ในฐานะที่ ‘ไอค่อนสยาม’ เป็นธุรกิจค้ากำไรและขายบริการ จึงต้องรับได้ทั้งคำติและคำชม แม้จะมีเจ้าของเป็นราชวงศ์ใน ร.๑๐ ก็มิใช่ที่รโหฐาน หากแต่เป็นที่สาธารณะ ตราบเท่าที่เปิดให้คนทั่วไปเข้าไปเดินจับจ่าย หรือแค่ไปปลดปล่อยภาวะจำเป็น
จากเหตุการณ์ รปภ.ของห้างนายหนึ่งตบหน้าหญิงคนหนึ่งซึ่งกระชากป้ายชื่อไปจากสายคล้องคอของเขา เนื่องจาก รปช.แจ็คเก็ตเทานายนั้นได้ฉกชิงเอาป้ายโฟมขาวไปจากอุ้งแขนของเธอ หลังตบหน้าแล้ว รปช.คนนั้นยังแย่งโทรศัพท์จากมือของเธอไปกักกันไว้ด้วย
แน่นอนว่าข้อความ “ผูกขาดวัคซีน หาซีนให้เจ้า” บนแผ่นป้ายที่ รปภ.ดึงเอาไปเป็นคำประกาศทางการเมือง แต่ผู้หญิงคนหนึ่งถือป้ายแผ่นเดียวไปเดินที่นั่น ยากที่จะตีความว่าเป็น “การกระทำที่ไม่เคารพสิทธิของผู้อื่น” ดังประกาศห้ามของห้างได้
หากไอค่อนสยามจะสงวนสิทธิใดๆ ในความเป็นส่วนตัวของห้าง ก็ต้องไม่เปิดเป็นที่สาธารณะ ควรที่จะกั้นรั้วรอบขอบชิด และจัดเจ้าหน้าที่คอยตัวคัดกรองคนเข้า อาจกำหนดกฏระเบียบว่าผู้ที่จะผ่านเข้าได้ต้องแสดงให้เห็นอย่างหนึ่งอย่างใด ว่าจงรักภักดีล้นพ้น
ทางที่ดีจัดทำเป็นระบบสมาชิก ออกบัตรประจำตัวแก่ผู้ที่ผ่านการคัดกรองอย่างดีแล้ว ไว้แสดงให้ รปภ.เห็นจึงจะเดินผ่านเข้าไปได้ ไอค่อนสยามจะได้ไม่ต้องมาออกแถลงการณ์หรือติดป้าย ขอความร่วมมือ ให้กำกวมและลักลั่นจนมีแฮ้สแท็ก #แบนไอคอนสยาม เกิดขึ้นขณะนี้
ติแล้ว ตานี้ชม (แต่ไม่ใช่ตบหัวแล้วลูบหลัง หรือกดหัวแล้วตบหลัง ตามด้วยบีบคออย่าง ‘ลุงพล’ ทำกับนักข่าวหนุ่มน้อยของอมรินทร์ทีวี) ต่อการที่ผู้บริหารไอค่อนสยามแถลงเรื่อง รปภ.ตบหน้า ‘เบนจา’ ว่า “จะดำเนินการลงโทษด้านวินัยร้ายแรงกับพนักงานคนดังกล่าว”
ไม่ต้องถึงขนาดตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงให้เวิ่นเว้อ มากความ ผู้จัดการเรียก รปภ.นายนั้นไปว่ากล่าวแล้วลงโทษอย่างใดอย่างหนึ่ง จะตัดเงินเดือนหรือไล่ออกก็แล้วแต่ ถึงอย่างไร รปภ.คนนั้นได้ถูกแจ้งความไปแล้วฐานทำร้ายร่างกาย
ทางที่ควรไอค่อนสยามจะต้องเลิกจ้างบริษัท รปภ.ชุดนี้ เพื่อที่กระแส ‘แบน’ จะได้เบาบางลง หรือหากเป็นบริษัทที่เส้นใหญ่เอาการเลิกไม่ได้ ก็ใช้วิธีลงโทษโดยงดจ่ายค่าจ้างสักเดือนสองเดือนรอเรื่องเงียบก็ได้ ประกาศให้ชาวบ้านรู้จะได้ไม่เสียอารมณ์
ที่จริงเรื่อง เบนจา อะปัญ แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมถูก รปภ.ไอค่อนสยามตบหน้านี่อาจเป็น ‘น้ำหยดลงบนหิน’ แค่กร่อน หากแต่มันมีน้ำหยดมากว่า ๗๐ ปีเห็นจะได้ หยดมากหยดน้อยก็ไม่เคยเหือดหาย ท่ามกลางการเขียนประวัติศาสตร์บิดเบือนและปิดบัง
