วันอาทิตย์, มกราคม 10, 2564

จดหมายจากปากพนัง ลอกคราบอีกด้านของเชอร์ชิล ที่ลุงตู่และสส.คนนั้นไม่ทราบแน่นอน



Kampol Nirawan
9h ·

จดหมายจากปากพนัง
ดอกจานยอดรัก,

หวังว่าดอกจานคงสบายดีนะครับ. ต้องขอโทษด้วยที่หายหน้าไปเสียนาน ดูเหมือนจะตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมปีที่แล้วนู่นละมั้ง เกือบสองเดือนครึ่งทีเดียว. เรื่องของเรื่องก็เพราะผมมาขังตัวเองอยู่ในกระท่อมน้อยที่ปากพนังบ้านเกิด เพื่อจะปั้นความฝันให้เป็นความจริงสักครั้งในชีวิต เพราะวันเดือนปีมันไม่รอท่า. มันกำลังทับถมลงบนบ่าของผมจนรู้สึกหนักอึ้งขึ้นทุกวัน.

ตั้งใจว่าจะพยายามตัดขาดจากโลกภายนอกสักระยะ แต่แล้วความตั้งใจก็ไม่เป็นผล เพราะมีเรื่องชวนหงุดหงิดจนไฟธาตุแตกกระจาย. หงุดหงิดเพราะเมื่อไม่กี่วันก่อนมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนครศรีธรรมราชพรรคพลังประชารัฐคนหนึ่งออกมาอวยประยุทธ์ จันทร์โอชาว่ายิ่งใหญ่เทียบเท่าเซอร์ วินสตัน เชอร์ชิล ทำเอาคนสติดี ๆ หลายคนพาลจะอ้วกแตกไปตาม ๆ กัน. คนสติดี ๆ ที่ผมว่านี้หมายถึงคนทั่วไปที่เข้าใจว่าเชอร์ชิลนั้นยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน. ยิ่งใหญ่จนผู้นำประเทศประเภทกะลาแลนด์หลายประเทศอยากเอาอย่าง.

วันนี้ ผมจึงต้องขออาสามาลอกคราบเชอร์ชิลให้ สส. คนนั้นเห็นธาตุแท้ของแกเสียหน่อย. ได้ข่าวว่าท่าน สส.จบปริญญาเอกด้านรัฐศาสตร์เสียด้วย. ไม่รู้จบมาได้ยังไง เสียชื่อสถาบันหมด. ว่าแล้วก็มาที่เรื่องของอีตาเชอร์ชิลกันเลยนะครับ.

มีแต่คนไร้การศึกษาที่ไม่รู้ว่าฮิตเลอร์และเชอร์ชิลคือใคร. มีแต่คนด้อยการศึกษาที่ไม่รู้ว่าสองคนนี้เป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน. แต่ทว่า แม้แต่ในหมู่ผู้มีศึกษาก็มีน้อยคนที่รู้ว่าผู้นำสองคนนี้มีจริตเหมือนกันอย่างน่าทึ่ง นั่นก็คือเกลียดคนผิวสี, เกลียดชาวยิว และเกลียดประชาธิปไตย แม้ตนเองจะมาจากการเลือกตั้ง.

ฮิตเลอร์ถือว่าคนเยอรมันมีอายธรรมสูงส่งกว่าเผ่าพันธุ์ใดในโลก. เชอร์ชิลถือว่าชาวอังกฤษผิวขาวที่นับถือคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์เท่านั้นที่มีอารยธรรมสูงส่งที่สุดในโลก สูงยิ่งกว่าคนผิวขาวชาวอังกฤษด้วยกันที่นับถือคริสต์นิกายแคธอลิก.

เชอร์ชิลเป็นคนบูชาลัทธิจักรวรรดินิยม. แม้แต่ตอนที่แกได้รับเลือกเป็น สส. ใหม่ ๆ ซึ่งเป็นยุคสมัยที่พระอาทิตย์ของจักรวรรดิ์นิยมอังกฤษตกดินไปแล้ว แกก็ยังเย้ว ๆ ให้ประเทศของแกเดินหน้าล่าเมืองขึ้นต่อไป อย่าได้หยุด เพราะแกเชื่อมั่นว่าเผ่าพันธุ์อารยันของแกนั้นยิ่งใหญ่เกรียงไกร รบที่ไหนเมื่อไหร่ก็ชนะเมื่อนั้น ไม่มีแพ้. เพื่อน สส. คนอื่นจะคิดอย่างไรแกไม่สนใจ แกยังโหยหายุคที่จักรวรรดิ์อังกฤษกว้างใหญ่ไพศาลชนิดที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน. จนกระทั่งเมื่อแกได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีและต้องรบกับนาซีเยอรมันภายใต้การนำของฮิตเลอร์นั่นละครับ แกถึงได้เลิกพูดเรื่องการล่าเมืองขึ้น นั่นก็เพราะอังกฤษของแกทำท่าจะกลายเป็นเมืองขึ้นของเยอรมันเสียเอง. เหตุที่แกกลายเป็นวีรบุรุษของชาวอังกฤษก็เพราะแกพาอังกฤษให้หลุดพ้นจากกรงเล็บของพญาอินทรีมาได้ ไม่เช่นนั้นป่านนี้ลูกหลานของแกก็คงต้องพูดภาษาเยอรมันเป็นภาษาแม่กันไปแล้ว. นั่นคือคุณูปการที่แกมีต่อแผ่นดินแม่. เป็นคุณูปการที่ไม่มีใครปฏิเสธได้. เป็นด้านรุ่งโรจน์ของแก. รุ่งโรจน์จนคนทั่วไปมักมองไม่เห็นด้านมืดของแก.

