สองเรื่องเมื่อวานนี้ต่างกรรมต่างวาระ ที่เป็นการเพลี่ยงพล้ำของทางฝ่ายประชาธิปไตย
จะเป็นเพราะสะดุดขาตัวเองหรือว่าโดนผลักก็ตามแต่ มันชี้ว่ากระบวนการจักต้องมัดหวายกันไว้ให้เหนียว
แต่ละหน่วยหนักแน่น คล้องแขนกันคืบไปข้างหน้าที่จุดหมาย
รัฐบาลของประชาชนจากประชาชนอย่างแท้จริง
คดีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุก
๑ ปีไม่รอลงอาญา โทษฐานหมิ่นประมาทนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตผู้อำนวยการ ศอฉ.
จากการที่อดีต ผอ.ดีเอสไอเคยแถลง ในคดีตรวจสอบโครงการก่อสร้างโรงพักตำรวจ ๓๙๖ แห่ง
ว่า “ฝ่ายการเมือง โดยโจทย์ (สุเทพ) ได้เข้าไปแทรกแซงให้เปลี่ยนรูปแบบจากการแยกสัญญารายภาค
รวมเป็นเจ้าเดียว เป็นเหตุให้โรงพักสร้างไม่เสร็จ” นั้นเป็นข้อหาเดียวที่ศาลตัดสิน
ซึ่งนายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความของสุเทพแจ้งว่า
ยังมีสำนวนอื่นที่ยังไม่ได้มีการชี้มูลความผิดจาก ปปช. เช่น “กรณีที่นายธาริตให้สัมภาษณ์ว่า
นายสุเทพไม่ทำตามมติคณะรัฐมนตรี ทำการเปลี่ยนสัญญาจัดซื้อจัดจ้างโครงการก่อสร้างโรงพัก
ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์”
ทนายของสุเทพบอกด้วยว่า “คดีนี้นายธาริต จำเลยได้พยายามติดต่อมาขอเจรจาไกล่เกลี่ยหลายครั้ง
ตั้งแต่ก่อนช่วงนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาครั้งแรกที่ศาลอาญา...
มีการประสานฝ่ายผู้ใหญ่ เพื่อเข้ามาเจรจาไกล่เกลี่ยหลายคน
รวมถึงนายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด...ในครั้งแรกตนก็ตอบรับที่จะเข้าไกล่เกลี่ย จนต่อมาได้ทราบว่านายธาริตได้ยื่นคำร้องไปยังประธานศาลฎีกา
เป็นประเด็นที่ไม่สามารถบอกรายละเอียดได้”
เหล่านั้นอาจจะตอบข้อกังขาของผู้ที่สงสัยว่า
คดีนี้ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ได้ยกฟ้องด้วยเหตุว่าหลักฐานไม่พอปรักปรำ ไฉนมาถึงศาลฎีกาจึงได้พลิกกลับ
จะเป็นเพราะการที่นายธาริตพยายามขอไกล่เกลี่ยหรือเปล่า
ว่าตามทำนองที่ศาลทำกันมาตลอดหลายปีหลังการรัฐประหาร
คดีที่เกี่ยวกับความผิดของฝ่ายรัฐบาลที่จัดตั้งในค่ายทหาร
หรือที่เกี่ยวกับผู้ชุมนุมขับไล่รัฐบาล (ก่อน) ที่จะถูกทหารยึดอำนาจนั้น มีการพลิกคำตัดสินโดยศาลฎีกาเป็นประโยชน์ต่อผู้ต้องหาเหล่านั้น
อันตรงข้ามกับอีกฝั่ง
ถ้าจะเปรียบเทียบกับคดีหมิ่นประมาท น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
โดยคณะผู้ดำเนินรายการ ‘สายล่อฟ้า’
ที่มีการขอขมา (ทีแรกแบบขอไปที จนมีเสียงวิจารณ์มากจึงได้ปรับแก้)
นั่นก็ทำให้ทีมโฆษกแก๊งไอติมรอดคุกไปได้เพราะทนายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์
แจ้งต่อศาลฎีกาจะไม่ขอเอาความต่อไป
ในเบื้องลับเกี่ยวกับคดีที่ทนายมักอ้างว่า “ไม่สามารถบอกรายละเอียดได้”
นั้น คู่กรณีน่าจะรู้เบาะแสบางอย่างกันบ้างแล้วว่าคำตัดสินของศาลฎีกาจะออกมาในรูปใด
จึงได้มีการพยายามประนอมยอมความเกิดขึ้น
ส่วนใครจะรับหรือไม่รับควรจะเป็นที่เข้าใจได้เลยว่า
ใครเป็นประชาธิปไตย ใครเป็นเผด็จการ ผู้ที่ไม่เห็นแก่เขาแก่เรา ไม่โอบอ้อม
ไม่ใจอ่อน จึงมักจะได้รับชัยชนะอยู่บ่อยๆ แล้วมีการกลับมาหักล้างกันในที่สุด
