ระหว่างหยุดสงกรานต์นี่ฟังข่าวลือกันไปพลางๆ
ลือหนึ่งจาก Thaikorn Polsuwan @Thaikorn1 ว่า “สภาเดดล้อค”
หมายถึงการจัดตั้งรัฐบาลผ่านสภาผู้แทนราษฎรท่าจะไปไม่ได้ “ต้องมีนายกฯ
คนกลาง”
คล้องจองกับเสียงร้องในพรรคประชาธิปัตย์ ขอ
‘รัฐบาลแห่งชาติ’ แม้นว่าโฆษกพลังประชารัฐคุยจ้อ
ตอนนี้เดินหน้าเตรียมนโยบายที่จะปฏิบัติทันที ๗ ข้อ “หลังจากจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว”
ลือที่สองเติมเต็มลือแรก จาก songkiet chartwattan @songkietchartwa นักจัดรายการวิทยุเกี่ยวกับเศรษฐกิจและตลาดหุ้น
ฟันธงว่าปัญหาจาก “การเลือกตั้งที่โกงกันจนเละเทะที่สุดในประวัติศาสตร์”
ดังนั้นจะมีนายกฯ พระราชทาน
ชื่อ “ดร.อำพน
กิตติอำพน องคมนตรี เข้ามาดูแลบ้านเมือง หลังจากนั้นจะใช้รัฐธรรมนูญปี ๔๐
และจะเลือกตั้งใหม่ในปีนี้” ฟันแม่นแค่ไหนคงต้องไว้ดูกัน ว่า
คสช.เขาจะยอมหรือเปล่า เดี๋ยวจะเป็นเรื่อง ‘โจ๊กๆ’ ไปอีก
(‘เละเทะ’ เห็นได้ชัดก็ตรงการกรอกคะแนนที่เขตอุเทนถวายนั่นไง
พลังประชารัฐแต้มน้อยกว่าอนาคตใหม่ แต่กรอกตัวเลขเป็น พปชร.ได้ ๖๗ แต่ อนค.แค่ ๖๐)
กลับมาที่ความจริง
การตั้งรัฐบาลยังไม่ถึงทางตันจนกว่าจะวันที่ ๙ พฤษภา ราคาคุยของกอบศักดิ์ ภูตระกูล
ว่าไปแล้วก็แค่ฝันเฟื่องตามเพลง “คาดว่าปีแรกจะใช้งบประมาณไม่เกิน
๒ แสนล้านบาท” พวกประชารัฐก็งี้ดีแต่ถลุงเงิน
“ส่วนการหาเงินเข้าประเทศก็ไม่ต้องกังวลใจไป
เพราะพรรคมีแนวทางในการหาเงิน เช่น การปฏิรูประบบภาษี” นี่ไงสไตล์ ‘ขูดเลือดจากปู’ ตอนนี้ปูไม่อยู่ก็คงไปขูดกับหอยนั่นละ
ถึงอย่างไรกอบศักดิ์ก็ยอมรับว่าคะแนนไม่นิ่งจริงๆ
แต่หาว่า “เกิดความสับสน
เนื่องจากแต่ละพรรคการเมืองล้วนมีสูตรเป็นของตัวเอง” นี่ก็ผิดถนัด ไหนเป็นด็อกเตอร์ไหงไม่ขวนขวายหาอ่านศึกษาจากคนที่รู้เสียบ้าง
ดร.วรศักดิ์ กนกนุกุลชัย ราชบัณฑิตสาขาเทคโนโลยี่ อุตส่าห์เขียนละเอียดลงเฟชบุ๊ค
เขาอธิบายว่าระบบจัดสรรปันส่วนที่นั่ง
ส.ส.บัญชีรายชื่อที่ไทยใช้นั้นลอกมาจากเยอรมนี (และนิวซีแลนด์กับโบลิเวีย) แต่ลอกไม่หมดเอาแบบไทยๆ
ยัดใส่เข้าไปด้วย เลยเป็นการดึงคะแนนพรรคใหญ่ไปให้พรรคจิ๊บจ้อย แต่พรรคใหญ่อันดับสองที่เป็นของ
คสช.ไม่โดนดึง
จึงเกิดปรากฏการณ์พรรคเล็กที่ได้คะแนนไม่ถึงครึ่งของจำนวนเสียงต่อ
๑ ส.ส.พึงมี ได้ที่นั่งกันเป็นแถว ๑๓ ราย ที่ “นิวซีแลนด์กำหนดให้พรรคไหนที่ไม่ได้
ส.ส.เขตเลย ถ้าจะมาแบ่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ จะต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่า ๕%
