วันจันทร์, มกราคม 06, 2563

คุณภาพชีวิตยังติดลบ ฝุ่นฝอยในอากาศไม่เหือดหาย อนค.จ้องอภิปรายนำเข้าขยะล้น


คุณภาพชีวิตไทยยังติดลบไม่เหือดหายในสมัยประชารัฐ ต่างกับวิกฤตน้ำที่กำลังเหือดแห้ง (บางแห่งว่า แม่กลอง เหลือแค่ข้อเท้า) “ภัยแล้งที่กำลังเกิดขึ้น มีแนวโน้มรุนแรงกว่าทุกปี” ทั่นโปรเฟสเซ่อโฆษกบอกว่านายกฯ พูดเอง

ไม่ต้องมองย้อนกลับไปไกลถึง ๕ ปี ๖ ปี เมื่อปีก่อนนี่เอง ๒๕๖๑ หลังจากที่เลขาธิการ สทนช. หรือสำนักจัดการน้ำแห่งชาติแจ้งว่า “ยุทธศาสตร์ชาติด้านการบริหารจัดการน้ำที่ดำเนินการมาใน ๒-๓ ปีที่ผ่านมา ยังไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้”

นายกฯ คนเดียวกัน (จากรัฐบาลเก่าที่ไม่ได้ผ่านเลือกตั้ง) ก็จัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำขึ้นอีกสี่ชุด พร้อมทั้งขยายเวลาทำงานออกไปอีกเท่าตัวเป็น ๒๐ ปี ฟาดงบประมาณเหนาะๆ ๖ หมื่นล้านบาท มาวานนี้ประยุทธ์รับทราบการจัดตั้ง ศูนย์เฉพาะกิจแก้ปัญหาน้ำอีกแล้ว

นั่นมาพร้อมกับ ค่าฝุ่นพิษพุ่งวันนี้ (๖ มกรา) พบว่าฝุ่นละออง พีเอ็ม ๒.๕ ในอากาศของ กทม. เกินค่ามาตรฐานถึง ๙ เขต ได้แก่ บางคอแหลม บางกอกน้อย คลองเตย คลองสาน ปทุมวัน บางขุนเทียน ภาษีเจริญ บึงกุ่ม และลาดกระบัง

ปริมาณเฉลี่ยอยู่ที่ ๓๙-๕๘ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร แต่มีรายงานโดยเอกชน (Richard Barrow @RichardBarrow) จากสมุทรปราการว่าเมื่อตอน ๘.๑๐ นาฬิกา อ่านค่าเอคิวไอได้ ๑๘๓ ที่โรงเรียนศิริวิทยา ปากน้ำ (ค่าเฉลี่ยตลอดวันอยู่ที่ ๑๗๓)

ยังไม่ปรากฏในขณะนี้ว่าจะมีการถลุงงบฯ ในเรื่องนี้กันเท่าไหร่ แต่กรณีวิกฤตฝุ่นละอองในอากาศนี่เมื่อใกล้จะปลายปีที่แล้วเป็นปัญหาใหญ่มาก กทม.และหน่วยงานสาธารณสุขพยายามแก้ไขเฉพาะหน้าด้วยการฉีดน้ำขึ้นฟ้ากันสนุกสนาน
 
ตอนนี้คงทำไม่ถนัดแล้วละมัง เพราะนายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการ สทนช.ออกแถลงแจ้งว่าต้องประหยัดน้ำกันอย่างเต็มที่ แม้แต่ที่รัฐบาลออกโครงการปล่อยน้ำจืดไล่น้ำเค็ม ก็ต้องระวังให้เหลือพอใช้ไปถึงเดือนพฤษภา

ทว่าต้นเหตุจริงๆ ที่ฝุ่นกลับมาออกฤทธิ์อีกน่าจะเพราะว่า การเผาขยะเพื่อแปรรูปตามโรงงานเถื่อนบ้าง ไม่ถูกหลักควบคุมมลพิษบ้างยังอูฟูอยู่รอบๆ กรุงเทพฯ ในเมื่อไทยเป็นประเทศนำเข้าขยะอันดับต้นๆ ของภูมิภาคเลยทีเดียว

