‘เดินทะลุฟ้า’ ๒๔๗.๕ กิโลเมตรถึงที่หมายอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยแล้ว เพื่อยืนยันข้อเรียกร้องสี่อย่าง คือแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยกเลิกมาตรา ๑๑๒ ปล่อยตัวเพื่อนนักกิจกรรมที่ถูกศาลปฏิเสธประกันตัว ทั้งที่คดียังไม่ได้เริ่ม และให้ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกไป
คำปราศรัยของ ไผ่ ดาวดิน หนึ่งในแกนนำที่บอกว่าตนเองแม้จะหมดหวัง ก็ไม่เคยหยุดต่อสู้ “ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะชนะอะไรกับเขาได้ แต่ผมไม่เคยหยุดสู้ เพราะการต่อสู้มันอยู่ที่หัวใจ ทุกสิ่งที่นำพาเรามาจนถึงทุกวันนี้เพราะมีคนยืนหยัดต่อสู้”
คำของ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา สะท้อนสภาพของการต่อสู้ซึ่งคนในกระบวนการบางส่วนเห็นว่ามันแผ่วลง หรือไปไม่ถูกทาง จะเป็นความจริงมากน้อยเพียงไหน เนื่องจากฝ่ายรัฐใช้วิธีการละเมิดนิติธรรม ด้วยการบุกจับกุมตัวแกนนำเอาไปคุมไว้ไม่ปล่อย
โดยเฉพาะด้วยข้อหา ๑๑๒ อันกำหนดความผิดไว้รุนแรง รัฐบาลสามารถใช้กฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนเช่นนี้ได้ ด้วยจับเส้นจิตสำนึกประชากรโดยทั่วไปได้ว่า ไม่ว่าผู้ชุมนุมจะมีอุดมการณ์ผลักดันร้อนแรงขนาดไหน ท้ายที่สุดไปหยุดที่การสูญเสียชีวิต
ชนิดที่ ‘บัญชา’ นักเขียนการ์ตูนของ นสพ.ผู้จัดการ ‘หยามหมิ่น’ ศักดิ์ศรีของผู้ชุมนุมอย่างเลวชาติ ที่เอาไปเปรียบกับการตายของผู้ประท้วงในพม่า “ศพนั่นไง...ขอยืมไปแห่ศพเดียว...เรียกคนกลับมาได้เป็นล้าน” โดยไม่ยี่หระว่าจะมีวันที่เขาสลับไปอยู่อีกข้าง
สื่อแบบนี้แหละที่ก่อให้เกิดการเข่นฆ่านักศึกษา ชนิดล้อมยิงนกในกรงเมื่อ ๖ ตุลา ๑๙ ตายเป็นเบือ การถากถางด้วยตลกเหี้ย ม ๆ แบบ ‘คามิน’ นี้เองทำให้สังคมไทยสิ้นหวังกับการปรองดอง และ/หรือผู้เห็นต่างทางการเมืองไม่สามารถอยู่ร่วมกันโดยสันติได้
ความประพฤติชั่วช้าของสื่อผู้จัดการนี่ทำให้อาการส่อเสียด และปลุกปั่นความเกลียดชังในหมู่ประชาชน ของนักการเมืองประเภทองครักษ์พิทักษ์นาย บางคนเช่น สิระ เจนจาคะ มั่วซั่วไร้สาระไปเลย แน่ละเขาพยายามสร้างกระแสฮือฮาให้ถูกใจนาย
“ถึงเวลาแล้วที่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องจัดการกับพวกก่อกวน สร้างความวุ่นวายโดยไม่มีเหตุผล ให้เด็ดขาดสักที คงจะปล่อยให้คนเพียงไม่กี่คนทำความเดือดร้อนให้กับประชาชนส่วนมากไม่ได้” เขาอ้างถึงเหตุการณ์ที่ตำรวจเข้าจับกุม ‘โตโต้’
นอกเครื่องแบบหน่วยอรินราชทำร้ายร่างกายผู้ถูกจับกุม โดยไม่แจ้งข้อหา ไม่มีหมายจับ แล้วออกแถลงการณ์ภายหลังว่าจับกุมเพราะผู้ต้องหามีอาวุธร้ายแรงเตรียมก่อการ ทั้งที่ระหว่างจับกุมก็มีการค้นตัว ‘ทีมวีโว่’ ไปแล้ว
ความ ‘สีกบาล’ ของนักการเมืองอย่างสิระ ซึ่งมีประวัติอาชญากรรมสุมหัว อยู่ที่การใช้วาจาส่อเสียดว่าร้ายมารดาของ ‘เพ็นกวิ้น’ “เมื่อศาลเขาไม่ปล่อยตัวนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ออกมา นางสุรีย์รัตน์ แม่ของนายเพนกวินน่าจะคิดถึงลูกมาก
จึงอยากจะเข้าไปอยู่ดูแลลูกในคุก” ใช่สิ หากทำได้ในความหมายตามถ้อยคำ ไม่ใช่ตามสำรอกของสิระ ความเป็นแม่คงต้องการเช่นนั้น เช่นกันกับแม่ของไผ่ แม่ของไม้ค์ ต่างออกมาร่วมเดินทะลุฟ้าสนับสนุนความคิดอ่านและหลักการของลูกๆ
ยังจะมีแกนนำอีกหลายคนถูกคดีปักหลัง แล้วส่งเข้าไปเก็บในคุก ไม่ให้ประกัน กันอีกเป็นเวลานาน รวมทั้งไผ่เอง ‘รุ้ง’ ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล และ ภาณุพงศ์ จาดนอก เมื่ออัยการยื่นฟ้อง ม.๑๑๒ และ ๑๑๖ ในวันนี้ (๘ มีนา) อันจะทำให้พวกเขามุ่งมั่นขึ้นไปอีก
การใช้มาตรฐานลำเอียงในกระบวนยุติธรรมไทย “ให้ประกันและปล่อยตัวแกนนำ กปปส. ในระหว่างพิจารณาคดีและภายหลังสิ้นสุดการตัดสินของศาลชั้นต้น แต่กลับสั่งจำคุกเพื่อนนักกิจกรรมทั้ง ๔ คน” ในคำปราศรัยของไผ่ แสดงถึงยุทธวิธี ‘แบ่งแยกแล้วทำลาย’
เช่นกันกับตลกเหี้ย มของบัญชา/คามิน และคำสรรพยอกสถุลๆ ของสิระ ชี้ให้เห็นว่าคนไทยเดี๋ยวนี้ไม่มี ‘รักสงบ’ เหมือนเนื้อร้องในเพลงชาติ หากแต่จับจ้องห้ำหั่นจากฝ่ายที่มีอาวุธ มีทรัพศฤงคาร และมีชาติเชื้อศักดินา
(https://www.facebook.com/lawyercenter2014/posts/3722345227815304, https://www.facebook.com/Prachatai/posts/10158198897336699 และ https://www.khaosod.co.th/politics/news_6085199)