เมื่อกลางอาทิตย์ที่แล้ว หลังกลับจากอเมริกาหมาดๆ บิ๊กตู่เปิดแถลงข่าว
ตัดพ้อว่าถูกโจมตีหลายด้าน ทำให้ยิ่งเข้มแข็งขึ้น “การทำความดีไม่ค่อยได้ประโยชน์อะไรในบ้านเมืองนี้
จะต้องถูกขัดขวางเป็นธรรมดา”
นักข่าวก็ช่างซักไซร้จี้ต่อมฉุนได้ชงัด
ถามเรื่องการใช้อำนาจพิเศษ ม.๔๔ นายกรัฐมนตรีจากการยึดอำนาจ ซัดกลับ “ทำไมจะต้องต่อต้านสิ่งที่เขาต้องการให้มันดีกว่าเดิม
เขาไม่เอาไปรังแกใครหรอก แล้วที่ผ่านมามันทำดีกันหรือยัง
ถ้ามันดีพอแล้วผมจะได้เลิก อำลาไป”
หัวหน้ารัฐประหารไทยที่ใครๆ ไม่เคยเชื่อว่าจะลงจากหลังเสือแล้วปล่อยให้กระบวนการเลือกตั้งสรรสร้างรัฐบาลจากอาณัติของประชาชนจริงจัง
ทำเป็นอ้อน “คิดว่าผมจะทนหรือ ที่ผมจะอยู่กับประเทศที่ล้มเหลวขนาดนั้น
ผมก็ไปไหนของผม พอแล้ว”
หลังจากทำปากหวานก้นขม ชื่นชมว่าประธานาธิบดีสหรัฐเป็นเพื่อนแท้
มีความจริงใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาไม่วายแอบอ้าง “จากการที่เราไปต่างประเทศ
เขาก็เข้าใจเรามากขึ้น”
รวมความยังคงใช้วาทกรรมอย่างเดิมๆ อิงแอบนักกฎหมายบริกรอย่างนายวิษณุ
เครืองาม รองนายกฯ เรื่องยุบสภา “ใครตอบได้ไหมถ้า ๖ เดือนเลือกนายกฯไม่ได้
จะทำอย่างไรต่อไป บ้านเมืองเดินหน้าได้ไหม ไม่มีรัฐบาลมันอยู่ได้ไหมประเทศไทย”
แล้วทั้งหมดก็ไปลงอยู่กับข้ออ้างสำเร็จรูป “ผมพยายามทำทุกอย่างให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม”
มันช่างตลกร้ายขำไม่ออกอะไรเช่นนั้น
เมื่อคำนึงถึงปรัชญาการเมืองของเอล็กซิส เดอ ท้อคเกวิลล์ ชาวฝรั่งเศส
ซึ่งกล่าวถึงประชาธิปไตยสำหรับอเมริกาเอาไว้ในศตวรรษที่ ๑๗
“นักกฎหมายกับอำนาจบริหารมีความสัมพันธ์สอดคล้องต้องกันมากกว่านักกฎหมายกับประชาชน”
(ขอบคุณอาจารย์ ปิยบุตร แสงกนกกุล
ที่กรุณาคัดบางตอนพร้อมคำแปลภาษาไทย ลงไว้บนหน้าเฟชบุ๊ค https://www.facebook.com/piyabutr2475/posts/10154901611740848)
“สิ่งที่นักกฎหมายชอบมากที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด
คือ ระเบียบ และสิ่งที่จะรักษาระเบียบได้ คือ อำนาจ เราต้องไม่ลืมว่า
นักกฎหมายอาจเห็นความสำคัญของเสรีภาพ แต่โดยทั่วไปความชอบด้วยกฎหมายก็อยู่เหนือเสรีภาพ
นักกฎหมายหวั่นเกรงทรราชย์น้อยกว่าอำนาจอำเภอใจ
เมื่อฝ่ายนิติบัญญัติตรากฎหมายบั่นทอนอิสรภาพของประชาชน พวกเขาจะค่อนข้างพอใจ”
นอกจากอำนาจกฎหมาย ‘Rule BY Law’ ที่ คสช. ใช้อำนาจกฎหมายบั่นทอนอิสรภาพของประชาชน
(ที่ไม่ยอมคล้อยตามผู้ปกครอง) โดยตรงแล้ว ยังมีอำนาจกฎหมายจำบัง
ในนามของยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศทางเศรษฐกิจ ที่ คสช. เรียกมันว่า ‘ประชารัฐ’
ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ยิ่งขึ้นในขณะนี้ว่าทหารผู้ปกครองร่วมมือกับนักกฎหมายชนชั้นนำ
และนายทุนใหญ่เจ้าของกิจการครบวงจรไม่กี่ราย ทำมาหากินกันบนหลังประชาชน
จากการที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญทำการรณรงค์
“เรียกร้องให้รัฐบาลหยุดเอื้อประโยชน์ธุรกิจให้เจ้าสัวผ่านบัตรคนจน” เขากล่าวว่า
“การดำเนินโครงการดังกล่าว กลับเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มธุรกิจ