ด้านมืดของเชอร์ชิลมีอะไรบ้าง? เชอร์ชิลเป็นเรซิสต์ตัวพ่อทีเดียวครับ. เรซิสต์ก็คือพวกที่ถือว่าเชื้อชาติของตนนั้นสูงส่งกว่าเชื้อชาติอื่นใดในโลก. และเพราะเหตุนี้ แกจึงดูถูกเหยียดหยามชาวอินเดียเป็นที่สุด ทั้งที่อินเดียเป็นอาณานิคมที่ทำให้อังกฤษได้หน้าได้ตาที่สุดในบรรดาเจ้าอาณานิคมด้วยกัน. แกเคยโพล่งออกมาดังลั่นว่า “กูเกลียดคนอินเดีย…พวกมันเป็นมนุษย์สัตว์ มันนับถือศาสนาสัตว์.”

ยิ่งกับมหาตมะ คานธีผู้นำขบวนการต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดียด้วยแล้ว แกยิ่งเกลียดเป็นขี้. แกเรียกคานธีว่าไอ้นักบุญกบฎ. ไม่เพียงเท่านั้นครับ. แกยังเพิ่มคำวิเศษณ์เข้าไปด้วยว่า “ไอ้เปลือยครึ่งท่อน” เป็น “ไอ้นักบุญกบฎเปลือยครึ่งท่อน.”

ตอนเกิดภาวะข้าวยากหมากแพงในรัฐเบงกอลจนทำเอาผู้คนล้มตายไปร่วมสามล้านคน ซึ่งต้นเหตุก็เกิดจากการบริหารจัดการที่ผิดพลาดของอังกฤษเองในฐานะเจ้าเมืองขึ้น แกก็ไม่ได้รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจอะไรแม้แต่น้อย แถมยังแกว่งปากแดกดันชาวอินเดียอีกต่างหากว่าเป็นชนชาติที่เกิดลูกเกิดหลานกันยังกะ “กระต่าย.”

แกดูถูกคนต่างชาติต่างศาสนาชนิดเข้ากระดูกดำ. แกเรียกชาวปาเลสไตน์ว่าพวกป่าเถื่อน เป็นพวกป่าเถื่อนที่วัน ๆ แทบไม่กินอะไรนอกจากขี้อูฐ. กับชาวเคิร์ดและชาวอัฟกานิสถานก็เช่นกัน แกมองว่าเป็นพวกอนารยชน. แกเขียนบันทึกส่วนตัวเมื่อปี ค.ศ. 1919 สมัยยังเป็นรัฐมนตรีกิจการสงครามว่า “ผมไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเราจะมานั่งกระมิดกระเมี้ยนกันทำไมถ้าจะใช้แก๊ซพิษกับพวกอนารยชน…ผมสนับสนุนเต็มที่เลยครับว่าเราจะต้องใช้แก๊ซพิษกับเผ่าพันธุ์อนารยชน.”

เรื่องนี้ มีคนออกมาแก้ต่างให้แกว่า คำว่า poison gas ของแกนั้นหมายถึงแก๊ซน้ำตา ไม่ใช่แก๊ซมัสตาร์ดหรือแก๊ซสังหารอื่นใดที่ฮิตเลอร์ใช้ในการฆ่าหมู่ชาวยิว. แต่เรื่องนี้แต่นักวิชาการชื่อก้องโลกอย่าง นอม ชอมสกี้ ออกมาฟันธงว่ามันใช่. ชอมสกี้เขียนไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งของแก คือ World Orders Old and New ว่า เชอร์ชิลกระเหี้ยนกระหือที่จะใช้แก๊ซพิษมาก ถึงกับแนะนำให้เอามันมาทดลองใช้กับ “พวกอาหรับที่กระด้างกระเดื่อง.” คือตอนนั้นประเทศอาหรับหลายประเทศยังเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ก็ย่อมมีคนรักชาติรักเอกราชที่คิดแข็งข้อเป็นธรรมดา.

นายลีโอ อาเมอรี รัฐมนตรีกิจการอินเดียในยุครัฐบาลเชอร์ชิล เขียนระบายความรู้สึกไว้ในสมุดบันทึกส่วนตัวของเขาว่า “ในประเด็นเกี่ยวกับอินเดีย วินสตันไม่ค่อยจะปกติสักเท่าไหร่” วินสตันก็คือชื่อตัวของเชอร์ชิลนั่นละครับ. นอกจากนั้นนายอาเมอรียังแสดงความเห็นเอาไว้ว่าเขา “มองไม่เห็นข้อแตกต่างอะไรสักเท่าไหร่ระหว่างทัศนะของเชอร์ชิลกับทัศนะของฮิตเลอร์.”

