รัฐประหารกลายเป็นระบอบที่ต้องยอมรับไปแล้ว
ตามตรรกะอันวิบัติของศาลไทย ในการตัดสินคดีประชาชนคนหนึ่งออกมาชูป้าย “ไม่ยอมรับอำนาจเถื่อน”
ของทหารที่ยึดอำนาจการปกครองไปจากรัฐบาลเลือกตั้งเมื่อ ๒๒ พ.ค. ๒๕๕๗
เมื่อ ๓๑ พ.ค. ๒๕๖๑ สี่ปีหลังจากเริ่มมีการดำเนินคดีต่อ
อภิชาติ พงศ์สวัสดิ์ นักกฎหมายที่ทำงานอยู่กับคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.)
ศาลอุทธรณ์แขวงปทุมวันพิพากษาให้ “การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานชุมนุมทางการเมือง
ตามประกาศ คสช. ฉบับที่ ๗/๒๕๕๗”
ซึ่งต่อมาประกาศฉบับนั้นกลายร่างเป็นคำสั่ง
คสช. ที่ ๓/๒๕๕๘ อันเลื่องลือในขณะนี้ว่า คสช.ใช้เป็นเครื่องมือกำหลาบใครก็ตามที่ไม่ชอบใจ
ไม่เห็นด้วยกับการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จของ คสช. แล้วออกมาแสดงให้สาธารณชนรับรู้ เรียกร้องการเลือกตั้งตาม
‘ระบอบ’
ประชาธิปไตยโดยไว
แม้นว่าคำสั่งฉบับที่มาแทนดังกล่าวจะกลับให้คุณแก่ผู้ถูกกล่าวหาและดำเนินคดี
เพราะ “จำเลยเข้าร่วมชุมนุมโดยสงบ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นการใช้ดุลพินิจกำหนดโทษที่หนักเกินไป”
จึงพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องข้อหาความผิดอาญามาตรา ๒๑๕ ที่ลงโทษจำคุก ๒ เดือน รอลงอาญา
๑ ปี เสีย เหลือแต่โทษปรับ ๖ พันบาท
แต่การใช้เหตุผลรายล้อมในคำพิพากษาคดี
เต็มไปด้วยลักษณะผิดผีผิดไข้ บิดเบี้ยวครรลองแห่งนิติธรรมสากล
จนทำให้คำตัดสินที่เป็นคุณแก่จำเลยไร้ซึ่งศักดิ์ศรีแห่งกระบวนการยุติธรรมไทย ในความรู้สึกของปุถุชนที่ยึดมั่นต่อระบอบประชาธิปไตย
และไม่ยอมรับ ‘ระบอบ’
เผด็จการ
มาดูเนื้อหาคำพิพากษา
ตามที่สำนักข่าวประชาไทรายงานไว้ ต่อกรณีจำเลยอุทธรณ์ว่าความผิดและโทษทัณฑ์ที่ได้รับจากการพิจารณาคดีใหม่ของศาลชั้นต้นเมื่อกลางเดือนธันวาคม
๒๕๕๙ ตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์นั้น
เพราะว่า “ประกาศ คสช. ฉบับที่ ๗/๒๕๕๗ ไม่มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย
เนื่องจาก คสช. ได้อำนาจการปกครองมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย”
แต่ศาลฯ กลับพิพากษาโต้แย้งว่า “แม้การกระทำของ
คสช. ในเบื้องต้นจะมีลักษณะเป็นการได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่บังคับใช้อยู่ในขณะนั้น
แต่เมื่อ คสช.
เข้าควบคุมอำนาจในการปกครองประเทศ
ไม่มีการต่อต้านขัดขืนจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ตลอดจนหน่วยงานหรือองค์การใดๆ
ทั้งภาครัฐและเอกชน แม้แต่คณะรัฐบาลรักษาการก็ ‘ไม่อาจ’โต้แย้งขัดขวางการยึดอำนาจและบริหารราชการของ คสช.
ถือเป็นการใช้กำลังยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงรัฐบาล
ตามนัยของระบอบแห่งการรัฐประหารได้เป็นผลสำเร็จแล้ว”
นั่นหรือคือตรรกะแห่งกฎหมายในกระบวนยุติธรรมไทย
การใช้กำลังอำนาจทางทหารบังคับ ไม่มีใครกล้าขัดขืน ถือเป็นความสำเร็จของ ‘ระบอบ’ รัฐประหาร
แล้วถ้ามีการกระทำกลับกัน
ฝ่ายประชาชนเกิดความกล้าขัดขืน ด้วยกำลังอำนาจอย่างใดอย่างหนึ่ง เอาชนะต่อฝ่ายรัฐประหารจนสยบราบคาบหรือมลายหายไปบ้างล่ะ
ศาลอุทธรณ์ปทุมวันจะถือว่า เป็นผลสำเร็จตาม ‘ระบอบ’ พลเมืองต่อต้าน ‘People Resistance’ บ้างไหม
อีกประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ว่า
การที่ตนออกไปประท้วงการยึดอำนาจของคณะรัฐประหาร
เพราะเป็นการใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญขณะนั้น (พ.ศ.
๒๕๕๐) ซึ่งศาลก็ตีตกไปด้วยการสนับสนุนระบอบเผด็จการว่า
เมื่อคณะทหารยึดอำนาจสำเร็จ ล้มเลิก
รธน.ฉบับนั้นไปแล้ว จำเลยเอามาอ้างไม่ได้ เท่ากับเป็นการแสดงจิตสำนึกไม่เป็นประชาธิปไตยของศาลไทย
ที่ทั่วโลกเห็นว่าเป็นสรรพโทษต่อมวลมนุษยชาติ อาจมีสักแห่งสองแห่งที่ยอมรับได้
เช่นประเทศเกาหลีเหนือ
เท่านั้นไม่พอ ศาลอุทธรณ์ไทยประกาศตนเป็นเอกเทศ
ไม่ยอมรับครรลองนิติธรรมสากล ดังที่จำเลยอ้างว่า “ใช้เสรีภาพในการชุมนุม ‘โดยสงบ’ ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
(ICCPR)”
ศาลฯ กลับพิพากษาว่า “เสรีภาพในการชุมนุมตาม
ICCPR นั้น
ศาลเห็นว่าสถานการณ์ของประเทศไทยก่อน คสช.
ทำรัฐประหารอยู่ในสภาพที่มีความไม่สงบเรียบร้อย จึงเข้าเงื่อนไขข้อยกเว้น”
นี่ก็เป็นการใช้ตรรกะอย่างวิบัติยิ่ง
ศาลอ้างว่าสถานการณ์ก่อนรัฐประหาร “ไม่สงบเรียบร้อย”
เมื่อมีคนออกมาใช้เสรีภาพตามกติกาสากลคัดค้านรัฐประหาร ถือเป็นความผิดเพราะไม่เข้าเงื่อนไขยกเว้น
เป็นข้ออ้างที่ไม่ได้สัมพันธ์ต่อเนื่องกันแต่อย่างใด
น่าจะบอกว่าศาลนี้อยู่ภายใต้อำนาจเผด็จการทหาร
จึงต้องตัดสินให้จำเลยผิด โดยไม่คำนึงถึงหลักกฎหมายสากลที่ประเทศให้สัตยาบันไว้
และไม่แยแสหลักแห่งความยุติธรรมของกฎหมาย มากกว่าคำสั่งของผู้เป็นนายเหนือหัวเท่านั้นเอง