อาการแกะกร่อนมัน ‘สืบเนื่อง’ และ ‘ส่งไม้’ จากคนรุ่นก่อนสู่คนรุ่นหลัง ตั้งแต่รุ่น จิตร ภูมิศักดิ์ ผ่านรุ่น ๖ ตุลา และ ‘เสื้อแดง’ มาถึงรุ่นราษฎรปลดแอกเวลานี้ ประวัติศาสตร์กลับมาซ้ำรอย เมื่อมีการพิพากษาโทษข้อหา ๑๑๒ ให้จำคุกถึง ๔๓.๕ ปี
‘อัญชัญ’ สตรีผู้ถูกจับกุมในข้อหาว่าหมิ่นกษัตริย์เมื่อต้นปี ๒๕๕๘ จากการแชร์คลิป ‘บรรพต’ แล้วติดคุกอยู่เกือบสี่ปีกว่ากระทั่งได้ประกันตัวเมื่อปลายปี ๒๕๖๑ ถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก ๘๗ ปี จากโทษ ๒๙ กรรม ตามจำนวนครั้งที่แชร์คลิป
ซึ่งจัดเป็นโทษในข้อหาหมิ่นกษัตริย์ฯ ที่สูงสุด “เท่าที่ไอลอว์มีข้อมูล” หรือเท่าที่ประวัติศาสตร์ ‘เพิ่งสร้าง’ แห่งการจองจำประชากรผู้ไม่จงรักภักดี หักกลบลบเวลาที่ได้ติดคุกไปแล้ว กับลดหย่อนโทษกึ่งหนึ่งทำให้เหลือเวลาจะต้องถูกจองจำอีก ๒๙ ปี ๑๗๔ เดือน
ข้อมูลที่ไอลอว์รวบรวมไว้เกี่ยวกับโทษ ม.๑๑๒ ควรแก่การจดจำอย่างยิ่งว่าเป็นเรื่องวิปลาสที่สุด จนอาจเรียกว่า ‘อาชญากรรมผิวบาง-Thin skin crime’ ไม่มีที่ไหนในโลก ที่ ๕ อันดับโทษสูงสุดล้วนมาจากการเผยแพร่เอกสาร ภาพ และวิดีโอ อันทำให้กษัตริย์ขายหน้า
โทษอันดับสองคุก ๗๐ ปี ลดกึ่งหนึ่งเหลือจองจำ ๓๕ ปี อ้างว่าทำผิดสร้างชื่อปลอมบนเฟชบุ๊คและเผยแพร่ข้อมูล ‘ในลักษณะ’ หมิ่นกษัตริย์ อันเป็นเช่นคดีอื่นๆ ทำนองดียวกัน สาธารณะไม่สามารถประกอบความเห็นด้วยหลักกฎหมายและหลักจริยธรรมได้
ว่าโทษเหมาะสมกับความผิดหรือไม่ เนื่องจากเป็นคดี ต้องห้าม ไปเสียทุกอย่าง แม้กระทั่งจะเปิดเผยข้อเท็จจริงว่าการกระทำผิดเหล่านั้นเป็นเช่นไร คดีที่โดนโทษสูงอันดับสาม จำคุก ๖๐ ปี จำเลยยอมสารภาพให้ลดเวลาติดคุกเหลือ ๓๐ ปีก็เช่นกัน
อันดับสี่ผู้ต้องโทษเป็นแม่ลูกสองที่ “ใช้เฟชบุ๊คชื่อของบุคคลอื่นโพสต์ข้อความ” โดน ๕๖ ปี ลดกึ่งเช่นกัน กับอันดับ ๕ ชายวัย ๕๘ โดนข้อหาวิจารณ์คณะรัฐประหาร แล้วพาดพิงไปถึงกษัตริย์ด้วย ขนาดเบาะๆ แล้วยังเจอ ๕๐ ปี ติดจริง ๒๕ ปี
เหล่านี้เป็นอสุรกายทมึนอยู่เบื้องหลัง ‘ไอค่อนสยาม’ ความอลังการริมเจ้าพระยา ที่ waymagazine.org ชวนให้อ่านบทความสะท้อนสังคมที่ว่า “เมื่อความศิวิไลซ์คือการไล่คนจนออกจากเมือง” แล้วกลุ่ม #แบนไอคอนสยาม เอาภาพไปต่อยอด
ว่า “ใหญ่คับฟ้าแต่ราษฎรยังยากจน”
(https://waymagazine.org/civilized-city-poor-people/…, https://www.facebook.com/search/top?q=ilaw และ https://twitter.com/KhaosodOnline/status/1351400206122643456)