วันพุธ, มีนาคม 03, 2564

ถึงจะใช้พยานบุคคลปรักปรำ คำอธิบายภาพวงจรปิดของตำรวจ มั่วๆ พิกลอยู่นะ


การจับกุม แอมมี่ บ็อตทอมบลูส์ด้วยข้อหา ม.๑๑๒ หมิ่นกษัตริย์ด้วยการเผาซุ้มรูป ร.๑๐ หน้าเรือนจำคลองเปรม มีหลักฐานแข็งอยู่อย่างเดียว คือคำให้การของวัยรุ่นอายุ ๑๗ ปี ซึ่งอ้างว่านั่งรออยู่ในรถขณะแอมมี่ลงจากรถไปทำการเผา

เด็กหนุ่มคนนี้ยังบอกด้วยว่าแอมมี่เป็นชวนเขาและเพื่อนอีก ๑ คน (รวมสามคน) นั่งรถไปเผาซุ้มรูปกัน นอกนั้นยังไม่มีรายละเอียดอื่นจากปากเด็กคนนี้ เช่น แอมมี่ออกจากรถแล้วเดินไปไกลแค่ไหน ทำอย่างไรจึงเข้าไปในเขตเรือนจำได้

เพราะซุ้มรูปตั้งอยู่ภายในกำแพงรั้วเรือนจำ คงต้องปีนเข้าไปจึงจะไปถึงซุ้มโดยไม่มีใครเห็น แต่ควรมีภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิดยืนยัน แต่เท่าที่ตำรวจเอาภาพจากกล้องวงจรปิดมาแสดง มีเพียงรถสีขาวเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุหนึ่ง

ซึ่งก็มีคนตั้งข้อสังเกตุไว้แล้วว่า จากร้านแกรนด์โฮมไปถึงหน้าสำนักงานใหญ่การไฟฟ้า ระยะ ๑.๔ ก.ม. ใช้เวลา ๓ นาฑี” กับระยะห่างระหว่าง สนง.ใหญ่การไฟฟ้ากับหน้าเรือนจำ ประมาณ ๑.๕ ก.ม. ไหงใช้เวลาเดินทางแค่ ๑ นาฑีเอง มันพิกลอยู่

พอมาถึงตอนไฟลุกเห็นเปลว ตำรวจสาธยายจากภาพกล้องวงจรปิดว่า เวลา ๒.๕๐ น. “พบรถคนร้ายจอดริมถนนเลยจุดเกิดเหตุประมาณ ๕๐ เมตร เวลา ๐๒.๕๕ น. ผู้ก่อเหตุกลับรถมาห่างจากจุดเกิดเหตุ ๒๐ เมตร จนกระทั่งเวลา ๐๓.๐๘ น. พบว่าไฟเริ่มติด”

อีก ๑ นาฑีต่อมาก็เห็นผู้ก่อเหตุขับรถหนีออกไป ไม่ได้บอกละเอียดว่าตอนหนีออกไปนั่นจากจุดไหน จุดที่อยู่ห่าง ๒๐ เมตร หรือว่าได้ย้ายรถเข้าไปรอดูไฟลุกยังจุดที่ใกล้กว่านั้นหรือไม่ เพราะตอนขับรถหนีออกไป ต้องใช้เวลาวิ่งไปที่รถเกือบนาฑี แอมมี่ไม่ใช่นักวิ่งทีมชาติ

ถึงอย่างนั้นต้องยกผลประโยชน์ให้ตำรวจ โดยเจ้าหน้าที่รัฐเป็นฝ่ายก่อรูปคดีตั้งแต่ก่อนไก่โห่ ขนาดเลขาฯ รมว.ยุติธรรมออกแถลงแจงไทม์ไลน์เองเลยว่า “ผู้ก่อเหตุ ๓ ราย เตรียมน้ำมัน-ไฟแช๊ก เจตนาเผาทรัพย์หน้าเรือนจำคลองเปรม” ผู้จัดการออนไลน์ร่าย

