วันศุกร์, พฤษภาคม 20, 2565
อ.ธิดา ตอบคำถาม : ทำไมพรรคเพื่อไทยจึงต้องเรียกหาคนเสื้อแดงและตั้งครอบครัวเพื่อไทย / ปัจจุบันนี้มีคนเสื้อแดงอยู่จริงเป็นจำนวนสักเท่าไหร่ / คนเสื้อแดงจะเลือกพรรคไหน? เพราะอะไร?
ธิดา ถาวรเศรษฐ #แลไปข้างหน้า EP.87 : คำถาม/คำตอบ เรื่องคนเสื้อแดงกับพรรคการเมือง #คนเสื้อแดง
May 18, 2022
UDD News Thailand
ธิดา ถาวรเศรษฐ : คำถาม/คำตอบ เรื่องคนเสื้อแดงกับพรรคการเมือง
สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะมาคุยกันในประเด็นที่เป็นที่กล่าวขวัญทั่วไป แล้วก็มีการตั้งคำถามมายังอดีตแกนนำคนเสื้อแดง อดีตแกนนำนปช. แล้วก็กลุ่มคนเสื้อแดงต่าง ๆ ก็คือประเด็นว่า
คำถาม/คำตอบ เรื่องของเสื้อแดงกับพรรคการเมือง
คำถามแรก ดิฉันต้องขออภัยก็คือ เริ่มต้นด้วยเรื่องของพรรคเพื่อไทย ก็มีคนตั้งคำถามว่า ทำไมพรรคเพื่อไทยจึงต้องเรียกหาคนเสื้อแดงและตั้งครอบครัวเพื่อไทย เพื่อจะตอบคำถามนี้ ดิฉันก็อยากจะให้ข้อมูลประกอบ เพราะเราต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง
ข้อมูลประกอบนั้นก็คือว่า เมื่อเอาตัวเลขผลการเลือกตั้งเมื่อ 2554 กับ 2562 เอามาเปรียบเทียบกัน เราจะเห็นเลยว่าพรรคเพื่อไทยในอดีตที่ได้ที่นั่ง 204 ที่นั่งนั้น คะแนนเสียงซึ่งเราถือว่า Popular vote ก็เอามาจากตอนนั้นยังใช้บัตร 2 ใบ ก็คือคะแนนเสียงสำหรับ Party list (ส.ส.บัญชีรายชื่อ) 15,752,470 คะแนน คิดเป็น 48.41% ก็แปลว่าเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งหมดเพราะมันเกือบ 50% แล้ว ผู้มาโหวต คะแนนสมบูรณ์คือ 32,535,227 คน
หันมาดูในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ผู้มาเลือกตั้งคะแนนสมบูรณ์ 35,561,556 คน เพื่อไทยได้คะแนน 7,881,006 เสียง คิดเป็น 22.16% หายไปตั้ง 26% คือหายไปเกินครึ่ง แล้วเมื่อเรามาลองดูคะแนนที่หายไป อย่าลืมว่าคะแนนเดิมเพื่อไทยเคยได้ 15.7 ล้าน แล้วพอมาดูคะแนนใหม่ เราเอามารวม คืออย่าลืมว่าตอนนั้นมันแยกกันเป็น 2 ปีก คือประชาธิปัตย์ก็ได้ประมาณ 11.43 ล้าน ที่เหลือนอกนั้นก็เป็นล้านเศษ มันก็แบ่งเป็น 2 ขั้ว (ขั้วประชาธิปัตย์กับขั้วเพื่อไทย) เราก็อนุมาณคร่าว ๆ ว่าฝ่ายประชาธิปไตยก็ประมาณครึ่งหนึ่ง ฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็แตกเป็นประชาธิปัตย์กับพรรคอื่น ๆ รวมกัน ดังนั้นจะเรียกว่าแลนด์สไลด์ก็ได้ เพราะว่าได้คะแนน Popular vote มากขนาดนั้น นั่นแปลว่าเขาก็จะได้ Party list เยอะ เมื่อบวกกับคะแนนเขตอีก ก็ได้บัญชี Party list ถึง 61 ที่นั่ง ตอนนั้นมัน 125 เสียงจาก Party list ก็ได้เกือบครึ่งหนึ่ง เพราะฉะนั้นพอรวมกับคะแนนเขตด้วยอีก 204 ที่นั่ง มันก็เป็นคะแนนที่จะเรียกว่าเกือบแลนด์สไลด์ก็ได้ แต่นั่นเป็นในปี 54
