วันจันทร์, กรกฎาคม 17, 2566

กว่าจะรู้ (ว่าไม่ไร้) เดียงสา


สุพจ จริงจิตร
12h
·
กว่าจะรู้ (ว่าไม่ไร้) เดียงสา
ผมพอรู้จักแกนนำบางคนใน “พรรคก้าวไกล” อยู่บ้าง
ก็แค่คนรู้จักอ่ะครับ ไม่ได้สนิทสนมมากพอ ที่จะแอบอ้างได้ว่า เป็นเพื่ิอน เป็นพี่เป็นน้อง
ต้นทศวรรษ 2540 ผมในฐานะที่มีส่วนร่วมกับการก่อตั้ง “สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย” หรือ “สนนท.” เมื่อปี 2527
ได้รับเชิญจาก “ชัยธวัช ตุลาฑล” ผู้นำสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยในขณะนั้น ไปร่วมแลกเปลี่ยนกับผู้นำนักศึกษาสถาบันต่าง ๆ ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
นับจากนั้นมาจนถึงบัดนี้ เวลาล่วงเลยมา 20 กว่าปีแล้ว
ในสายตาของผม น้อง ๆ หรือเด็กกลุ่มนี้ในวันนั้น กล้าลงเรี่ยวลงแรงทำอะไรยาก ๆ มาอย่างต่อเนื่อง
ถ้ามองจากสายตาของคนภายนอกอย่างผม พวกเขาประสบความสำเร็จ ในทุกสิ่ง ที่ลงเรี่ยวลงแรงลงมือทำ
ทุกอย่างที่พวกเขาหยิบจับ ล้วนเป็นเรื่องยาก ยากจนคนอย่างผม หรือคนทั่ว ๆ ไป ในรุ่นผมคาดไม่ถึงว่าจะทำได้
เรื่องแรก ผ่านมา 20 กว่าปีแล้ว แต่ศิษย์เก่า สนนท. รุ่นนี้ ทั้งที่เรียนในกรุงเทพฯ และเรียนอยู่ในสถาบันต่างจังหวัด ยังคงเกาะกลุ่มร่วมทำกิจกรรมกันมาจนถึงปัจจุบัน
ทั้งร่วมวงกันอย่างใกล้ชิด หรือช่วยหยิบช่วยจับอยู่ห่าง ๆ ซึ่งผมไม่เห็นการเกาะกลุ่มแบบนี้ในหมู่ สนนท. รุ่นอื่น (อาจจะมีก็ได้เพียงแต่ผมไม่รู้)
เมื่อพวกเขามาทำ “นิตยสารฟ้าเดียวกัน“ ที่มีเนื้อหาทางวิชาการหนักหน่วง เย้ยทั้งฟ้า ท้าทั้งดิน ผมก็ได้แต่เฝ้ามองอย่างห่วง ๆ อยู่ห่าง ๆ
ไม่คิดแม้แต่สักนิดว่า “สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน” จะอยู่ยั้งยืนยงมีอายุยืนยาว ผ่านพันภัยทางธุรกิจ และฝ่าพายุร้ายจากฝั่งอนุรักษ์นิยมขวาจัด ที่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ อยู่รอดปลอดภัยมาได้ จนบัดนี้ร่วม 20 ปีแล้ว
แถมยังเป็นแหล่งผลิตหนังสือ ที่ทรงอิทธิพลทางความคิด ต่อคนรุ่นใหม่อีกต่างหาก
เมื่อพวกเขาตัดสินใจลงสนามการเมือง ตั้ง “พรรคอนาคตใหม่” ด้วยความฉุกละหุก ใช้เวลาสั้น ๆ ไม่ถึงหนึ่งปี ก็ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากเป็นอันดับ 3 ในการเลือกตั้งครั้งแรกของพรรค สมัยเลือกตั้งปี 2562
ไม่ทันเข้าสภาฯ พวกเขาถูกขยี้จนหัวหน้าพรรค พ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จากนั้นก็ตามมาด้วยการยุบพรรคอนาคตใหม่
ไม่ว่าจะอย่างไร พวกเขายังคงอยู่ และเติบโตในชื่อใหม่ “พรรคก้าวไกล”
ใครจะไปนึก เลือกตั้งครั้งที่ 2 ปี 2566 คนหนุ่มกลุ่มนี้ จะนำพาพรรคก้าวไกล ได้ที่นั่งในสภาสูงกว่าทุกพรรค ด้วยคะแนนเสียงเป็นลำดับ 1
นับเป็นชัยชนะที่สะอาดหมดจด เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายว่า พรรคก้าวไกลเป็นพรรคเดียวที่ไม่มีการซื้อเสียง
อันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ยิ่ง ที่เด็กหนุ่มกลุ่มนี้ทำได้
ถึงตอนนี้ใครจะคิดมาก่อนว่า คนหนุ่มวัยต้น 30 ปี ถึง 40 ปีต้น ๆ กลุ่มนี้ กำลังนำพาพรรคก้าวไกล ขึ้นมาเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
มาถึงวันนี้ ไม่ว่าพวกเขา จะส่งหัวหน้าพรรค “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่
ในสายตาของผม ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอีกแล้ว
ด้วยเพราะในท่ามกลางการเคลื่อนไหวจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ พวกเขาทำสำเร็จ ในเรื่องที่ยิ่งใหญ่ สำหรับสังคมไทยลุล่วงไปอีก 1 ประเด็น
นั่นคือ ปอกเปลือกโครงสร้างของสังคมไทย อันซับซ้อนอย่างยิ่ง เข้าใจยากอย่างยิ่ง ออกมาให้ดูแบบเข้าใจและเข้าถึงได้ง่าย ๆ ทีละชิ้น ๆ
ปฏิบัติการแต่ละฉากตอน ได้ปอกเปลือกเปลือยร่างของตัวละครแต่ละตัว ให้ผู้คนได้เห็นกันชัด ๆ
ปฏิบัติการที่คนหนุ่มกลุ่มนี้ ทำได้เจ็บแสบที่สุด ชนิดไม่มีใครคาดคิด นั่นคือ….