วานนี้พรรคอนคตใหม่ประกาศจะซักฟอกรัฐมนตรีมหาดไทย ผู้เป็นตัวการปล่อยให้นำเข้าขยะโจ๋งครึ่ม ทั้งที่ประเทศเพื่อนบ้านมาเลย์ อินโดฯ ล้วนใช้นโยบายสกัดกั้นกันแล้วอย่างได้ผล วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อตั้งข้อสันนิษฐาน
 
ว่ามันเป็นผลงานจากการที่ คสช.ใช้อำนาจวิเศษมาตรา ๔๔ ให้เปิดโรงงานกันโดยไม่ต้องคำนึงผังเมืองและระบบนิเวศน์ “ทั้งที่กรมควบคุมมลพิษ และกรมการกงสุล ออกมาบอกว่าจะยุติการนำเข้าขยะแล้ว และมีผู้ประกอบการเพียง ๒ ราย ซึ่งเป็นนักลงทุนจีน

...หากการนำเข้าขยะมีกฎหมายห้าม แต่ทำไมจึงยังสามารถนำเข้า และเพิ่มจำนวนมากยิ่งขึ้น หมายความว่าต้องมีไอ้โม่ง หรือขาใหญ่ที่เปิดทางไว้ให้”

แต่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ กลับเป็นห่วงเรื่อง แจกหมอน ให้ประชากรไว้หนุนนอน ทีแรกของบประมาณไว้ ๑๘,๐๐๐ ล้านบาท โดนวิจารณ์หนักว่ามรึงจะบ้าหรือ เศรษฐกิจยิ่งเฉาหนักอย่างนี้ยังจะหาเรื่องถลุงเงินอีก
 
ธรรมนัส พรหมเผ่า อ้างว่าตั้งใจช่วยชาวไร่ยาง ซึ่งกำลังร้องลั่นด้วยความปวดกะโหลกที่ราคายางเหลือ สี่โลร้อยดังที่เคยหวาดหวั่นกันเมื่อไม่นานมานี้เอง ทั่นรองฯ ณ ออสเตรเลีย คำนวณสาระตะว่าถ้าแจกหมอน ๓๐ ล้านใบที่ผลิตจากยางพารา จะดึงราคายางได้ถึงโลละ ๖๕ บาท

ในเมื่อเงินยังไม่มี (หรือโดนเจ้านายเหยียบตีน-ขัดขาก็ไม่รู้) จึงเปลี่ยนแผนเล็กน้อย จะเอาแค่ ๓ ล้านใบก่อน เพื่อที่จะดึงเงินจากงบกลางเอามาได้ง่ายๆ ขอแค่ ๔ พันล้านบาทสำหรับช่วง ๑๐ เดือนตั้งแต่ ๑ กุมภาถึง ๓๐ พฤศจิกา ๖๓ แล้วค่อยว่ากันใหม่


แต่มีคนจับผิดได้ ไทกร พลสุวรรณ @Thaikorn1ดูตัวเลขแล้วบ่นว่า “ท่าจะหนักกว่าเดิม” เพราะถ้าแจก ๓๐ ล้านใบด้วยงบหมื่นแปดพันล้าน เท่ากับใช้งบฯ ๖๐๐ บาทต่อหมอนหนึ่งใบ นี่เปลี่ยนเป็น ๓ ล้านใบ ๔,๐๐๐ ล้าน

เท่ากับค่าผลิตหมอนแจกแผนใหม่ของธรรมนัส ฟาดงบฯ ไปใบละ ๑,๓๓๐ บาท ผู้ผลิตได้เฮ #ไทกร บอกว่า “เก็บเงินงบกลางไว้ช่วยประชาชนที่ประสบภัยแล้งดีกว่าครับ”