พอมาปี 62 มันมีพรรคเกิดขึ้นหลายพรรค อนาคตใหม่ เสรีรวมไทย ประชาชาติ เพื่อชาติ เศรษฐกิจใหม่ ดิฉันนับเศรษฐกิจใหม่มารวมอยู่กลุ่มเดียวกันนะ เพราะดิฉันเชื่อว่าคนที่เลือกเศรษฐกิจใหม่เลือกเพราะคุณมิ่งขวัญ ซึ่งคุณมิ่งขวัญแสดงตัวชัดเจนว่าไม่เอาการสืบทอดอำนาจ ดังนั้นก็เลยทำให้เศรษฐกิจใหม่ก็ได้คะแนนอยู่จำนวนหนึ่ง รวมแล้วเพื่อไทยได้ 7.88 ล้าน อนาคตใหม่ได้ 6.33 ด้านอนาคตใหม่คะแนนเกือบใกล้เคียงเพื่อไทยนะ ในขณะที่เพื่อไทยได้ 22.16% อนาคตใหม่ได้ 17.8% ที่เหลือก็เป็นพรรคเล็กพรรคน้อย รวมกันแล้วทั้งหมด 16,425,082 คะแนนเสียง จาก 35,561,556 คะแนนเสียง พูดง่าย ๆ ว่าฝ่ายประชาธิปไตยได้คะแนนเสียง 46.19% อันนี้บัตรใบเดียว ซึ่งมันก็อาจไปขึ้นกับส.ส.เขตด้วย ดังนั้นเราจึงพบว่า พปชร. ได้คะแนนมาก เพราะว่าเขาได้ตัวส.ส.เขตไปจากทั้งเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ คะแนนก็ไปรวมอยู่ที่เขาค่อนข้างเยอะ พลังประชารัฐได้ 23.73% ของ Popular vote เลยด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้น ถ้าเรามาวิเคราะห์ง่าย ๆ จาก 15.7 ล้านมา 7.88 ล้าน ที่หายไปก็เกือบจะพอ ๆ กับเอาพรรคในกลุ่มประชาธิปไตยมาบวกกันทั้งหมด ซึ่งก็ได้ 46% จากเมื่อก่อนถ้าพรรคเพื่อไทยเดี่ยว ๆ ได้ 48.41% ก็หมายความว่า แม้จะรวม New Voter แล้ว เสียงของฝ่ายประชาธิปไตยจากเพื่อไทยพรรคเดียว 48.41% ก็รวมกันแล้วได้แค่ 46.19% ก็ไม่ถึงครึ่งดี และเมื่อแตกเป็นพรรคเล็กพรรคน้อย เศรษฐกิจใหม่ก็ถูกดึงไป และรวมทั้งกลเม็ด/กลยุทธของกกต.ในการคิดคะแนน ดังนั้นความได้เปรียบ รวมทั้งรัฐธรรมนูญด้วย ก็เป็นของฝั่งฝ่ายที่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจ (ได้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก)
เอาล่ะ เราจะไม่พูดเรื่องการเมืองขั้วอื่น มาพูดในเฉพาะพรรคเพื่อไทย ดิฉันก็ต้องการจะเอาตัวเลขนี้มาเพื่อตอบคำถามว่า พรรคเพื่อไทยฝ่ายยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยก็ต้องการเรียกคะแนนเดิมที่เคยได้ตั้ง 48.41%ของ Voter หรือคิดเป็นเสียงก็ตั้ง 15.7 ล้าน แล้วมาเหลือ 7.88 ล้าน โอเค คุณจะกลายเป็นว่ามีแตกแบงค์ย่อยหรืออะไรก็ตาม