วันอังคาร, ธันวาคม 02, 2568

คน ‘สัญชาติ’ ไทย-มีแน่ แต่-คน ‘เชื้อชาติ’ ไทย-ไม่มี | สุจิตต์ วงษ์เทศ



30.11.2025
มติชนสุดสัปดาห์

คน “เชื้อชาติ” ไทย ถูกยกเป็นแกนของเนื้อหาหลักในประวัติศาสตร์ไทย ทำให้ประวัติศาสตร์ไทยมีเรื่องราวความเป็นมาของคนไทยกลุ่มเดียวบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา ด้วยการกีดกันคนชาติพันธุ์อื่นๆ ที่ “ไม่ไทย” ซึ่งมีจำนวนมากอยู่ตามลุ่มน้ำต่างๆ ทั่วประเทศไทย แต่ไม่มีที่ยืนในประวัติศาสตร์ไทย ดังนี้

(1.) คนไทย มีเชื้อชาติไทย สายเลือดบริสุทธิ์ ไม่ปลอมปนกับเชื้อชาติอื่น

(2.) ถิ่นกำเนิดของคนไทย “อัลไต-น่านเจ้า” ในจีน ต่อมาถูกจีนรุกราน ต้องอพยพยกโขยงถอนรากถอนโคนลงทางใต้ ไปตั้งถิ่นฐานในดินแดนไทยปัจจุบัน

(3.) สร้างกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทย โดยมีดินแดนตั้งแต่เหนือจรดใต้สุดแหลมสุวรรณภูมิ แล้วแผ่ความเป็นคนไทยเชื้อชาติไทยไปทั่วประเทศสืบเนื่องจนทุกวันนี้

ประวัติศาสตร์ไทยของคน “เชื้อชาติ” ไทย ที่ยกมานี้ เป็นที่รู้กันมานานมากแล้วในแวดวงวิชาการสากล ว่าถูกชนชั้นนำกำหนดให้แต่งขึ้นใหม่โดยไม่มีหลักฐานวิชาการสนับสนุน จึงมีลักษณะพิเศษ ดังนี้

(1.) วรรณกรรมแต่งใหม่จากจินตนาการอิงพงศาวดาร ปลุกระดมชาตินิยมทางการเมือง เพื่อผดุงอำนาจชนชั้นนำที่ต่อต้านประชาธิปไตย

(2.) ใช้งานการเมืองตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อเนื่องสงครามเย็น-สงครามเวียดนาม จนถึงสงครามข่าวสารทุกวันนี้

ประวัติศาสตร์ไทยแต่งใหม่สำนวนนี้รัฐบาลใช้งานมานานมาก โดยคนไทยถูกนิยามด้วยคำอธิบายสนองการเมืองชาตินิยมว่าคนไทยมี “เชื้อชาติไทย สายเลือดบริสุทธิ์” ส่งผลให้เรื่องอื่นๆ ในไทยผิดพลาดคลาดเคลื่อนด้วยการเหมารวมเป็นไทยแท้ หรือเป็นวัฒนธรรมไทยแท้ๆ ไม่เหมือนใครในโลก ซึ่งเท่ากับกระตุ้นสำนึก “คลั่งเชื้อชาติไทย” แล้วด้อยค่าคนอื่น กระทั่งหลายครั้งสร้างความรุนแรง

แต่แล้วปัจจุบัน ผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ว่า “เชื้อชาติ” ไม่มีในโลก จึงกระทบถึงประวัติศาสตร์ไทยสำนวนที่ยกมาดังกล่าว

“เชื้อชาติ” ไม่มีในโลก
และ “เชื้อชาติไทย” ก็ไม่มี

เชื้อชาติไม่มีในโลก เพราะ “ความเชื่อในเชื้อชาติ ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ใดๆ” นักวิทยาศาสตร์นานาชาติ (ศ.ดร. เจ. เครก เวนเทอร์ หัวหน้าโครงการวิจัยฯ) ใน “โครงการจีโนมมนุษย์” ร่วมกันประกาศเมื่อ พ.ศ.2543

นับแต่นั้น นานาชาติประกาศยกเลิกเชื้อชาติ (อาจมีตกค้างบางประเทศ เช่น ตกค้างในประวัติศาสตร์ไทย)

