์พลัส ๑’ สำหรับการผลิต โดยแบ่งจากประเทศไทยไปไว้ที่ประเทศใกล้เคียงอย่างกัมพูชา
ลาว และเมียนมาร์”
นิเคอิชี้ว่ารัฐบาล คสช.
ของไทยพยายามแก้ไขด้วยการเน้นการลงทุนด้านไฮเทค
แต่เมื่อวานนี้ (๑ พ.ย.)
วันแรกที่รัฐบาลเริ่มลงมือใช้ระบบไฮเทคในด้านบริการคมนาคม ให้ผู้มีรายได้น้อยใช้บัตรคนจนจ่ายค่าตั๋วรถเมล์และรถไฟ
ปรากฏว่าระบบอีเล็คโทรนิคในการอ่านบัตร ‘ล่ม’ ไม่เป็นท่า
รถโดยสาร ขสมก. ติดสติ๊กเกอร์
สีเขียวข้อความว่า “รถคันนี้รองรับระบบอีทิคเก็ต และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ...แต่เมื่อขึ้นไปบนรถแล้วกลับพบว่า
เครื่องอีดีซีบางส่วนยังไม่พร้อมใช้งาน
จึงทำให้ประชาชนไม่มีความมั่นใจในการใช้บริการ”
ด้าน รฟท. “เปิดให้ประชาชนใช้บริการซื้อบัตรโดยสารผ่านบัตรสวัสดิการตั้งแต่ช่วงเช้า
โดยมีประชาชนเข้ามาต่อแถวรอรับบริการเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ยังพบว่าการใช้บัตรเกิดปัญหาขึ้นในทุกช่องทางที่มีการเปิดให้ใช้สวัสดิการจำนวน
๒๒ ช่องทาง”
ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยชี้แจงว่า “ยอมรับว่าขณะนี้ระบบการใช้บัตรสวัสดิการในการซื้อตั๋วรถไฟบริเวณหัวลำโพงเกิดปัญหาระบบล่ม
เนื่องจากมีผู้เดินทางเข้ามาใช้บริการจำนวนมาก รวมทั้งระบบรูดบัตรที่นำมาใช้เป็นระบบซิมการ์ด
ซึ่งเป็นระบบที่ไม่สามารถรองรับปริมาณผู้โดยสารจำนวนคราวละมากๆ”
(http://news.thaipbs.or.th/content/267380 และ https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_608091)
เจตนาในการใช้ระบบอีเล็คโทรนิคนั่นมิใช่ต้องการให้เกิดความรวดเร็ว
และรับงานจำนวนมากในเวลากระชั้นชิด ชนิดที่แรงงานคนไม่สามารถทำได้มิใช่หรือ
นี่คือความไม่พร้อม สักแต่ว่าคิดจะทำแล้วไม่สำเร็จ
หากไม่มีสื่อต่างประเทศคอยรายงานข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา
ประชาชนฐานรากที่ คสช. ใช้เงินสามสี่ร้อยพยายามยัดปาก คงต้องมะงุมมะงาหราทนรับกรรมความเดือดร้อนที่เกิดจากน้ำมือพวก
รปภ. ริจะเป็นซีอีโอกันไม่รู้อีกนานเท่าไร
บทความขึ้นปกของนิเคอิรีวิวพูดถึง ‘หัวเลี้ยวหัวต่อ’ ของประเทศไทยเมื่อสิ้นยุคพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล
ในตอนหนึ่งว่า
“ช่องว่างที่ถ่างออกไปมากขึ้นของภาวะมีอันจะกินกับไม่มี
ภายใต้การครองเมืองของคณะทหาร” ซึ่งนิเคอิยกเอารายงานของเครดิตสวีส ปี ๒๕๕๙
มายันว่าความมั่งมีในประเทศไทย ๕๘ เปอร์เซ็นต์กระจุกอยู่กับคนรวย ๑ เปอร์เซ็นต์
อันทำให้ไทยติดอันดับ ๓ ในจำนวน ๓๘ ประเทศที่ถูกสำรวจเรื่องช่องว่างระหว่างคนมีกับคนจน
เป็นรองแค่รัสเซียกับอินเดียเท่านั้น...ฮูเรย์
“ความไม่เท่าเทียมเช่นนี้นี่เองทำให้ระบบการเมืองของประเทศไทยสั่นคลอน”
บทความนิเคอิอ้างด้วยว่าภาวะเหล่านั้น “ทำให้คนไทยธรรมดาๆ
จำนวนมากปักหลักยึดมั่นกับพี่น้องอดีตนายกฯ และนโยบายประชานิยมของเขาทั้งสอง”
ยูกาโกะ โอโนะ ผู้เขียนบทความอ้างคำของปราณี
สตรีวัย ๕๔ แม่ลูกติดชาวเชียงใหม่ผู้ที่เศรษฐกิจมั่งคั่งยั่งยืนของพวก คสช.
ทำให้เธอติดหนี้หลานแสน เปลี่ยนจากอาชีพแม่ค้าขายน้ำพริกไปเป็นแม่ครัวรับจ้าง ว่า
“ชั้นอยากให้ทักษิณกลับมา เขาต้องสามารถคิดหามาตรการแก้ไขและทำให้พวกเรากินดีอยู่ดีกันได้อีก”
สำหรับยิ่งลักษณ์ ยูกาโกะชี้ว่าการหนีออกนอกประเทศเมื่อเดือนสิงหาคม
“ทำให้เกิดข้อกังขาต่อสถาบันต่างๆ ของไทย รวมทั้งตุลาการ เป็นเครื่องยืนยันระบบการเมืองของประเทศที่หักพัง”
และ “ความไม่มั่นคงทางการเมืองจะเหนี่ยวรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ที่ขณะนี้ลดฮวบไปจากที่เคยเฟื่องฟูช่วงต้นทศวรรษ ๒๕๕๐”
ขนาดว่า ‘ไพร้ซ์วอเตอร์เฮ้าส์คูเปอร์’
ทำนายไว้ในปีนี้ว่า ถึงปี ๒๕๙๓ อัตราวัดอัตตภาพเศรษฐกิจไทยจะลดเหลือแค่
๒.๖ เปอร์เซ็นต์ (มิใยที่แบ๊งค์ชาติจะฝันเฟื่องว่าปีหน้ายัน ๓.๗-๓.๘ ก็ตาม)
“นักบริหารธุรกิจหลายคนคาดหวังว่าการทำมาค้าขายในประเทศไทยจะกระเตื้องได้ถ้ามีการเลือกตั้งเกิดขึ้นอย่างราบรื่น”
(ไม่ถูก กปปส.ปิดหน่วยเลือกตั้งเพื่อกวักมือเรียกทหารอีก)
ราชิฟ แมงกัล หัวหน้าผู้บริหารใหญ่ของ
ทาละสตีล (ประเทศไทย) บอกกับนิเคอิว่า มูลเหตุหลักอันหนึ่งที่การลงทุนเอกชนจากต่างประเทศหดหาย
เกิดจากความไม่แน่นอนใจว่าทหารจะอิ่มกับการปกครองอย่างเบ็ดเสร็จเมื่อไร
“ถ้ามีการประกาศกำหนดเลือกตั้งขึ้นเมื่อไร
ความระแวงก็จะผ่อนคลาย เมื่อนั้นการลงทุนธุรกิจจะเริ่มคึกคัก”