สุพจ จริงจิตร
12h
·
กว่าจะรู้ (ว่าไม่ไร้) เดียงสา
ผมพอรู้จักแกนนำบางคนใน “พรรคก้าวไกล” อยู่บ้าง
ก็แค่คนรู้จักอ่ะครับ ไม่ได้สนิทสนมมากพอ ที่จะแอบอ้างได้ว่า เป็นเพื่ิอน เป็นพี่เป็นน้อง
ต้นทศวรรษ 2540 ผมในฐานะที่มีส่วนร่วมกับการก่อตั้ง “สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย” หรือ “สนนท.” เมื่อปี 2527
ได้รับเชิญจาก “ชัยธวัช ตุลาฑล” ผู้นำสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยในขณะนั้น ไปร่วมแลกเปลี่ยนกับผู้นำนักศึกษาสถาบันต่าง ๆ ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
นับจากนั้นมาจนถึงบัดนี้ เวลาล่วงเลยมา 20 กว่าปีแล้ว
ในสายตาของผม น้อง ๆ หรือเด็กกลุ่มนี้ในวันนั้น กล้าลงเรี่ยวลงแรงทำอะไรยาก ๆ มาอย่างต่อเนื่อง
ถ้ามองจากสายตาของคนภายนอกอย่างผม พวกเขาประสบความสำเร็จ ในทุกสิ่ง ที่ลงเรี่ยวลงแรงลงมือทำ
ทุกอย่างที่พวกเขาหยิบจับ ล้วนเป็นเรื่องยาก ยากจนคนอย่างผม หรือคนทั่ว ๆ ไป ในรุ่นผมคาดไม่ถึงว่าจะทำได้
เรื่องแรก ผ่านมา 20 กว่าปีแล้ว แต่ศิษย์เก่า สนนท. รุ่นนี้ ทั้งที่เรียนในกรุงเทพฯ และเรียนอยู่ในสถาบันต่างจังหวัด ยังคงเกาะกลุ่มร่วมทำกิจกรรมกันมาจนถึงปัจจุบัน
ทั้งร่วมวงกันอย่างใกล้ชิด หรือช่วยหยิบช่วยจับอยู่ห่าง ๆ ซึ่งผมไม่เห็นการเกาะกลุ่มแบบนี้ในหมู่ สนนท. รุ่นอื่น (อาจจะมีก็ได้เพียงแต่ผมไม่รู้)
เมื่อพวกเขามาทำ “นิตยสารฟ้าเดียวกัน“ ที่มีเนื้อหาทางวิชาการหนักหน่วง เย้ยทั้งฟ้า ท้าทั้งดิน ผมก็ได้แต่เฝ้ามองอย่างห่วง ๆ อยู่ห่าง ๆ
ไม่คิดแม้แต่สักนิดว่า “สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน” จะอยู่ยั้งยืนยงมีอายุยืนยาว ผ่านพันภัยทางธุรกิจ และฝ่าพายุร้ายจากฝั่งอนุรักษ์นิยมขวาจัด ที่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ อยู่รอดปลอดภัยมาได้ จนบัดนี้ร่วม 20 ปีแล้ว
แถมยังเป็นแหล่งผลิตหนังสือ ที่ทรงอิทธิพลทางความคิด ต่อคนรุ่นใหม่อีกต่างหาก
เมื่อพวกเขาตัดสินใจลงสนามการเมือง ตั้ง “พรรคอนาคตใหม่” ด้วยความฉุกละหุก ใช้เวลาสั้น ๆ ไม่ถึงหนึ่งปี ก็ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากเป็นอันดับ 3 ในการเลือกตั้งครั้งแรกของพรรค สมัยเลือกตั้งปี 2562
ไม่ทันเข้าสภาฯ พวกเขาถูกขยี้จนหัวหน้าพรรค พ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จากนั้นก็ตามมาด้วยการยุบพรรคอนาคตใหม่
ไม่ว่าจะอย่างไร พวกเขายังคงอยู่ และเติบโตในชื่อใหม่ “พรรคก้าวไกล”
ใครจะไปนึก เลือกตั้งครั้งที่ 2 ปี 2566 คนหนุ่มกลุ่มนี้ จะนำพาพรรคก้าวไกล ได้ที่นั่งในสภาสูงกว่าทุกพรรค ด้วยคะแนนเสียงเป็นลำดับ 1