ก็คือต้องการตัวเลขเก่ากลับคืนมา แต่ในทัศนะดิฉัน พรรคเพื่อไทยต้องทำมากกว่านั้น เพราะว่าต้องคำนึงถึง New Voter เพราะว่าที่อนาคตใหม่ได้ 6.33 ล้าน มันอาจจะไม่ใช่เป็นคนเสื้อแดงทั้งหมด อาจจะเป็น New Voter จำนวนหนึ่ง New Voter 3 ล้าน ใน 3 ล้านอาจจะเลือกอนาคตใหม่ 2 ล้าน หรือ 2 ล้านกว่าก็ได้ ดังนั้นหมายความว่า 6.33 ล้านที่อนาคตใหม่ได้ครั้งนี้ อาจจะเป็นคนเสื้อแดงสัก 4 ล้านก็ได้ และเป็น New Voter 2.3 ล้านก็ได้ ใครจะไปรู้ เพราะว่าเราไม่ลงลึก แต่นี่เป็นการประเมิน
ดังนั้น ยุทธศาสตร์ของเพื่อไทยที่สำคัญจึงต้องการเรียกคะแนนกลับแล้วบอกว่าไม่มีการแตกแบงค์ ไม่มีพรรคที่ไปตั้งพรรคย่อย แต่ดิฉันว่าพรรคประชาชาติก็คงจะไม่ได้กลับมารวมกันอยู่ ดังนั้นพรรคประชาชาติหรือแม้กระทั่งพรรคเสรีรวมไทยก็ยังดำรงอยู่ในฐานะกลุ่มของพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งนี่คือความเป็นจริง พรรคอนาคตใหม่ในฐานะพรรคก้าวไกลก็ดำรงอยู่ ดังนั้นความเป็นจริงก็คือว่ายังไงเสียงที่เคยสนับสนุนเพื่อไทยและ New Voter มันจะไม่ได้รวมศูนย์ไปอยู่ที่พรรคเพื่อไทยพรรคเดียวแล้ว
เพราะฉะนั้น ยุทธศาสตร์ของครอบครัวเพื่อไทยและพยายามเรียกเสื้อแดงให้คืนกลับมา ก็เป็นยุทธศาสตร์ที่อาจจะเรียกได้ว่าจำเป็นในความคิดของพรรคเพื่อไทย แต่ว่าจะได้ผลหรือเปล่า อันนี้ต้องดูกันต่อไป เพราะว่าคนเสื้อแดงก็ เดี๋ยวดิฉันจะพูดในคำถามซึ่งจะมีต่อเรื่องของคนเสื้อแดง แต่อันนี้ต้องการตอบว่าทำไมพรรคเพื่อไทยต้องเรียกหาคนเสื้อแดง ทำไมพรรคเพื่อไทยต้องมีครอบครัวเพื่อไทย ก็เพื่อที่จะดูแลมวลชนคนเสื้อแดงประมาณนั้น
เดิมองค์กรนปช.ก็เป็นองค์กรมวลชนคนเสื้อแดง เรื่องของคนเสื้อแดงซึ่งเราจะไปพูดต่ออีกทีก็คือ ส่วนใหญ่ส่วนมากในเมื่อมีพรรคเดียว เวลาเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อแดงอิสระหรือเสื้อแดงของนปช.ในยุคนั้น ก็ต้องเลือกพรรคเพื่อไทยหมด แม้นอาจจะไม่ถูกใจส.ส.ในพื้นที่ อาจจะไม่ชอบนโยบายอันนั้นอันนี้ อะไรก็ตาม แต่มีพรรคเดียว แต่พอมาปี 62 มีพรรคใหม่เกิดขึ้น เร้าใจ แล้วก็อาจจะในพื้นที่อาจจะถูกจริตกันด้วย รวมทั้งถูกจริตกับคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่ง ดังนั้น ดิฉันคิดว่าทั้งคนเสื้อแดงและ New Voter จะเป็นกำลังสำคัญหนึ่งของพรรคอนาคตใหม่ มันไม่ใช่มีแต่คนเสื้อแดงอย่างเดียว มันต้องคิดถึงคน Generation ใหม่และ New Voter ด้วย