“มีหลักฐานเตรียมออกหมายจับ ข้อหาหนักถึงขั้นประหารชีวิต ยันมีกลุ่มการเมืองอยู่เบื้องหลัง” เสียด้วย ซ้ำเกาะติดสถานการณ์ เพิ่มเติมถ้อยคำของพล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย ด้วยว่า “ตำรวจไปจับกุมได้ใกล้โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ขณะที่ผู้ต้องหากำลังจะหลบหนี”

สถานที่จับกุมเป็นห้องเช่าแห่งหนึ่งใน ต.คลองสวนพลู จ.อยุธยา ตำรวจอ้างว่าผู้ต้องหาบอกว่าเจ็บหลัง “จึงควบคุมตัวไปรักษาที่ รพ.ราชธานี ซึ่งตำรวจระบุว่าเป็นอาการบาดเจ็บจากการตกนั่งร้านขณะปีนไปวางเพลิง” อ้าวก็ไฟมันติดข้างล่าง จะต้องปีนทำไม

โดยที่มีข้อน่าสังเกตุยิ่งกว่า ที่ว่ามีตัวอย่างคำพิพากษาคดีเมื่อกลางเดือนกันยา ๖๑ “คดีเผาซุ้มในอำเภอบ้านไผ่ และคดีเผาซุ้มในอำเภอชนบท โดยทั้งสองคดี ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒”

เหตุผลง่ายๆ ก็คือ “ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีความมุ่งหมายที่จะกระทำความผิดตามมาตรา ๑๑๒ แต่อย่างใด” เป็นเพียงความผิดฐานเผาทรัพย์ผู้อื่น การที่ตำรวจประโคมข้อหาต่อ ไชยอมร แก้ววิบูลพันธุ์ เป็นความผิด ๑๑๒ เข้าไคล้ สุนัขจิ้งจอก จะขย้ำให้ได้

อะไรๆ เป็นความผิดทั้งนั้น จุดมุ่งหมายจงใจจะเก็บเข้าคุกให้เรียบ พวกนักกิจกรรมทั้งหลายที่ออกมาเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์นี่ละ คดีที่ผู้ชุมนุม ๕ คนไปทุบรถตู้ขัดขวางการควบคุมแกนนำ ศาลไม่ให้ประกันกว่า ๖ วันแล้ว


แกนนำเด่นๆ อย่างน้อยๆ มี รุ้ง กับ ไผ่ อีกสองคน ตำรวจยังรอจังหวะจะเข้าจับกุมอยู่ สำหรับ ไผ่ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา นั้นอยู่ระหว่างกิจกรรม เดินทะลุฟ้า คืนอำนาจให้ประชาชน จากโคราชเข้ากรุงเทพฯ กว่า ๑๕วัน ใกล้ถึงจุดหมายแล้ว

วานนี้ถึงปทุมธานี เหลือระยะทางอีกเพียง ๔๗.๕ ก.ม. “จะพักค้างคืนที่ ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต และหยุดเดินระหว่างวันที่ ๓-๔ มีนาคม จากนั้นจะเริ่มออกเดินเข้าสู่กรุงเทพฯ เพื่อไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในวันที่ ๕ มีนาคม

กระนั้นเกือบระทึกเล็กน้อยที่รังสิต มีประชาชนนำป้ายผ้าขนาดใหญ่เขียนข้อความ “ยินดีต้อนรับทีมเดินทะลุฟ้าฯ” ไปติดบนสะพานลอยหน้าสถานีตำรวจทางหลวง ตำรวจออกมาเก็บป้ายไปยังความไม่พอใจแก่ผู้ทำกิจกรรมเข้าขัดขวาง

ยังดีที่เป็นเพียงเถียงกัน ผู้ทำกิจกรรมบอกถ้าไม่คืนป้ายจะไปชุมนุมปิดถนน ตำรวจจึงยอมล่าถอยไม่เก็บป้าย

(https://www.facebook.com/IsaanRecordThai/posts/3793264154056723, https://prachatai.com/journal/2021/03/91933, https://mgronline.com/crime/detail/9640000020311 และ https://www.matichon.co.th/politics/news_2605303)