
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
14 hours ago
·
เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2568 ทนายความได้ยื่นฎีกาคำพิพากษาในคดีของ “ฟรานซิส” บุญเกื้อหนุน เป้าทอง บัณฑิตสาขาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศฯ จากมหาวิทยาลัยมหิดล วัย 26 ปี และ “ตัน” สุรนาถ แป้นประเสริฐ นักพัฒนาชุมชนวัย 40 ปี สองผู้ต้องขังในคดีตามมาตรา 110 กรณีถูกกล่าวหาว่าร่วมกันขัดขวางขบวนเสด็จพระราชินี ระหว่างเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 หลังจากทั้งคู่ถูกศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาจากศาลชั้นต้น ที่เคยยกฟ้องคดีทุกข้อกล่าวหา เป็นเห็นว่ามีความผิด ลงโทษจำคุกคนละ 16 ปี
.
นอกจากยื่นฎีกาแล้ว ยังมีการยื่นขอประกันตัวในระหว่างฎีกา หลังจากทั้งคู่ไม่ได้รับการประกันตัวมาตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย. 2568 โดยศาลอาญาได้ส่งคำร้องให้ศาลฎีกาวินิจฉัย ทำให้ยังต้องรอฟังคำสั่งประกันตัวจากศาลฎีกาต่อไป
.
ขณะเดียวกัน ทั้งสองคนยังได้เขียนจดหมายจากเรือนจำกลางคลองเปรมเพื่อสื่อสารถึงคดีของพวกเขา โดยบุญเกื้อหนุนเขียนจดหมายถึงศาลฎีกา โดยยืนยันว่าตนเองไม่ได้กระทำการตามที่ถูกกล่าวหา และศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษา พร้อมเรียกร้องสิทธิประกันตัวในชั้นฎีกา ขณะที่สุรนาถบอกเล่าถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการถูกคุมขัง ทั้งต่อครอบครัว การงาน และเพื่อนร่วมงานพัฒนาชุมชนที่เกี่ยวข้องด้วย
.
.
"ศาลฎีกาและท่านสาธารณชนผู้เจริญทั้งหลาย การประกันตัวนั้นเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานและจนกว่าจะพิสูจน์จนเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเป็นเช่นไรนั้น กระผมยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่เช่นเคย และถึงกระนั้น ผมต้องได้รับการประกันตัวตามความประสงค์นี้ เพื่อต่อสู้ให้จนถึงที่สุด"
.
"ส่วนเรื่องงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาจากการสั่งสมมา 15 ปี กำลังพบหนทางแห่งความหวังที่จะใช้ปฏิบัติการจริงสู่คน สู่ชุมชน สู่เมือง มีผู้คนมากมายกำลังจะทำให้ชุมชนเข้มแข็งด้วยมือของชุมชนเอง มีคนรุ่นใหม่ที่มีคนมีไฟพร้อมลงแรงและลงใจไปพร้อมกัน แต่ด้วยเราเป็นส่วนหนึ่งในการนำและริเริ่มกลับต้องถูกกักขังขาดอิสระอย่างฉับพลัน ทำให้เกิดความสั่นคลอนในหมู่พี่น้องเพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมทางทั้งองค์กรภาครัฐและเอกชน คาดว่าผู้คนไม่น้อยกว่า 2,000 คน ได้รับผลกระทบไม่ทางตรงก็ทางอ้อมอย่างแน่นอน"
.
อ่านเนื้อหาทั้งหมดบนเว็บไซต์ https://tlhr2014.com/archives/80886
https://www.facebook.com/lawyercenter2014/posts/1276387857665015
https://www.facebook.com/may.poonsukcharoen/posts/10163601582862943·
เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2568 ทนายความได้ยื่นฎีกาคำพิพากษาในคดีของ “ฟรานซิส” บุญเกื้อหนุน เป้าทอง บัณฑิตสาขาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศฯ จากมหาวิทยาลัยมหิดล วัย 26 ปี และ “ตัน” สุรนาถ แป้นประเสริฐ นักพัฒนาชุมชนวัย 40 ปี สองผู้ต้องขังในคดีตามมาตรา 110 กรณีถูกกล่าวหาว่าร่วมกันขัดขวางขบวนเสด็จพระราชินี ระหว่างเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 หลังจากทั้งคู่ถูกศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาจากศาลชั้นต้น ที่เคยยกฟ้องคดีทุกข้อกล่าวหา เป็นเห็นว่ามีความผิด ลงโทษจำคุกคนละ 16 ปี
.