ดิฉันก็คิดว่าน่าจะเป็นคำตอบว่ามันเป็นความจำเป็นที่พรรคเพื่อไทยเขาคงต้องการที่จะ เขาใช้คำพูดแลนด์สไลด์ ดิฉันพูดในฐานะคนนอกนะ อย่าไปเหมาเอาว่าดิฉันอยู่พรรคใด เพราะว่าแต่ไหนแต่ไรดิฉันก็ไม่ได้สังกัดพรรคใด อาจจะมีคนบอกว่าหมอเหวงอยู่พรรคนั้นพรรคนี้ หมอเหวงก็ส่วนหมอเหวงนะ เพราะว่าเรื่องของส่วนตัว เรื่องของครอบครัว กับเรื่องอุดมการณ์การเมืองและการต่อสู้ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันหมด อยากให้เข้าใจ แล้วในฐานะที่เป็นอดีตประธานนปช. ดิฉันก็ชัดเจนในเรื่องของคนเสื้อแดงให้สามารถที่จะมีวิธีคิดวิธีทำงานของตัวเองได้ทั้งในทางทฤษฎีและการปฏิบัติ เพราะฉะนั้น อุดมการณ์ทางการเมือง, หลักการ และแนวทางของประชาชนที่ก้าวหน้าก็ถูกบรรจุอยู่ในโรงเรียนการเมืองนปช.มาตลอด
ดิฉันก็มีความยินดีที่คิดว่าปัจจุบันการที่คนเสื้อแดงมีความคิดของตัวเอง และสามารถตัดสินใจอะไรได้โดยไม่ต้องมีแกนนำก็เป็นผลสำเร็จส่วนหนึ่งที่เราได้ทำงานเพื่อสร้างแกนนำ สร้างผู้ปฏิบัติงาน และสร้างมวลชนฝ่ายประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ ก็ถือโอกาสพูดสักหน่อยหนึ่ง คงไม่พูดบ่อยหรอก นี่ก็เป็นคำถามที่หนึ่ง ดิฉันก็คงตอบไม่ได้หลายคำถาม เพราะจะยาวเกินไป
คำถามที่สองก็คือ ปัจจุบันนี้มีคนเสื้อแดงอยู่จริงเป็นจำนวนสักเท่าไหร่
ก็คงจะตอบสั้น ๆ ดิฉันคิดว่าถ้าดูฐาน เราไม่สามารถวัดได้ ไม่ใช่ว่าเราไปวัดจำนวนบัตรนปช. หรือวัดจำนวนคนใส่เสื้อ นิยามของคนเสื้อแดงที่เรียกว่าอ่อนที่สุดคือผู้รักประชาธิปไตย รักความเป็นธรรม ถ้ามีสองอย่างนี้ก็ถือว่าเป็นคนเสื้อแดงได้ แต่ว่าคนเสื้อแดงนั้นมากกว่านั้น เสื้อแดงที่เข้มข้นก็จะเป็นเสื้อแดงที่มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยและต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตยที่ประชาชนมีอำนาจอธิปไตยจริง อยู่ในมือของประชาชน องค์กรสำคัญต่าง ๆ ไม่ว่าจะนิติบัญญัติ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรบริหารหรือตุลาการ ต้องมาจากการเห็นชอบของประชาชน บางอย่างอาจจะเป็นโดยอ้อมก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามต้องถือว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน อย่างนี้ก็คือแดงแท้ ไม่ใช่รักแล้วก็อาจจะไม่ทำอะไร แต่ว่าแดงที่เข้มข้นไปอีก ก็คือเข้าร่วมการต่อสู้เพื่อให้ได้อุดมการณ์ดังที่ว่า นั่นคือที่สำคัญก็คือต่อต้านการทำรัฐประหาร ต่อต้านเผด็จการอำนาจนิยม และกระทั่งเผด็จการจารีตนิยม เข้าร่วมการต่อสู้ อันนี้เรียกว่าแดงเข้มข้นสุด ๆ จริง ๆ