ทั้งหมดนี้ก็คือบางส่วนของด้านมืดของเชอร์ชิล. จิตใจแกหยาบช้าขนาดนั้นทีเดียวครับดอกจาน. ผมพอจะเดาออกว่าดอกจานคงอยากให้ผมให้อภัยแก เพราะไหน ๆ แกก็ตายไปแล้ว. ขอโทษนะครับ กับคนพรรค์นี้ผมไม่มีวันจะให้อภัยครับ. เช่นเดียวกับที่ผมไม่มีวันจะให้อภัยคนอย่างถนอม กิตติขจร, ประภาส จารุเสถียร และเผด็จการอีกหลายคนที่กำลังเฉาเต็มแก่ รอวันหลุดจากขั้ว รอวันเดินทางไปรับการลงโทษจากพญายม.

เชอร์ชิลผู้ยิ่งใหญ่ของ สส.เมืองคอนคนนั้น เอาเข้าจริงทุกวันนี้ก็ไม่ได้มีใครในอังกฤษกล้ายกย่องอย่างเปิดเผยสักเท่าไหร่หรอกครับ เพราะคนอินเดียเข้าไปอยู่ในอังกฤษกันเต็มบ้านเต็มเมือง. แม้แต่นายซาดิค คาน นายกเทศมนตรีกรุงลอนดอนคนปัจจุบันก็มีรากเหง้ามาจากครอบชาวอินเดียในรัฐอุตรประเทศ. จะมีก็แต่พวกรักชาติจนน้ำหูน้ำตาไหลนั่นละครับที่ยังกล้ายกย่องแกในที่สาธารณะ. ยิ่งคนอังกฤษที่รักประชาธิปไตยและเคารพสิทธิมนุษยชนจริง ๆ ด้วยแล้วยิ่งส่ายหน้าครับเวลาได้ยินชื่อแก.

เมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนผมยังอยู่อังกฤษ ผมจะเล่นเทนนิสกับก๊วนเทนนิสก๊วนหนึ่งแทบทุกเย็น. สมาชิกก๊วนส่วนใหญ่เป็นชนชั้นล่าง. หลังเล่นเสร็จ ก่อนกลับบ้านเราจะแวะไปกินเบียร์กันที่ผับใกล้ ๆ สนาม และแน่นอน หัวข้อการพูดคุยเหนือฟองเบียร์ก็หนีไม่พ้นการเมือง. และทุกครั้งที่มีใครพาดพิงถึง “แมกกี้” ก็จะมีอีกคนโพล่งขึ้นมาว่า “ปัดโธ่ อินังหมาบ้า!” นั่นก็เพราะนางมากาเร็ต แท็ชเชอร์ เป็นผู้นำที่ทำให้หลักประกันในชีวิตของคนรากหญ้าพังทะลาย ด้วยการแปรรูปกิจการของรัฐให้ไปอยู่ในมือของเอกชน. และถ้าใครเอ่ยถึงเชอร์ชิล อีกคนก็จะโพล่งขึ้นมาว่า “ปัดโธ่ ไอ้แก่ลูกอีนังหมาบ้า!” อะไรเทือก ๆ นี้ละครับ คือหนีไม่พ้นการสาปแช่งของก๊วนผม. มีอยู่คนเดียวที่เอาแต่นั่งยิ้ม คือลุงอาลัน เพราะแกเป็นคนเงียบ ๆ ดื่มเบียร์แทนน้ำ ชอบนั่งฟังคนอื่นพูดเสียมากกว่า แต่ถ้าใครหันไปคะยั้นคะยอให้แกออกความเห็นเรื่องเชอร์ชิล แกก็จะยิ้มแล้วก็พึมพำเบา ๆ ว่า Old bastard! ก่อนจะยกเบียร์ขึ้นซด. Old bastard ก็คือ “ไอ้แก่สติแตก” หรืออะไรทำนองนั้นนั่นเอง. พูดง่าย ๆ ว่ารอยยิ้มของแกไม่ได้บอกว่าแกเห็นอกเห็นใจเชอร์ชิลแม้แต่น้อย. เพียงแต่แกไม่อยากด่าให้เปลืองน้ำลายเท่านั้น.

ครับ จดหมายฉบับนี้ก็คงจบลงเพียงแค่นี้. ต้องขอโทษอีกครั้งครับที่ห่างหายไปเป็นเดือน. ผมจะชดเชยความผิดนี้ด้วยการเขียนฉบับต่อไปในอีกไม่นานเกินรอ. เป็นเรื่องข้อเท็จจริงบางอย่างเกี่ยวกับปริศนาการตายขององค์แก้ว ที่พวกผู้นำสยามเรียกว่า “กบถผีบุญ” แต่ทางฝั่งลาวถือว่าเขาคือบิดาแห่งการกู้ชาติ.

รักและคิดถึงเสมอครับ,
จากสหายจรัล นักปฏิวัติผู้พ่ายแพ้
9 มกราคม 2564