นอกจากยื่นฎีกาแล้ว ยังมีการยื่นขอประกันตัวในระหว่างฎีกา หลังจากทั้งคู่ไม่ได้รับการประกันตัวมาตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย. 2568 โดยศาลอาญาได้ส่งคำร้องให้ศาลฎีกาวินิจฉัย ทำให้ยังต้องรอฟังคำสั่งประกันตัวจากศาลฎีกาต่อไป
.
ขณะเดียวกัน ทั้งสองคนยังได้เขียนจดหมายจากเรือนจำกลางคลองเปรมเพื่อสื่อสารถึงคดีของพวกเขา โดยบุญเกื้อหนุนเขียนจดหมายถึงศาลฎีกา โดยยืนยันว่าตนเองไม่ได้กระทำการตามที่ถูกกล่าวหา และศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษา พร้อมเรียกร้องสิทธิประกันตัวในชั้นฎีกา ขณะที่สุรนาถบอกเล่าถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการถูกคุมขัง ทั้งต่อครอบครัว การงาน และเพื่อนร่วมงานพัฒนาชุมชนที่เกี่ยวข้องด้วย
.
.
"ศาลฎีกาและท่านสาธารณชนผู้เจริญทั้งหลาย การประกันตัวนั้นเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานและจนกว่าจะพิสูจน์จนเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเป็นเช่นไรนั้น กระผมยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่เช่นเคย และถึงกระนั้น ผมต้องได้รับการประกันตัวตามความประสงค์นี้ เพื่อต่อสู้ให้จนถึงที่สุด".
"ส่วนเรื่องงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาจากการสั่งสมมา 15 ปี กำลังพบหนทางแห่งความหวังที่จะใช้ปฏิบัติการจริงสู่คน สู่ชุมชน สู่เมือง มีผู้คนมากมายกำลังจะทำให้ชุมชนเข้มแข็งด้วยมือของชุมชนเอง มีคนรุ่นใหม่ที่มีคนมีไฟพร้อมลงแรงและลงใจไปพร้อมกัน แต่ด้วยเราเป็นส่วนหนึ่งในการนำและริเริ่มกลับต้องถูกกักขังขาดอิสระอย่างฉับพลัน ทำให้เกิดความสั่นคลอนในหมู่พี่น้องเพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมทางทั้งองค์กรภาครัฐและเอกชน คาดว่าผู้คนไม่น้อยกว่า 2,000 คน ได้รับผลกระทบไม่ทางตรงก็ทางอ้อมอย่างแน่นอน".
อ่านเนื้อหาทั้งหมดบนเว็บไซต์ https://tlhr2014.com/archives/80886https://www.facebook.com/lawyercenter2014/posts/1276387857665015
May Poonsukcharoen
Yesterday
·
#จดหมายของตันสุรนาถและฟรานซิสบุญเกื้อหนุนจำเลยคดีขบวนเสด็จมาตรา110ก่อนยื่นประกันอีกครั้งต่อศาลฎีกา
.....
“เราอยู่ข้างนอกเชื่อว่าจะทำประโยชน์ได้มากมายกว่าอยู่ไปวันๆแบบนี้อย่างแน่นอน และยังคงเชื่อว่าขั้นตอนการพิจารณาต่างๆจะเป็นไปตามความถูกต้องที่สุด ไม่มีเลือกข้างไม่มีกลั่นแกล้งได้ใช้สิทธิตามกฎหมายทุกประการ”
ตันสุรนาถ
.....