ดังนั้น ให้เข้าใจว่านี่คือคนเสื้อแดง เพราะฉะนั้นมันก็จะมีเฉดตั้งแต่แดงจัด แดงเข้มข้น ไปจนกระทั่งถึงแดงอ่อน ๆ หรือชมพูเข้มก็ได้ ซึ่งตรงนี้พรรคการเมืองก็ต้องเข้าใจ แล้วถามว่ามีจำนวนเท่าไหร่? เราไม่สามารถที่จะมาลงทะเบียน แล้วเรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องที่ลงทะเบียนไม่ได้นะ เพราะฉะนั้นดิฉันอยากจะบอกบางคนที่ไปลงทะเบียนเป็นครอบครัวโน้น ครอบครัวนี้ ก็ไม่รู้ว่าเขาอาจจะไปสนับสนุนพรรคใดจริง เพราะว่าจะมีลักษณะที่เรียกว่ารักฝ่ายประชาธิปไตยทั้งหมด บางคนก็รักพี่เสียดายน้อง หรือบางคนก็ว่ากันเป็นพื้นที่ ๆ เพราะว่าสำหรับดิฉันตั้งแต่ต้นมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ เราก็ให้ความเห็นว่าบนพื้นฐานความเป็นจริง คนเสื้อแดงนั้นเราจะไปบอกว่าให้คุณอยู่กับพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองเดียว ไม่ได้! มันต้องขึ้นอยู่กับความเป็นจริง แล้วความเป็นจริงมันก็บอกแล้ว รอบที่แล้วเขาเลือกอนาคตใหม่กันจำนวนหนึ่ง ในทัศนะดิฉันน่าจะไม่ต่ำกว่า 4 ล้าน จาก 6.3 ล้าน ไม่ต่ำกว่า อาจจะ 5 ล้านก็ได้ แต่ต้องเหลือให้ New Voter ด้วย 3 ล้าน New Voter 3 ล้าน อาจจะเทมาหมดก็ได้
นี่คือความเป็นจริง แล้วก็มีคนไปเลือกพรรคเพื่อชาติ 421,412 ประชาชาติ 481,490 อะไรอย่างนี้ นี่คือความเป็นจริง ถามว่าจะไปบังคับใครได้มั้ย? บังคับไม่ได้! แกนนำก็บังคับไม่ได้ พรรคการเมืองยิ่งบังคับไม่ได้ใหญ่เลย มันต้องขึ้นอยู่กับพรรคการเมืองนั้นนำเสนอในเชิงอุดมการณ์ทางการเมือง ในเชิงนโยบาย ตรงกับความต้องการของคนเสื้อแดงหรือเปล่า แล้วอย่างที่ดิฉันบอก เสื้อแดงมันก็มีเฉด แดงเข้มข้น แดงอ่อน ๆ ชมพูเข้ม อะไรอย่างนี้ ซึ่งอาจจะแกว่งได้ แต่แดงเข้มข้นเขาก็ต้องมีอุดมการณ์ชัด ถ้าพรรคการเมืองไม่ตรงกับความคิดเขา เขาก็เลือกพรรคที่สอดคล้องกับความคิดเขา เพราะเขามีทางเลือก มันไม่เหมือนเมื่อก่อนมันมีพรรคเดียว ซึ่งดิฉันถือว่ามันก็เป็นเรื่องธรรมดาในระบอบประชาธิปไตย
ในประเทศตะวันตก พรรคฝ่ายซ้ายก็มีเฉด ตั้งแต่พรรคคอมมิวนิสต์ พรรคสังคมนิยม พรรคสังคมประชาธิปไตย พรรคสังคมประชาธิปไตยแบบอ่อน ๆ กลาง ๆ อะไรอย่างนี้ พรรคเป็นกลางแบบซ้ายนิด ๆ เขามีหมด มีพรรคฝ่ายขวาแบบใกล้กลาง อันนี้นี่ก็คือพัฒนาการของพรรคการเมือง และก็พัฒนาการของประชาชน ซึ่งบางส่วนอาจจะแกว่งเปลี่ยนแปลงพรรคได้ แต่ว่าประชาชนเขามีทางเลือกมากขึ้น
แล้วจำนวนล่ะ คนเสื้อแดงมีจำนวนเท่าไหร่?