ไม่มีเชื้อชาติไทยสายเลือดบริสุทธิ์ เพราะคนในไทยมีแต่ลูกผสมหลายพันปีมาแล้วเป็นผลสรุปของนักโบราณคดี (มหาวิทยาลัยศิลปากร) และนักพันธุศาสตร์ (มหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก) ร่วมกันถอดรหัสสืบรากมนุษย์โบราณในไทย (จากตัวอย่างที่แม่ฮ่องสอน) พบว่าคนในไทย (ที่ปางมะผ้า) มีการผสมผสานทางชาติพันธุ์ อย่างน้อย 1,700 ปีมาแล้ว

หลักฐานวิทยาศาสตร์บอกชัดเจนตรงไปตรงมาอย่างนี้แล้ว ทางการไทยต้องยกเลิกเชื้อชาติไทย, ยกเลิกถิ่นกำเนิดคนไทยในเมืองจีน, และยกเลิกสุโขทัยราชธานีแห่งแรก (รวมทั้งต้องยกเลิกการเรียนการสอนแนวคิดถิ่นกำเนิดของคนไทยที่แบ่งเป็น 5 กลุ่ม) ต่อจากนั้นจัดการใหม่อย่างเคร่งครัด ให้ประวัติศาสตร์ไทยเป็นไปตามหลักฐานวิชาการ

โดยเฉพาะ “คนไทย” ต้องนิยามใหม่และมีคำอธิบายใหม่ ด้วยการยกเลิกกีดกันคน “ไม่ไทย” ว่าไทยเป็นลูกผสมของคน “ไม่ไทย” ที่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองหลายชาติพันธุ์ซึ่งเป็นพลังสำคัญการสร้างสรรค์สังคมไทย


ความเป็นคน มีก่อนความเป็นไทย ส่วนคนไทยมาจากชาวสยาม “ลูกผสม” ของชนเผ่าพื้นเมืองหลายชาติพันธุ์บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์หลายพันปี จากนั้นมีพัฒนาการเป็นทั้งคนไทยและคน “ไม่ไทย” [มีบอกอย่างละเอียดในหนังสือ ประวัติศาสตร์ไทยหลายชาติพันธุ์ โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ (สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2568 ราคา 320 บาท สั่งซื้อได้ที่ https://www.matichonbook.com)]

คนไทย

ต้องสร้างใหม่นิยามและคำอธิบายเรื่องคน “สัญชาติ” ไทยตามแนวทางสากล เพื่อความเป็นพลเมืองโลกอย่างองอาจ ด้วยการยอมรับความจริงที่พิสูจน์ได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์

ความเป็นคนมีก่อน ส่วนความเป็นไทยมีทีหลัง

คนเป็นคนเท่ากันโดยไม่จำกัดชนเผ่าชาติพันธุ์ มากกว่า 3,000 ปีมาแล้ว (ก่อน พ.ศ.1) และได้สืบความเป็นคนต่อกันหลายพันปี กระทั่งเรียกตนเองว่าคนไทย คือคนเป็นไทยโดยสัญชาติ (ไม่ใช่เชื้อชาติ) จากการผสมกลมกลืนทางเผ่าพันธุ์และวัฒนธรรมของชนเผ่าพื้นเมืองหลายชาติพันธุ์ หรือ “ร้อยพ่อพันแม่” ดังนี้

(1.) คนเรียกตนเองว่าไทยล้วนมาจากชาวสยาม ทั้งนี้ตามหลักฐานเก่าสุดบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาในรัฐอโยธยา (เมืองเก่าของอยุธยา) เรือน พ.ศ.1700

(2.) ชาวสยามมีความเป็นมา ดังนี้ (หนึ่ง) ชนเผ่าพื้นเมืองหลายชาติพันธุ์ผสมกลมกลืนทางเผ่าพันธุ์และวัฒนธรรม (สอง) ใช้ภาษาตระกูลไท-ไต เป็นภาษากลางในการสื่อสารระหว่างกลุ่มและทางการค้าดินแดนภายใน และ (สาม) ถูกเรียกจากคนอื่นว่าสยามหรือชาวสยามตามสำเนียงของแต่ละกลุ่ม ได้แก่ มอญ-เขมร เรียก เสียม, จีน เรียก เสียน ฯลฯ ส่วนชาวตะวันตกเรียกอยุธยาว่าราชอาณาจักรสยาม