เขียนเช้าวันจันทร์ที่ 15 ธ.ค. 3 เดือน 10 วันที่อยู่ในโลกคับแคบ 8 ชั่วโมง ในแดน 16 ชั่วโมง บนตึกนอนร่างกายอ่อนล้า อ่อนแรง สมองไม่ปลอดโปร่ง เต็มไปด้วยความวิตกกังวลทุกช่วงเวลา อยากให้มีแต่วันอังคารและวันพฤหัสบดี จะได้เจอหน้าเมียและแม่ที่รัก ได้เจอหน้าพี่น้อง เพื่อนร่วมงานที่ต้องมีความรับผิดชอบร่วมกัน ในหน้าที่การงานที่ก่อเกิดไว้และไม่ควรขาดใครไปในการทำหน้าที่ของตัวเอง ในฐานะสามีที่ต้องทำหน้าที่ดูแลครอบครัวที่กำลังแบกภาระสร้างอนาคตที่หวังว่าจะมั่นคงพอ ต้องอาศัยคู่คิดคู่ทำไปพร้อมๆกันกลับต้องหยุดชะงักอีกคนต้องเคว้งคว้างแทบจนมุมหมดกำลังจะใช้ชีวิตต่อ อีกคนต้องทนทุกข์กายและใจที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่ารอเจอหน้าและปลอบใจกันด้วยใบหน้าที่มีน้ำตามากกว่ารอบยิ้ม
ส่วนเรื่องงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาจากการสั่งสมมา 15 ปี กำลังพบหนทางแห่งความหวังที่จะใช้ปฏิบัติการจริงสู่คนสู่ชุมนุมสู่เมืองมีผู้คนมากมายกำลังจะทำให้ชุมชนเข้มแข็งด้วยมือของชุมชนเอง มีคนรุ่นใหม่ที่มีคนมีไฟพร้อมลงแรงและลงใจไปพร้อมกัน แต่ด้วยเราเป็นส่วนหนึ่งในการนำและริเริ่มกลับต้องถูกกักขังขาดอิสระอย่างฉับพลัน ทำให้เกิดความสันคลอนในหมู่พี่น้องเพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมทางทั้งองค์กรภาครัฐและเอกชน คาดว่าผุ้คนไม่น้อยกว่า 2000 คน ได้รับผลกระทบไม่ทางตรงก็ทางอ้อมอย่างแน่นอน ในฐานะลูกที่กำลังจะได้โอกาสทดแทน สิ่งที่ลูกควรจะทำก็ได้เพียงครึ่งๆกลางๆกลับสร้างความเศร้าให้ผู้เป็นแม่อีกครั้ง การกักขังจองจำทั้งที่กระบวนการยังไม่สิ้นสุดไม่เป็นผลดีกับใครเลย
.
ไม่ใช่เรื่องการปรับตัวทำใจยอมรับทั้งคนข้างในหรือข้างนอก ไม่ใช่เรื่องเวรหรือกรรมแต่อย่างใด แต่มันคือความรับผิดชอบอย่างถูกต้องต่อบทบาทหน้าที่ตัวเองที่ควรกระทำ ระหว่างนี้อยู่ในช่วงที่ทีมทนายความ พี่น้องเพื่อนฝูงและครอบครัวกำลังจะยื่นฎีกาและประกันตัวไปพร้อมกันก็ยิ่งทำให้ความหวังความฝันที่มีอยู่บ้าง กลับมีแรงพลังอีกครั้งด้วยตามสิทธิที่ควรได้รับเหมือนกันไม่ว่าใครๆจินตนาการ กลับปลุกพลังให้ใช้ชีวิตในที่คับแคบอย่างมีความหมายอีกครั้งพร้อมพิสูจน์ความจริงในชั้นสุดท้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปจากนี้อย่างแน่นอน เราอยู่ข้างนอกเชื่อว่าจะทำประโยชน์ได้มากมายกว่าอยู่ไปวันๆแบบนี้อย่างแน่นอน และยังคงเชื่อว่าขั้นตอนการพิจารณาต่างๆจะเป็นไปตามความถูกต้องที่สุด ไม่มีเลือกข้างไม่มีกลั่นแกล้งได้ใช้สิทธิตามกฎหมายทุกประการ ผมขอขอบคุณทุกคนจากใจจริง หวังว่าจะได้พบกันเร็วนี้
ตัน
สุรนาถ แป้นประเสริฐ
.......
“ผมเคยได้กล่าวไว้แล้วในบันทึกเรือนจำของศูนย์ทนายสิทธิมนุษยชนว่า “เมื่อใดที่มนุษย์เราไร้ซึ่งเสรีภาพ มนุษย์นั้นก็มีอาจเป็นมนุษย์ได้อีก” และไม่ว่าจะมีผลออกมาเป็นเช่นใด ท่านขังได้แต่ตัวแต่หัวใจของผมจะเป็นเสรีสืบไป”
ฟรานซิส บุญเกื้อหนุน
.......