เรื่อง ‘กงกรรมกงเกวียน’ เป็นสัจจธรรมของการ ‘เอาคืน’ ด้วยเหตุประมาณนี้
อีกกรณีที่เกี่ยวกับมรสุมของพรรคอนาคตใหม่ มีเหตุอันจะทำให้การมุ่งหน้าไปปักธงการล้มล้างผลพวงของรัฐประหาร
เกิดสั่นคลอนมาแล้วหลายครั้ง บ้างถูก ‘ตัวอิจฉา’ เตะตัดขา
บ้างเดินเองสะบัดสะบิ้งจนสะดุดขาตัวเอง
ล่าสุดเกี่ยวกับผู้เสนอตัวลงสมัคร ส.ส.ตัวแทน อนค. ที่เขต ๖
กรุงเทพฯ (พญาไท-ราชเทวี) แต่ถูกตัดชื่อออกไป
แล้วกลับประกฏว่ามีชื่อของผู้ร่วมก่อตั้งพรรคคนหนึ่งโผล่มาติดโผอยู่โดดๆ
พอดีผู้ร่วมก่อตั้งพรรคคนนี้ชื่อ คริส โปตระนันทน์ ที่เคยมีปัญหากับ ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์
จนเกิดความอื้อฉาวอยู่พักใหญ่
จนวานนี้ (๑๔ ธันวา) หัวหน้าและเลขาธิการพรรคร่วมกันแถลงชี้แจง
ถึงกระบวนการคัดสรรผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค (แม้จะไม่ได้ตอบโจทก์ประเด็นที่เป็นข่าวอื้อฉาวขึ้นมาโดยตรง
ก็สามารถเข้าใจได้ไม่ยาก) ว่าจริงอยู่มีหลัก ‘เปิดกว้าง’ ให้เสนอตัว แต่ก็ยังมีการคัดสรรในเรื่องอุดมการณ์และคุณค่าพื้นฐาน
จากนั้นจึงเป็นการทำ ‘ไพรมารี่โหวต’
กำหนดตัว
โดยเฉพาะการคัดสรรนั้นทำโดยคณะกรรมการ ๑๑ คน ที่ได้รับการเลือกตัวมาโดยที่ประชุมใหญ่เมื่อเดือนตุลาคม
ตอนนั้นมีผู้แสดงความจำนงจะลงแข่งชิงเลือกตั้งเป็น ส.ส. ๗๐๐ คน
ผ่านการคัดกรองแล้วเหลือ ๔๑๗ คน ที่จะเข้าไปสู่การเลือกตั้งไพรมารี่แบบออนไลน์
ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาฯ พรรคแจงว่า “โดยประมาณวันที่ ๒๑
ธันวาคม จะได้เห็นหน้าตาของผู้สมัคร ส.ส. ทั้ง ๓๕๐ เขต”
ดังนั้นผู้ที่ไม่มีชื่อได้เข้าสู่การเลือกไพรมารี่ของพรรคก็คือ ๒๘๓
คนที่ไม่ผ่านการคัดกรองของกรรมการ ๑๑ คน
มาถึงประเด็นปัญหาว่ากรองอย่างไร
เอาแต่พวกร่วมก่อตั้งพรรคและกรรมการประจำพื้นที่ละหรือ อันนี้ ธนาธร
จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าชี้แจงเอง เริ่มด้วย “อย่างที่บอก
พรรคเราตั้งขึ้นมาเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย
เพื่ออุดมการณ์ที่อยากจะคืนประชาธิปไตยให้กับประชาชน
ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก สำคัญมากกว่า
ใครจะได้เป็น ส.ส.ของพรรค” ดังนั้น ในการเลือกตั้งที่จะมีในวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์
เป็นการเลือกเอาตัวแทนประชาชน “เข้าไปออกกฎหมาย ไปเลือกนายกรัฐมนตรี”
แต่ผู้ที่เสนอตัวจำนวนไม่น้อยเป็นนักกิจกรรม เป็นนักพัฒนาท้องถิ่น
ซึ่งเหมาะต่อการเข้าไปชิงตำแหน่งในการเมืองท้องถิ่น เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(อปท.) ต่างๆ “ตรงนั้นจะมีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองของท่านได้อย่างตรงเป้า”
ธนาธรย้ำด้วยว่า “นี่คือการออกแบบของพรรคอนาคตใหม่
คืองานการเมืองระยะยาว ไม่ใช่การเมืองระยะสั้น หรือเฉพาะการเลือกตั้งในครั้งนี้”
น่าจะเติมเต็มจากที่ อธึกกิต แสวงสุข
เขียนวิจารณ์ไว้ทางเฟชบุ๊ค ว่าเป้าหมายของพรรคอนาคตใหม่คงจะอยู่ที่ การแจ้งเกิดพรรคมวลชนที่มี
ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อสักสี่ซ้าห้าคน