นับเป็นชัยชนะที่สะอาดหมดจด เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายว่า พรรคก้าวไกลเป็นพรรคเดียวที่ไม่มีการซื้อเสียง
อันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ยิ่ง ที่เด็กหนุ่มกลุ่มนี้ทำได้
ถึงตอนนี้ใครจะคิดมาก่อนว่า คนหนุ่มวัยต้น 30 ปี ถึง 40 ปีต้น ๆ กลุ่มนี้ กำลังนำพาพรรคก้าวไกล ขึ้นมาเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
มาถึงวันนี้ ไม่ว่าพวกเขา จะส่งหัวหน้าพรรค “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่
ในสายตาของผม ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอีกแล้ว
ด้วยเพราะในท่ามกลางการเคลื่อนไหวจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ พวกเขาทำสำเร็จ ในเรื่องที่ยิ่งใหญ่ สำหรับสังคมไทยลุล่วงไปอีก 1 ประเด็น
นั่นคือ ปอกเปลือกโครงสร้างของสังคมไทย อันซับซ้อนอย่างยิ่ง เข้าใจยากอย่างยิ่ง ออกมาให้ดูแบบเข้าใจและเข้าถึงได้ง่าย ๆ ทีละชิ้น ๆ
ปฏิบัติการแต่ละฉากตอน ได้ปอกเปลือกเปลือยร่างของตัวละครแต่ละตัว ให้ผู้คนได้เห็นกันชัด ๆ
ปฏิบัติการที่คนหนุ่มกลุ่มนี้ ทำได้เจ็บแสบที่สุด ชนิดไม่มีใครคาดคิด นั่นคือ….
จับอีลิทและบริวาร นำมาแก้ผ้าล่อนจ้อน แล้วตบซ้ายตบขวาประจานกลางสภา เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม 2566
ต่อจากนี้ไป จะมีใครถูกคนหนุ่มกลุ่มนี้ กระชากหน้ากาก ลากมาตบประจานต่อหน้าสาธารณชนรายต่อไป
โปรดติดตามด้วยใจระทึกพลัน
.....กว่าจะรู้ (ว่าไม่ไร้) เดียงสา
ผมพอรู้จักแกนนำบางคนใน “พรรคก้าวไกล” อยู่บ้าง
ก็แค่คนรู้จักอ่ะครับ ไม่ได้สนิทสนมมากพอ ที่จะแอบอ้างได้ว่า เป็นเพื่ิอน เป็นพี่เป็นน้อง
ต้นทศวรรษ 2540 ผมในฐานะที่มีส่วนร่วมกับการก่อตั้ง “สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย” หรือ “สนนท.” เมื่อปี 2527
ได้รับเชิญจาก “ชัยธวัช ตุลาฑล” ผู้นำสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยในขณะนั้น ไปร่วมแลกเปลี่ยนกับผู้นำนักศึกษาสถาบันต่าง ๆ ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
นับจากนั้นมาจนถึงบัดนี้ เวลาล่วงเลยมา 20 กว่าปีแล้ว
ในสายตาของผม น้อง ๆ หรือเด็กกลุ่มนี้ในวันนั้น กล้าลงเรี่ยวลงแรงทำอะไรยาก ๆ มาอย่างต่อเนื่อง
ถ้ามองจากสายตาของคนภายนอกอย่างผม พวกเขาประสบความสำเร็จ ในทุกสิ่ง ที่ลงเรี่ยวลงแรงลงมือทำ
ทุกอย่างที่พวกเขาหยิบจับ ล้วนเป็นเรื่องยาก ยากจนคนอย่างผม หรือคนทั่ว ๆ ไป ในรุ่นผมคาดไม่ถึงว่าจะทำได้
เรื่องแรก ผ่านมา 20 กว่าปีแล้ว แต่ศิษย์เก่า สนนท. รุ่นนี้ ทั้งที่เรียนในกรุงเทพฯ และเรียนอยู่ในสถาบันต่างจังหวัด ยังคงเกาะกลุ่มร่วมทำกิจกรรมกันมาจนถึงปัจจุบัน