(13 ธ.ค. 68) เรียนศาลฎีกาที่เคารพ และประชาชนทั่วไปที่กำลังอ่านจดหมายฉบับนี้อยู่นั้น ณ วันที่ผมได้เขียนจดหมายเปิดฉบับเรื่องนี้ ผมได้ถูกจองจำมาแล้วกว่า 100 วัน ในสถาบันที่มีชื่อว่า “คลองเปรม” ณ เวลานี้ ผมไม่อาจปฏิเสธได้แล้วว่าผมเป็นผู้ต้องขัง และจะไม่มีวันลืม น้ำตาที่หลังมาจากแม่ คู่หมั้น และคนที่ผมรักและศรัทธา ศาลอุทธรณ์ส่งผมมาที่แห่งนี้ คาดหวังว่าผมจะต้องได้รับโทษตามที่ผมได้ถูกกล่าวหาไว้ แต่ถ้าหากดานเต้(Dante) ได้สอนอะไรไว้นั้น “โชคชะตาชั่งน้ำหนักวิบากกรรมของผู้ใจบุญ กับความสถุนของผู้ใจทรามด้วยตาชั่งที่ต่างกันเสมอ” และด้วยชื่อของผมคือ “บุญเกื้อหนุน” ผมชื่อว่าวิบากกรมในครั้งนี้จะถูกชั่งน้ำหนักด้วยตราชั่งที่เที่ยงธรรม และเสมอภาคโดยไม่มีเงื่อนไขและช่างเป็นคำสอนที่เหมาะเสียเหลือเกินที่ดานเต้- ผู้ท่องโลกนรกในบทประพันธ์ของเขานั้น-ที่ทำให้ผมยังคงยืนหยัดในความบริสุทธิ์ในการกระทำ และในความตั้งมั่นใจจิตศรัทธา มิใช่ในตัวบุคคลและกลุ่มบุคคล แต่กับสิ่งที่มนุษย์สร้างและประพันธ์ขึ้นมาเพื่อแยกมนุษยชาติออกจากบรรดาสัตว์เดรัจฉาน “กฎหมาย” เพราะนั่นคือตราชั่งเดียวที่ผมเชื่อมั่น และเป็นเหตุผลว่าผมจะได้รับชัยชนะในคดีประทุษร้ายต่อเสรีภาพของสมเด็จพระราชินี และเป็นการปิดประตูของผมในฐานะผู้ต่อสู้เรียกร้องความยุติธรรมที่ผมเริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 อย่างเป็นประจักษ์และปฏิเสธไม่ได้อีกเลย
.
ศาลฎีกาที่เคารพ ผมคงไม่จำเป็นต้องบอกท่านทั้งหลายว่าการตัดสินคดีการเมืองที่ผ่านมานั้นเป้นเรื่องที่"อปกติ"เป็นอย่างมาก แต่ ณ เบื้องหน้าของท่าน นี้คือบททดสอบของท่านที่หนักที่สุดนับตั้งแต่การจัดตั้งศาลในสมัยรัชกาลที่ห้าและตลอดมาจวบจนปัจจุบันนี้คดีที่กำลังจะยื่นให้ท่านพิจารณา จักเป็นบรรทัดฐานที่จะมีการจารึกไว้นับจากครั้งนี้ไปจนนิรันดร์ทั้งผมรวมถึงคู่คดีอื่นๆและท่านย่อมรู้เป็นอย่างดีว่าการตัดสินใจอย่างเที่ยงธรรมและชอบธรรมนั้นสำคัญไฉนทั้งผมและท่านต่างรู้ดีว่า การก้าวพลาดเพียงเล็กน้อยอาจทำให้มีผลลัพธ์ที่ส่งผลไปไกลทั่วหล้าทั้งผมและท่านต่างรู้สิ่งเหล่านี้เป็นอย่างดี
.