(3.) ชาวสยามเรียกตนเองว่าไทย (ชื่อทางวัฒนธรรม ไม่ใช่ชื่อเชื้อชาติ) เมื่อหลังรับศาสนาพุทธแบบลังกา ใช้ภาษาบาลี โดยแปลงคำพื้นเมืองว่าไท (แปลว่า ชาว, คน) เป็นคำบาลีท้องถิ่นว่าเทยฺย (อ่านว่า เทย-ยะ) แล้วแผลงเป็นไทย

โดยสรุป ชนเผ่าพื้นเมืองหลายชาติพันธุ์ (นับไม่ถ้วน) เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย และมีส่วนสำคัญมากในการสร้างสรรค์สังคมไทยให้เจริญเติบโตก้าวหน้าสืบถึงทุกวันนี้

ไม่มีคนไทยตกค้างในจีน

“เชื้อชาติไทย” ยังเป็นแนวคิดมีอำนาจ จึงครอบงำระบบการศึกษาไทยให้เชื่อว่า คน “เชื้อชาติ” ไทยแท้มีถิ่นกำเนิดในจีน พบคน “เชื้อชาติ” ไทยแท้ตกค้างในจีน

แต่หลักฐานทางวิชาการรอบด้านยืนยันตรงกันว่าทางตอนใต้ของจีนสมัยโบราณไม่มี คนไทย (ตามความหมายเดียวกับคนไทยในประเทศไทย)

(1.) คนพูดภาษาตระกูลไท-กะได หรือไท-ไต มีไม่น้อยทางตอนใต้ของจีน แต่ไม่ใช่คนไทย (ตามความหมายเดียวกับคนไทยปัจจุบันในประเทศไทย) เพราะเขาเรียกตนเองตามชื่อชนเผ่าชาติพันธุ์ของตน (โดยไม่เรียก “คนไทย”) ได้แก่

ไตลื้อ-ชาวลื้อ (สิบสองพันนา), ไตอาหม-ชาวอัสสัม (ในอินเดีย), ไตมาว-ชาวลุ่มน้ำมาว (ในพม่า), ไทจ้วง-ชาวจ้วง (ในกวางสี), ไทเวียงจันท์-ชาวเวียงจันท์ (ในลาว), ไทบ้าน-ชาวบ้าน (ทั่วไป)

(2.) ไท หรือ ไต (ทางตอนใต้ของจีน) มี “วีรบุรุษ” หรือผู้นำของตนเอง ซึ่งไม่เกี่ยวกับ “วีรบุรุษ” ใประวัติศาสตร์ไทย

เขาจึงไม่รู้จักพ่อขุนรามคำแหง, พระเจ้าอู่ทอง, พระนเรศวร, พระเจ้าตาก ฯลฯ เนื่องจากไม่ใช่ “วีรบุรุษ” ของเขา เพราะเขา “ไม่ไทย” คือไม่ใช่คนไทยเหมือนประชาชนในประเทศไทย

(3.) ไท, ไต แปลเหมือนกันว่าคนหรือชาว ซึ่งไม่หมายถึงคนไทยอย่างเดียวกับคนในประเทศไทยทุกวันนี้

ทั้งนี้ มีเหตุจากฮั่นเรียกกลุ่ม “ไม่ฮั่น” ทางใต้ของจีน (บริเวณโซเมีย) ว่า ฮวน, หมาน, เยว่ หมายถึงเหี้ย, ป่าเถื่อน, ผีป่า ฯลฯ

ดังนั้น พวก “ไม่ฮั่น” ตอบโต้พวกฮั่นว่ากูเป็นไท-ไต หมายถึงกูเป็นคน ไม่ใช่เหี้ย ไม่ป่าเถื่อน ไม่ใช่ผี

[มีข้อมูลอีกมากในหนังสือ ความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ ของ จิตร ภูมิศักดิ์ พิมพ์ครั้งแรก โดยโครงการตำราฯ พ.ศ.2519]

(4.) ชาวสยามในอยุธยาเรียกตนเองว่าไทย แล้วเหมารวมชาวสยามถิ่นอื่นๆ เป็นไทยเหมือนพวกตน (อยู่ในจดหมายเหตุลาลูแบร์) จึงเรียกว่า “ไทยใหญ่” (ลุ่มน้ำสาละวิน ในพม่า) และ “ไทยน้อย” (ลุ่มน้ำโขง ในลาว) แต่คนเหล่านั้นไม่เรียกตนเองว่าไทยใหญ่-ไทยน้อย

https://www.matichon.co.th/weekly/column/article_870221