ทั้งร่วมวงกันอย่างใกล้ชิด หรือช่วยหยิบช่วยจับอยู่ห่าง ๆ ซึ่งผมไม่เห็นการเกาะกลุ่มแบบนี้ในหมู่ สนนท. รุ่นอื่น (อาจจะมีก็ได้เพียงแต่ผมไม่รู้)
เมื่อพวกเขามาทำ “นิตยสารฟ้าเดียวกัน“ ที่มีเนื้อหาทางวิชาการหนักหน่วง เย้ยทั้งฟ้า ท้าทั้งดิน ผมก็ได้แต่เฝ้ามองอย่างห่วง ๆ อยู่ห่าง ๆ
ไม่คิดแม้แต่สักนิดว่า “สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน” จะอยู่ยั้งยืนยงมีอายุยืนยาว ผ่านพันภัยทางธุรกิจ และฝ่าพายุร้ายจากฝั่งอนุรักษ์นิยมขวาจัด ที่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ อยู่รอดปลอดภัยมาได้ จนบัดนี้ร่วม 20 ปีแล้ว
แถมยังเป็นแหล่งผลิตหนังสือ ที่ทรงอิทธิพลทางความคิด ต่อคนรุ่นใหม่อีกต่างหาก
เมื่อพวกเขาตัดสินใจลงสนามการเมือง ตั้ง “พรรคอนาคตใหม่” ด้วยความฉุกละหุก ใช้เวลาสั้น ๆ ไม่ถึงหนึ่งปี ก็ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากเป็นอันดับ 3 ในการเลือกตั้งครั้งแรกของพรรค สมัยเลือกตั้งปี 2562
ไม่ทันเข้าสภาฯ พวกเขาถูกขยี้จนหัวหน้าพรรค พ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จากนั้นก็ตามมาด้วยการยุบพรรคอนาคตใหม่
ไม่ว่าจะอย่างไร พวกเขายังคงอยู่ และเติบโตในชื่อใหม่ “พรรคก้าวไกล”
ใครจะไปนึก เลือกตั้งครั้งที่ 2 ปี 2566 คนหนุ่มกลุ่มนี้ จะนำพาพรรคก้าวไกล ได้ที่นั่งในสภาสูงกว่าทุกพรรค ด้วยคะแนนเสียงเป็นลำดับ 1
นับเป็นชัยชนะที่สะอาดหมดจด เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายว่า พรรคก้าวไกลเป็นพรรคเดียวที่ไม่มีการซื้อเสียง
อันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ยิ่ง ที่เด็กหนุ่มกลุ่มนี้ทำได้
ถึงตอนนี้ใครจะคิดมาก่อนว่า คนหนุ่มวัยต้น 30 ปี ถึง 40 ปีต้น ๆ กลุ่มนี้ กำลังนำพาพรรคก้าวไกล ขึ้นมาเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
มาถึงวันนี้ ไม่ว่าพวกเขา จะส่งหัวหน้าพรรค “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่
ในสายตาของผม ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอีกแล้ว
ด้วยเพราะในท่ามกลางการเคลื่อนไหวจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ พวกเขาทำสำเร็จ ในเรื่องที่ยิ่งใหญ่ สำหรับสังคมไทยลุล่วงไปอีก 1 ประเด็น
นั่นคือ ปอกเปลือกโครงสร้างของสังคมไทย อันซับซ้อนอย่างยิ่ง เข้าใจยากอย่างยิ่ง ออกมาให้ดูแบบเข้าใจและเข้าถึงได้ง่าย ๆ ทีละชิ้น ๆ
ปฏิบัติการแต่ละฉากตอน ได้ปอกเปลือกเปลือยร่างของตัวละครแต่ละตัว ให้ผู้คนได้เห็นกันชัด ๆ
ปฏิบัติการที่คนหนุ่มกลุ่มนี้ ทำได้เจ็บแสบที่สุด ชนิดไม่มีใครคาดคิด นั่นคือ….