แต่ศาลที่เคารพเราในฐานะมนุษย์ล้วนต้องยอมรับความเสี่ยงที่จะตามมาในภายหลังผมเข้าใจถึงความเสี่ยงของผมแล้ว และผมได้แต่หวังว่าท่านทั้งหลายจะมีสติและปัญญาที่เฉียบแหลมมากพอที่จะยอมรับมันมิใช่เพียงแต่เพื่ออนาคตของกฎหมายไทยแต่เพื่ออนาคตของความยุติธรรมของมวลมนุษยชาติด้วย
.
หลักกฎหมายที่ผมและทนายกำลังเรียนต่อท่านนั้นเป็นเรื่องที่ดูซับซ้อนในระดับผิวเผิน แต่เรื่องที่ง่ายและสามารถเข้าใจได้ง่ายต่อสาธารณชนทั่วๆไปและเป็นหลักกฎหมายเดียวที่การันตีชัยชนะและหลักประกันในการคืนอิสระภาพให้ผม
.
ศาลฎีกาที่เคารพผมเชื่อและผมคิดว่าท่านเองก็เชื่อว่าหน้าที่และความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ว่าจะในเครื่องแบบไหนก็ตามต่างมีหน้าที่ในการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ และหนึ่งในอำนาจหน้าที่สำคัญกับตำรวจก็คือการจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายเพื่อธำรงหน้าที่นั้นไว้ผมเชื่อว่าทุกคนต่างเห็นพ้องกันในประเด็นสำคัญนี้
.
แต่ท่านทั้งหลายถ้าหากสิ่งที่ผมถูกกล่าวหานั้นเป็นจริงกล่าวคือ มีการเข้าไปที่ขบวนเสด็จของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี เพื่อเป็นการประทุษร้ายหากมีการกระทำเหล่านั้นจริงเป็นเหตุใดเล่าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ณ เวลานั้นเลือกที่จะนิ่งเฉยต่อการกระทำเช่นนี้และนำมาสู่การจับกุมและมอบตัวของจำเลยทั้งห้าคนในเวลาให้หลังและด้วยเหตุใดที่เจ้าพนักงานสืบสวนสอบสวนของสถานีตำรวจนครบาลดุสิตถึงเลือกใช้พยานแวดล้อมอันเป็นไปตามป.วิอาญากล่าวว่าพยานแวดล้อมคือพยาน ‘บอกเล่า’ ถึงได้นำบุคคลอย่าง ศรายุทธสังวาลย์ทอง มากล่าวอ้างในชั้นสอบสวนแทนที่จะใช้ตำรวจในท้องที่ซึ่งเป็นประจักษ์พยานที่สำคัญกว่าเพื่อนำมาสู่บรรดาหมายจับและหมายเรียกตามมาที่หลังนี้
.
ท่านผู้เจริญทั้งหลายและศาลฎีกาที่เคารพ ถ้าหากท่านยังคงมั่นในความที่ว่าผมเป็นผู้กระทำตามกล่าวอ้างจริงและเล็งเห็นว่าสิ่งที่กระผมกล่าวมานั้นเป็นการ ‘นั่งเทียน’ ขึ้นมานั้น ผมกล้าพูดได้อย่างเสรีเลยว่าทุกท่านคิดผิด
ศาลฎีกาที่เคารพ กระผมเป็นผู้เบาปัญญาทางกฎหมายและมิอาจก้าวล่วงต่อท่านในหน้าที่และการงานของทุกท่านได้ แต่ท่านต้องยอมรับว่าตามป.วิอาญามาตรา 80 นั้น ได้ระบุอย่างชัดเจนแล้วว่าความผิดซึ่งหน้าได้แก่ ‘ความผิดซึ่งเห็นกำลังกระทำหรือพบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าเขาได้กระทำผิดมาแล้ว’ และไม่แปลกอันใดเลยถ้าหากตามตรรกะการละเว้นต่อหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ณ ขณะนั้นเป็นไปตามความผิดตามมาตรา 157 ของป.อาญา
.
ท่านผู้เจริญที่เคารพทั้งหลาย ถ้าหากกระผมผิดจริง เจ้าหน้าที่ทุกท่านเป็นอันต้องผิดตามไปด้วยง่ายเท่านั้นแหละ
.
เพราะประการฉะนี้แล กระผมไม่มีความประสงค์ที่จะหลบหนีไปต่างประเทศตามความกังวลของศาลฎีกาเลยแม้แต่น้อย เพราะในท้ายที่สุดแล้วนั้นผู้ชนะจะหลบหนีไปทำไมกัน ?