ดิฉันอาศัย 2 ตัวเลข ตัวเลขหนึ่งก็คือตัวเลขของการออกเสียงประชามติเวลาที่มีรัฐธรรมนูญของฝ่ายรัฐบาลจากคณะรัฐประหาร ในทัศนะของดิฉัน แดงเข้มและแดงสู้ ไม่ต่ำกว่า 10 ล้าน เมื่อโหวตไม่เอารัฐธรรมนูญ 50 ก็ 10 ล้าน ไม่เอารัฐธรรมนูญ 60 ก็ประมาณ 10 ล้าน แน่นอนมันดูตัวเลขดูเหมือนคงที่ แต่สถานการณ์มันบีบคั้นในปี 60 มากกว่าปี 50 มาก กลุ่มแกนนำเสื้อแดงต่าง ๆ ถูกล็อคตัวหมด ประชาชนถูกล็อคตัวเป็นจำนวนมาก มันก็อาจจะคล้ายกับพม่า เวลาประชามติรัฐธรรมนูญนั้นฝ่ายสืบทอดอำนาจ ฝ่ายทำรัฐประหารเขียนรัฐธรรมนูญมาและชนะประชามติ เพราะว่าถูกบล็อกด้วยอำนาจในปี 60 หนักกว่าปี 50 ด้วย แต่ว่าขณะนั้นคนก็ยังออกไปโหวตไม่เอารัฐธรรมนูญ 60 เรียกว่า 10 ล้าน นี่เป็นตัวเลขขั้นต่ำท่ามกลางการบีบคั้นที่รุนแรงและกระแสตกต่ำที่สุด นี่ก็คือ 10 ล้าน ในทัศนะดิฉัน คนที่รักประชาธิปไตย รักความยุติธรรมและต้องการต่อสู้ให้ถูกต้องไม่ต่ำกว่า 10 ล้าน
อีกฐานหนึ่งก็คือดูตัวเลขของการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ในตอนปี 54 เราจะเห็นว่าประมาณ 48% ของผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง ซึ่งถ้าเป็นตัวเลขกลม ๆ ก็ 15.7 ล้าน ดิฉันไม่พูดถึง 19 ล้านในยุคก่อน เอาปี 54 ก็คือในช่วง 10 ปีที่แล้ว ก็คือ 15.7 ล้าน มีพรรคเดียว มาตอนนี้มีหลายพรรค ก็รวมแล้วก็เมื่อกี้ที่ดิฉันเรียนอยู่ก็คือ 46.19% 16.43 ล้าน ก็ยังใกล้เคียงกันทั้ง ๆ ที่มี New Voter มากขึ้น
ก็แปลว่ากระแสต่าง ๆ อาจจะทำให้คนเสื้อแดงซึ่งมีลักษณะเป็นฐานพรรคการเมืองเปลี่ยนพรรค อาจจะไปตามส.ส.เขตก็ได้ และนี่เป็นครั้งแรกที่ต่างจากเมื่อตอนปี 54 ใครที่เปลี่ยนไปตอนช่วงปี 52 พูดง่าย ๆ ว่าจากพรรคเพื่อไทยไปอื่นและไปพรรคใหม่นี่สอบตกเกือบหมดเลย คนที่เป็นส.ส.หน้าใหม่พรรคเพื่อไทย สอบได้!
แต่ว่ามาตอนปี 62 ปรากฏว่าในการเลือกตั้งมีคนของอดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย และรวมทั้งอดีตส.ส.ประชาธิปัตย์ซึ่งก็พังไป คนของอดีตส.ส.พรรคเพื่อไทยไปอยู่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ก็ยังสอบได้ ดังนั้นก็แปลว่า ส.ส.เขาก็มีฐานเสียงของเขาจำนวนหนึ่ง และก็อาจจะเป็นแดงแบบชมพูอ่อน อาจจะถูกกล่อมแบบไหนก็ตาม ก็มีการย้ายไป แต่ว่าอย่างไรก็ตาม เมื่อเรารวมกันโหวตเตอร์ประชาธิปไตย ตัวเลขก็ยัง 46% เพราะฉะนั้นจาก 48% มาเป็น 46% หรือตัวเลขคน 16.4 ล้าน เราอาจจะไม่ได้เรียกว่าเขาเป็นเสื้อแดงทั้งหมด โดยเฉพาะคนรุ่นหลัง 16 ล้านนี้ก็มีทั้งคนเสื้อแดง มีทั้งคนที่รักพรรคเพื่อไทย รักครอบครัวชินวัตร แล้วก็มี New Generation คือมันมีเสื้อแดงเฉดแดงเข้มยังอยู่ในนี้ เพราะมันมีหลายพรรค แล้วก็เสื้อแดงที่เฉดแดงอ่อนแต่ว่าเรียกว่าติดอยู่กับส.ส.ก็ยังอยู่กับพรรคเพื่อไทยได้จำนวนหนึ่ง แล้วก็อาจจะเป็นไปด้วยว่า มีคนอาจจะบอกว่าพรรคเพื่อไทยอาจจะแตกแบงค์หลายใบก็ทำให้คะแนนน้อยแค่นี้ แต่ถึงน้อยยังไง ฝ่ายประชาธิปไตยเขาไม่เลือกอีกซีกหนึ่งแน่นอน