จับอีลิทและบริวาร นำมาแก้ผ้าล่อนจ้อน แล้วตบซ้ายตบขวาประจานกลางสภา เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม 2566
ต่อจากนี้ไป จะมีใครถูกคนหนุ่มกลุ่มนี้ กระชากหน้ากาก ลากมาตบประจานต่อหน้าสาธารณชนรายต่อไป
โปรดติดตามด้วยใจระทึกพลัน
Atukkit Sawangsuk
8h
·
ก้าวไกลขอโหวตพิธาอีกรอบ
ก้าวไกลขอโหวตแก้ 272
ทำไปทำไมในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าแพ้?
แต่นั่นคือการเมืองวิถีก้าวไกล
ไม่ใช่หวังลมๆแล้งๆ ไม่ใช่ทิฐิ
แต่คือการขยี้ระบอบอำนาจใบสั่ง
ให้ฝังลึกในความรู้สึกนึกคิดประชาชน
:
ระบอบอำนาจอนุรักษนิยมนั้นไม่เพียงอยู่ได้ด้วยปืน+ศาล
เสาค้ำสำคัญคือศรัทธา
ขยี้ให้ประชาชนหมดศรัทธา หมดความเคารพนับถือ
แม้ยังมีอำนาจก็มีแต่ปกครองด้วยความกลัว
แม้ไม่รู้ว่าจะถึงจุดพังครืนเมื่อไหร่ แต่จะใกล้เข้ามาทุกที
:
คนจำนวนหนึ่งที่โดนน้ำร้อนราดจนตัวเปื่อย
ก็จะบอกว่าทำไปทำไม
คนแบ่งข้างหมดแล้วๆๆๆ เปลี่ยนใจใครไม่ได้หรอก มีแต่ชนตอ
แต่เพราะวิถีการเมืองแบบนี้ ก้าวไกลจึงชนะใจคน
ทำให้คนตระหนัก ดึงให้คนเปลี่ยนความคิด ปลุกคนรุ่นใหม่ “สู้ไปด้วยกัน” ดึง swing voters เข้าสู่การมีส่วนร่วมทางการเมือง
:
ไม่ใช่มุ่งแค่เป็นรัฐบาล แต่มุ่งเปลี่ยนความคิดคน
เป็นได้ก็ดี เป็นไม่ได้ก็ต้องขยี้ระบอบอำนาจถึงที่สุด
…………………
ในขณะที่วิถีการเมืองแบบเพื่อไทย
คือหวังได้อำนาจรัฐไว้ก่อน
เจรจาต่อรองประนีประนอมหยวนยอมเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล
แล้วหวังใช้อำนาจรัฐดำเนินนโยบายสร้างความนิยม เป็นฐานประชาธิปไตยกินได้
:
แต่เมื่อเดินแนวทางประนีประนอมก็ต้องวางเพดานต่อสู้ทางการเมืองไว้ต่ำ ต่ำมาก
จนคนแถวหน้าของฝ่ายประชาธิปไตย คนรุ่นใหม่ อดรนทนไม่ได้ ว่าเป็นอย่างนี้มากี่รอบแล้ว โลกเปลี่ยนคนเปลี่ยนขนาดไหนแล้ว ฯลฯ ยังไม่ท้าชน
ก้าวไกลจึงชนะ
:
แล้วทีนี้จะบอกอย่างไร
เห็นไหม บอกแล้ว มุทะลุ หัวชนฝา เจ็บตัวเปล่าๆ
บอกแล้ว ไปได้แค่ยอดมะพร้าว ฯลฯ
ทั้งที่พิสูจน์แล้วว่าก้าวไกลชนะใจคน
236 ส.ว. “โจรรักสถาบัน” มีแต่ทำให้ประชาชนยิ่งคั่งแค้น
:
ถ้าก้าวไกลส่งไม้ต่อ
เพื่อไทยจะดึง 14 ล้านเสียงกลับมาสู่แนวทางประนีประนอมแบบเพื่อไทยอย่างไร
นั่นคือกระดูกชิ้นใหญ่ตำคอ
14 ล้านเสียงทะลุทะลวงล้ำเพื่อไทยไปแล้ว
ท่ามกลาง dilemma จะยังร่วมรัฐบาลกับก้าวไกลหรือไม่
จะคง MOU เดิมหรือไม่ ฉีก MOU ก้าวไกลก็ต้องถอนตัว
ฯลฯ