.
ศาลฎีกาและท่านสาธารณะชนผู้เจริญทั้งหลายการประกันตัวนั้นเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานและจนกว่าจะพิสูจน์จนเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเป็นเช่นไรนั้น กระผมยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่เช่นเคย และถึงกระนั้นผมต้องได้รับการประกันตัวตามความประสงค์นี้เพื่อต่อสู้ให้จนถึงที่สุด
.
สุดท้ายนี้ผมเคยได้กล่าวไว้แล้วในบันทึกเรือนจำของศูนย์ทนายสิทธิมนุษยชนว่า “เมื่อใดที่มนุษย์เราไร้ซึ่งเสรีภาพ มนุษย์นั้นก็มีอาจเป็นมนุษย์ได้อีก” และไม่ว่าจะมีผลออกมาเป็นเช่นใด ท่านขังได้แต่ตัวแต่หัวใจของผมจะเป็นเสรีสืบไป
.
AUT INVENIAM VIAM AUT FACIVM
“I shall find a way…
…or make one.”
บุญเกื้อหนุน ฟรานซิส เป้าทอง
13 ธ.ค.68
...................
คดีขบวนเสด็จมาตรา 110 สุรนาถและฟรานซิสยื่นฎีกาและขอประกันอีกครังเมื่อวันที่ 2ุ6 ธ.ค. อยู่ระหว่ารอฟังคำสังประกันจากศาลฎีกา
·
#จดหมายของตันสุรนาถและฟรานซิสบุญเกื้อหนุนจำเลยคดีขบวนเสด็จมาตรา110ก่อนยื่นประกันอีกครั้งต่อศาลฎีกา
.....
“เราอยู่ข้างนอกเชื่อว่าจะทำประโยชน์ได้มากมายกว่าอยู่ไปวันๆแบบนี้อย่างแน่นอน และยังคงเชื่อว่าขั้นตอนการพิจารณาต่างๆจะเป็นไปตามความถูกต้องที่สุด ไม่มีเลือกข้างไม่มีกลั่นแกล้งได้ใช้สิทธิตามกฎหมายทุกประการ”
ตันสุรนาถ
.....
เขียนเช้าวันจันทร์ที่ 15 ธ.ค. 3 เดือน 10 วันที่อยู่ในโลกคับแคบ 8 ชั่วโมง ในแดน 16 ชั่วโมง บนตึกนอนร่างกายอ่อนล้า อ่อนแรง สมองไม่ปลอดโปร่ง เต็มไปด้วยความวิตกกังวลทุกช่วงเวลา อยากให้มีแต่วันอังคารและวันพฤหัสบดี จะได้เจอหน้าเมียและแม่ที่รัก ได้เจอหน้าพี่น้อง เพื่อนร่วมงานที่ต้องมีความรับผิดชอบร่วมกัน ในหน้าที่การงานที่ก่อเกิดไว้และไม่ควรขาดใครไปในการทำหน้าที่ของตัวเอง ในฐานะสามีที่ต้องทำหน้าที่ดูแลครอบครัวที่กำลังแบกภาระสร้างอนาคตที่หวังว่าจะมั่นคงพอ ต้องอาศัยคู่คิดคู่ทำไปพร้อมๆกันกลับต้องหยุดชะงักอีกคนต้องเคว้งคว้างแทบจนมุมหมดกำลังจะใช้ชีวิตต่อ อีกคนต้องทนทุกข์กายและใจที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่ารอเจอหน้าและปลอบใจกันด้วยใบหน้าที่มีน้ำตามากกว่ารอบยิ้ม
ส่วนเรื่องงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาจากการสั่งสมมา 15 ปี กำลังพบหนทางแห่งความหวังที่จะใช้ปฏิบัติการจริงสู่คนสู่ชุมนุมสู่เมืองมีผู้คนมากมายกำลังจะทำให้ชุมชนเข้มแข็งด้วยมือของชุมชนเอง มีคนรุ่นใหม่ที่มีคนมีไฟพร้อมลงแรงและลงใจไปพร้อมกัน แต่ด้วยเราเป็นส่วนหนึ่งในการนำและริเริ่มกลับต้องถูกกักขังขาดอิสระอย่างฉับพลัน ทำให้เกิดความสันคลอนในหมู่พี่น้องเพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมทางทั้งองค์กรภาครัฐและเอกชน คาดว่าผุ้คนไม่น้อยกว่า 2000 คน ได้รับผลกระทบไม่ทางตรงก็ทางอ้อมอย่างแน่นอน ในฐานะลูกที่กำลังจะได้โอกาสทดแทน สิ่งที่ลูกควรจะทำก็ได้เพียงครึ่งๆกลางๆกลับสร้างความเศร้าให้ผู้เป็นแม่อีกครั้ง การกักขังจองจำทั้งที่กระบวนการยังไม่สิ้นสุดไม่เป็นผลดีกับใครเลย
.