จับอีลิทและบริวาร นำมาแก้ผ้าล่อนจ้อน แล้วตบซ้ายตบขวาประจานกลางสภา เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม 2566
ต่อจากนี้ไป จะมีใครถูกคนหนุ่มกลุ่มนี้ กระชากหน้ากาก ลากมาตบประจานต่อหน้าสาธารณชนรายต่อไป
โปรดติดตามด้วยใจระทึกพลัน
.....
Atukkit Sawangsuk
8h
·
ก้าวไกลขอโหวตพิธาอีกรอบ
ก้าวไกลขอโหวตแก้ 272
ทำไปทำไมในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าแพ้?
แต่นั่นคือการเมืองวิถีก้าวไกล
ไม่ใช่หวังลมๆแล้งๆ ไม่ใช่ทิฐิ
แต่คือการขยี้ระบอบอำนาจใบสั่ง
ให้ฝังลึกในความรู้สึกนึกคิดประชาชน
:
ระบอบอำนาจอนุรักษนิยมนั้นไม่เพียงอยู่ได้ด้วยปืน+ศาล
เสาค้ำสำคัญคือศรัทธา
ขยี้ให้ประชาชนหมดศรัทธา หมดความเคารพนับถือ
แม้ยังมีอำนาจก็มีแต่ปกครองด้วยความกลัว
แม้ไม่รู้ว่าจะถึงจุดพังครืนเมื่อไหร่ แต่จะใกล้เข้ามาทุกที
:
คนจำนวนหนึ่งที่โดนน้ำร้อนราดจนตัวเปื่อย
ก็จะบอกว่าทำไปทำไม
คนแบ่งข้างหมดแล้วๆๆๆ เปลี่ยนใจใครไม่ได้หรอก มีแต่ชนตอ
แต่เพราะวิถีการเมืองแบบนี้ ก้าวไกลจึงชนะใจคน
ทำให้คนตระหนัก ดึงให้คนเปลี่ยนความคิด ปลุกคนรุ่นใหม่ “สู้ไปด้วยกัน” ดึง swing voters เข้าสู่การมีส่วนร่วมทางการเมือง
:
ไม่ใช่มุ่งแค่เป็นรัฐบาล แต่มุ่งเปลี่ยนความคิดคน
เป็นได้ก็ดี เป็นไม่ได้ก็ต้องขยี้ระบอบอำนาจถึงที่สุด
…………………
ในขณะที่วิถีการเมืองแบบเพื่อไทย
คือหวังได้อำนาจรัฐไว้ก่อน
เจรจาต่อรองประนีประนอมหยวนยอมเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล
แล้วหวังใช้อำนาจรัฐดำเนินนโยบายสร้างความนิยม เป็นฐานประชาธิปไตยกินได้
:
แต่เมื่อเดินแนวทางประนีประนอมก็ต้องวางเพดานต่อสู้ทางการเมืองไว้ต่ำ ต่ำมาก
จนคนแถวหน้าของฝ่ายประชาธิปไตย คนรุ่นใหม่ อดรนทนไม่ได้ ว่าเป็นอย่างนี้มากี่รอบแล้ว โลกเปลี่ยนคนเปลี่ยนขนาดไหนแล้ว ฯลฯ ยังไม่ท้าชน
ก้าวไกลจึงชนะ
:
แล้วทีนี้จะบอกอย่างไร
เห็นไหม บอกแล้ว มุทะลุ หัวชนฝา เจ็บตัวเปล่าๆ
บอกแล้ว ไปได้แค่ยอดมะพร้าว ฯลฯ
ทั้งที่พิสูจน์แล้วว่าก้าวไกลชนะใจคน
236 ส.ว. “โจรรักสถาบัน” มีแต่ทำให้ประชาชนยิ่งคั่งแค้น
:
ถ้าก้าวไกลส่งไม้ต่อ
เพื่อไทยจะดึง 14 ล้านเสียงกลับมาสู่แนวทางประนีประนอมแบบเพื่อไทยอย่างไร
นั่นคือกระดูกชิ้นใหญ่ตำคอ
14 ล้านเสียงทะลุทะลวงล้ำเพื่อไทยไปแล้ว
ท่ามกลาง dilemma จะยังร่วมรัฐบาลกับก้าวไกลหรือไม่
จะคง MOU เดิมหรือไม่ ฉีก MOU ก้าวไกลก็ต้องถอนตัว
ฯลฯ