เพราะฉะนั้น ตัวเลข 16 ล้าน กับตัวเลข 10 ล้าน ในทัศนะดิฉันพอจะอนุมานได้ว่าเป็นตัวเลขของฝ่ายประชาธิปไตย ความหวังของดิฉันก็คือ New Generation ตอนนั้นมันได้ New Generation มา 3 ล้าน ดิฉันไม่ทราบว่าเลือกตั้งครั้งใหม่ก็ไม่น่าจะน้อยกว่าเดิม ในทัศนะของดิฉัน ยิ่งนานวัน New Voter จะเป็นฝ่ายประชาธิปไตยทั้งหมดเลย ก็นี่ไง! เวลาเป็นของประชาชน แล้วนี่ไง! ที่คำถามที่หนึ่งที่บอกว่าต้องตามหาคนเสื้อแดง เพราะว่าถ้านิยามของคนเสื้อแดงเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อความยุติธรรม New Generation ก็เป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้น อาจจะพูดว่าจะเป็นคนเสื้อแดงยุคก่อน หรือเป็นคนรุ่นใหม่ ล้วนแต่มีหัวใจเดียวกัน ก็คือเป็นหัวใจที่ว่าต้องคืนอำนาจให้เป็นของประชาชน ในระบอบประชาธิปไตยในประเทศนี้ อำนาจอธิปไตยต้องเป็นของประชาชน นี่คือหัวใจเดียวกันกับคนเสื้อแดง เขาอาจจะแก่ แต่ว่าเขาก็มีความหวังว่าคนรุ่นใหม่ก็มีหัวใจแบบนี้
ไม่ใช่มีแต่ฝ่ายจารีตนิยม อำนาจนิยม ก็ที่อยากจะขยาย ก็จะขยายได้ในปริมณฑลเดิม ยกตัวอย่างเช่น ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ก็เสียคะแนนเสียงไปให้พปชร. ฉันใด ทางฝ่ายเพื่อไทยก็อาจจะเสียคะแนนเสียงไปให้อนาคตใหม่
ดังนั้นก็อาจจะเป็นคำถามที่สาม ซึ่งดิฉันจะพูดสั้น ๆ ที่สุดว่า แล้วทำอย่างไรคนเสื้อแดงจะเลือกพรรคไหน? เพราะอะไร?
มันก็ขึ้นอยู่กับเฉดดังที่ดิฉันว่า คนเสื้อแดงแท้แองเข้มจะเลือกก็ต้องเลือกพรรคที่สอดคล้องกับอุดมการณ์ คนเสื้อแดงจะไม่เลือกพรรคฝ่ายอนุรักษ์นิยมและพรรคที่สนับสนุนรัฐประหารสืบทอดอำนาจ ดังนั้น พรรคฝ่ายประชาธิปไตยที่เหลือก็จะต้องแสดงออกถึงแนวทางนโยบายและอุดมการณ์ของพรรคที่สอดคล้องกับคนเสื้อแดงที่มีอุดมการณ์ แล้วก็คนรุ่นใหม่ ซึ่งเข้าใจได้ว่า แนวคิดเสรีนิยม แนวคิดที่ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม แนวคิดทีต่อสู้เพื่ออำนาจเป็นของประชาชน แนวคิดที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ นี่แหละคือแนวคิดของคนเสื้อแดงและคนรุ่นใหม่
ดังนั้น มันอยู่ที่พรรคการเมืองว่าคุณจะสามารถ จะรีโนเวทบ้านคุณ หรือรีโนเวทบ้านคุณให้มันดูดีเมื่อเปรียบเทียบกับประเภทที่เขามีบ้านใหม่ รีโนเวทบ้านเก่าให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน หรือสอดคล้องกับความต้องการกับเจ้าบ้าน ถ้ารีโนเวทแล้วทำให้สอดคล้องกับความต้องการประชาชน ดิฉันก็คิดว่าการเรียกเสียงคืนให้มาเห็นดีเห็นงามด้วยก็มีความเป็นไปได้สูง แต่ถ้าหากว่ามีพรรคการเมืองอื่นเขาทำได้ดีกว่า สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนได้มากกว่า เพราะว่าประชาชนนั้นถ้าเราพูดเล่น ๆ ก็คือแบบเหมือนนก คือต้องการกินอาหาร ต้องการบิน ไม่ต้องการกรง และต้องการร้องเพลงด้วยค่ะ
#ธิดาถาวรเศรษฐ #คนเสื้อแดง#UDDnews #ยูดีดีนิวส์