ไม่ใช่เรื่องการปรับตัวทำใจยอมรับทั้งคนข้างในหรือข้างนอก ไม่ใช่เรื่องเวรหรือกรรมแต่อย่างใด แต่มันคือความรับผิดชอบอย่างถูกต้องต่อบทบาทหน้าที่ตัวเองที่ควรกระทำ ระหว่างนี้อยู่ในช่วงที่ทีมทนายความ พี่น้องเพื่อนฝูงและครอบครัวกำลังจะยื่นฎีกาและประกันตัวไปพร้อมกันก็ยิ่งทำให้ความหวังความฝันที่มีอยู่บ้าง กลับมีแรงพลังอีกครั้งด้วยตามสิทธิที่ควรได้รับเหมือนกันไม่ว่าใครๆจินตนาการ กลับปลุกพลังให้ใช้ชีวิตในที่คับแคบอย่างมีความหมายอีกครั้งพร้อมพิสูจน์ความจริงในชั้นสุดท้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปจากนี้อย่างแน่นอน เราอยู่ข้างนอกเชื่อว่าจะทำประโยชน์ได้มากมายกว่าอยู่ไปวันๆแบบนี้อย่างแน่นอน และยังคงเชื่อว่าขั้นตอนการพิจารณาต่างๆจะเป็นไปตามความถูกต้องที่สุด ไม่มีเลือกข้างไม่มีกลั่นแกล้งได้ใช้สิทธิตามกฎหมายทุกประการ ผมขอขอบคุณทุกคนจากใจจริง หวังว่าจะได้พบกันเร็วนี้
ตัน
สุรนาถ แป้นประเสริฐ
.......
“ผมเคยได้กล่าวไว้แล้วในบันทึกเรือนจำของศูนย์ทนายสิทธิมนุษยชนว่า “เมื่อใดที่มนุษย์เราไร้ซึ่งเสรีภาพ มนุษย์นั้นก็มีอาจเป็นมนุษย์ได้อีก” และไม่ว่าจะมีผลออกมาเป็นเช่นใด ท่านขังได้แต่ตัวแต่หัวใจของผมจะเป็นเสรีสืบไป”
ฟรานซิส บุญเกื้อหนุน
.......
(13 ธ.ค. 68) เรียนศาลฎีกาที่เคารพ และประชาชนทั่วไปที่กำลังอ่านจดหมายฉบับนี้อยู่นั้น ณ วันที่ผมได้เขียนจดหมายเปิดฉบับเรื่องนี้ ผมได้ถูกจองจำมาแล้วกว่า 100 วัน ในสถาบันที่มีชื่อว่า “คลองเปรม” ณ เวลานี้ ผมไม่อาจปฏิเสธได้แล้วว่าผมเป็นผู้ต้องขัง และจะไม่มีวันลืม น้ำตาที่หลังมาจากแม่ คู่หมั้น และคนที่ผมรักและศรัทธา ศาลอุทธรณ์ส่งผมมาที่แห่งนี้ คาดหวังว่าผมจะต้องได้รับโทษตามที่ผมได้ถูกกล่าวหาไว้ แต่ถ้าหากดานเต้(Dante) ได้สอนอะไรไว้นั้น “โชคชะตาชั่งน้ำหนักวิบากกรรมของผู้ใจบุญ กับความสถุนของผู้ใจทรามด้วยตาชั่งที่ต่างกันเสมอ” และด้วยชื่อของผมคือ “บุญเกื้อหนุน” ผมชื่อว่าวิบากกรมในครั้งนี้จะถูกชั่งน้ำหนักด้วยตราชั่งที่เที่ยงธรรม และเสมอภาคโดยไม่มีเงื่อนไขและช่างเป็นคำสอนที่เหมาะเสียเหลือเกินที่ดานเต้- ผู้ท่องโลกนรกในบทประพันธ์ของเขานั้น-ที่ทำให้ผมยังคงยืนหยัดในความบริสุทธิ์ในการกระทำ และในความตั้งมั่นใจจิตศรัทธา มิใช่ในตัวบุคคลและกลุ่มบุคคล แต่กับสิ่งที่มนุษย์สร้างและประพันธ์ขึ้นมาเพื่อแยกมนุษยชาติออกจากบรรดาสัตว์เดรัจฉาน “กฎหมาย” เพราะนั่นคือตราชั่งเดียวที่ผมเชื่อมั่น และเป็นเหตุผลว่าผมจะได้รับชัยชนะในคดีประทุษร้ายต่อเสรีภาพของสมเด็จพระราชินี และเป็นการปิดประตูของผมในฐานะผู้ต่อสู้เรียกร้องความยุติธรรมที่ผมเริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 อย่างเป็นประจักษ์และปฏิเสธไม่ได้อีกเลย
.