ที่เยอรมนีก็ใช้ ๕% โบลิเวียร์ใช้ ๓ %”
ของไทยเอานักกฎหมายมาออกแบบคณิตศาสตร์
มาตรา ๑๒๘(๔) กำหนดให้ “เกลี่ยเศษเพื่อแปลงเลขทศนิยมให้เป็นเลขเต็มโดยวิธี Largest
Remainder Method” แต่ไม่มีการกำหนด Threshold
หรือเกณฑ์จำนวนคะแนนสำหรับ ๑ ส.ส.พึงมี
ครั้นทำอย่างนั้นก็เกิดจำนวน
ส.ส.พึงมีเกินกว่าจำนวนที่นั่ง นั่นคือ ส.ส.บัญชีรายชื่อเพิ่มจาก ๑๕๐ ไปอีก ๒๕.๔๗
คน ครั้นปรับส่วนเกินที่ในต่างประเทศเรียก Overhang Seats ให้เหลือ ๑๕๐ พอดี ก็ต้องไปลดเอาจากพรรคที่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อจำนวนมาก (ส.ส.เขตน้อย)
อย่างพรรคอนาคตใหม่
(https://www.facebook.com/worsak.kanok/posts/1958795540899474 และ https://www.brighttv.co.th/latest-news/372376)
เมื่อความผิดพลาดของ
กกต.เห็นได้ชัดแจ้งอย่างนั้นแล้ว ไม่ยอมปรับเปลี่ยนเสียใหม่ให้ถูกต้องดังที่มีผู้รู้และพรรคการเมืองอื่นเสนอแนะ
ก็ส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญช่วยชุบทองให้ ใครๆ ก็รู้ว่าคำตัดสินออกมาจะต้องคล้อยตาม
กกต.แน่นอน
นายดิเรก ถึงฝั่ง อดีต ส.ว.นนทบุรี วิจารณ์ว่าการส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องไม่ใช่หน้าที่อย่างนี้
เป็นเพียง ‘ตัวช่วย’ “เพื่อไม่ให้ตนเองถูกฟ้องภายหลัง”
เพราะเคยมีตัวอย่างที่ กกต.ต้องติดคุกมาแล้ว ถ้าไม่ขี้หลงขี้ลืมกัน
กอบศักดิ์จะมาอ้าง “ไม่ควรยึดที่ตัวเอง
แต่ควรยึดเจตนาของรัฐธรรมนูญเป็นที่ตั้ง เพื่อเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล”
ฟังรุ่นพี่อย่างดิเรกเสียบ้างว่ามันผิดเพี้ยนมาแต่ต้น ตอนร่างรัฐธรรมนูญกันนั่นแล้ว
“ถ้ารัฐธรรมนูญซึ่งเป็นเสาหลักปักเอนเอียง คนในบ้านก็อยู่ไม่มีความสุขแน่”
ทางพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งตกกระป๋องไม่เป็นท่าในการเลือกตั้งครั้ง
ซ้ำยังทำท่าจะถูกพวก กปปส.ยึดเอาไปเป็นลูกไล่ พปชร.เสียอีก จึงต้องมีคนออกมาดิ้น เทพไท
เสนพงศ์ รักษาการรองเลขาธิการพรรค รีบออกมาเสนอ ‘รัฐบาลแห่งชาติ’ ทันที
อ้าง ทางตัน วังวน นักการเมืองมีทิฐิ
ขอให้ช่วยถอยกันคนละก้าวเข้าไปหา ปชป.
ได้เป็นส่วนหนึ่งในรัฐบาลอย่างมีหน้ามีตาสักหน่อย แถมเสนอแนวทาง ‘ภารกิจหลัก’ “แก้ไขรัฐธรรมนูญปี ๒๕๖๐ ให้มีความเป็นประชาธิปไตยตามหลักสากล”
(https://www.thairath.co.th/content/1542488FU9sBhw และ https://www.khaosod.co.th/politics/news_2409421)