‘เจ้าสัว’
นายทุนใหญ่เจ้าของสินค้าอุปโภค-บริโภคขนาดใหญ่ที่ส่งผ่านสินค้าไปยังตัวแทนผู้จำหน่ายในรูป
‘ร้านธงฟ้าประชารัฐ’ แทบทั้งสิ้น
ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ก็จะมาจากบริษัทใหญ่ไม่กี่ราย”
โครงการดังกล่าวจัดทำบัตรเครดิตให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อย ต่ำกว่า
๓ หมื่นบาทต่อปี วงเงินในบัตรสำหรับใช้ซื้อสินค้าจากร้าน ‘ธงฟ้า’
เดือนละ ๓๐๐ บาท ผู้มีรายได้สูงกว่า ๓ หมื่นถึง ๑ แสนบาท ได้เดือนละ
๒๐๐ บาท เป็นต้น
เมื่อปลายเดือนที่แล้ว กระทรวงพิชย์เปิดบริการ ‘ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐเคลื่อนที่’
๓๖๕ หน่วย โดยแต่ละหน่วยอาจมีรถสินค้ามากกว่า ๑ คัน
จะกระจายไปตามตำบลต่างๆ ทั่วประเทศ ๒ พันแห่ง แต่ละคันบรรจุสินค้ามากกว่า ๓๐๐
รายการ
ทว่าสินค้าเหล่านั้นมาจากผู้ผลิตอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคขนาดใหญ่ไม่กี่ราย
ได้แก่ สหพัฒนพิบูล, P&G, เบอร์ลี่ ยุคเกอร์, ยูนีลีเวอร์ไทย, ไทยฟู้ดแคนนิ่ง, ทวีชัย ฟู้ด, พูนสินทั่งง่วน ฮะ ฯลฯ เป็นต้น
ดังองค์กรพิทักษ์รัฐธรรมนูญระบุว่า
“ขณะที่สินค้าจากชาวบ้าน สินค้า SME จากกลุ่มผู้ผลิตในท้องถิ่นผู้ผลิตขนาดเล็กและขนาดย่อม
ที่ไม่มีไลน์ธุรกิจที่สามารถดีลซื้อขายกับร้านค้าที่กรมการค้าภายใน-กรมบัญชีกลางกำหนดได้
ก็จะไม่สามารถขายสินค้าของตนเองได้เลย
ดังนั้นเงินหลวงที่รัฐบาลอ้างว่าช่วยเหลือคนจนก็จะไหลเข้าบริษัทใหญ่หรือกลุ่มเจ้าสัวที่ยืนอยู่ข้างหลังรัฐบาลเท่านั้น”
มิหนำซ้ำการกระทำคุณประโยชน์สาธารณะแบบจิตอาสาของดารานักร้องที่โด่งดังคนหนึ่ง
กำลังเป็นที่ชื่นชมในทางสังคมล้นหลาม จนทำให้ประชาชนสำคัญผิดในข้อเท็จจริงว่า
การวิ่งทางไกลเพื่อขอบริจาคประชาชนคนละ ๑๐ บาท
สมทบเป็นกองทุนจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์แก่โรงพยาบาล นั้นเป็น ‘หน้าที่’ ของประชาชน ไม่ใช่ของรัฐบาล
คอมเม้นต์จากเพจ ‘อาณาจักรไบกอน Returns’ ว่าไว้ตรงต่อความจริงเผง “เห็นด้วยกับเจตนาดีพี่ตูน
(นายอาทิวราห์ คงมาลัย) นะที่คิดจะทำเพื่อประชาชนหาเงินซื้อเครื่องมือแพทย์ให้กับโรงพยาบาลต่างๆ
แต่แปลกใจไอ้งบประมาณเหล่านี้ตั้งมากมายตามทบวงกรมต่างๆ
บางหน่วยงานก็ใช้งบไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร ทำไม? ไม่ตัดงบพวกนี้สักคนละร้อยสองร้อยล้านว่ะ”
อีกราย Boeing @b969 เขียนไว้บนทวิตเตอร์ “เห็นเจตนารมย์พี่ตูนแล้วซึ้งใจ
แต่มันสะท้อนความล้มเหลวของการจัดสรรงบประมาณรัฐบาลที่ไม่เพียงพอด้านสาธารณสุข
แต่ไปเน้นด้านอาวุธยุทโธปกรณ์”
เหล่านี้มันย้อนไปถึงกรณีที่นักข่าวถามให้บิ๊กตู่ฉุน
เรื่องโดนโจมตีหลายด้าน ด้านหนึ่งคือไปอเมริกาทั้งทีซื้อของไม่จำเป็นติดมือมาเพียบ
หัวหน้า คสช. จับจ่ายใช้งบประมาณของรัฐซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่
“ให้ทันสมัย” ทั้งที่ผ่านมาอาวุธเหล่านี้ใช้สำหรับปราบปรามประชาชนเป็นหลัก
อย่างดีก็ไว้เสี้ยมสอนเยาวชนให้นิยมการใช้กำลัง ตั้งอวดกันในวันเด็กเท่านั้น