ศาลฎีกาที่เคารพ ผมคงไม่จำเป็นต้องบอกท่านทั้งหลายว่าการตัดสินคดีการเมืองที่ผ่านมานั้นเป้นเรื่องที่"อปกติ"เป็นอย่างมาก แต่ ณ เบื้องหน้าของท่าน นี้คือบททดสอบของท่านที่หนักที่สุดนับตั้งแต่การจัดตั้งศาลในสมัยรัชกาลที่ห้าและตลอดมาจวบจนปัจจุบันนี้คดีที่กำลังจะยื่นให้ท่านพิจารณา จักเป็นบรรทัดฐานที่จะมีการจารึกไว้นับจากครั้งนี้ไปจนนิรันดร์ทั้งผมรวมถึงคู่คดีอื่นๆและท่านย่อมรู้เป็นอย่างดีว่าการตัดสินใจอย่างเที่ยงธรรมและชอบธรรมนั้นสำคัญไฉนทั้งผมและท่านต่างรู้ดีว่า การก้าวพลาดเพียงเล็กน้อยอาจทำให้มีผลลัพธ์ที่ส่งผลไปไกลทั่วหล้าทั้งผมและท่านต่างรู้สิ่งเหล่านี้เป็นอย่างดี
.
แต่ศาลที่เคารพเราในฐานะมนุษย์ล้วนต้องยอมรับความเสี่ยงที่จะตามมาในภายหลังผมเข้าใจถึงความเสี่ยงของผมแล้ว และผมได้แต่หวังว่าท่านทั้งหลายจะมีสติและปัญญาที่เฉียบแหลมมากพอที่จะยอมรับมันมิใช่เพียงแต่เพื่ออนาคตของกฎหมายไทยแต่เพื่ออนาคตของความยุติธรรมของมวลมนุษยชาติด้วย
.
หลักกฎหมายที่ผมและทนายกำลังเรียนต่อท่านนั้นเป็นเรื่องที่ดูซับซ้อนในระดับผิวเผิน แต่เรื่องที่ง่ายและสามารถเข้าใจได้ง่ายต่อสาธารณชนทั่วๆไปและเป็นหลักกฎหมายเดียวที่การันตีชัยชนะและหลักประกันในการคืนอิสระภาพให้ผม
.
ศาลฎีกาที่เคารพผมเชื่อและผมคิดว่าท่านเองก็เชื่อว่าหน้าที่และความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ว่าจะในเครื่องแบบไหนก็ตามต่างมีหน้าที่ในการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ และหนึ่งในอำนาจหน้าที่สำคัญกับตำรวจก็คือการจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายเพื่อธำรงหน้าที่นั้นไว้ผมเชื่อว่าทุกคนต่างเห็นพ้องกันในประเด็นสำคัญนี้
.
แต่ท่านทั้งหลายถ้าหากสิ่งที่ผมถูกกล่าวหานั้นเป็นจริงกล่าวคือ มีการเข้าไปที่ขบวนเสด็จของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี เพื่อเป็นการประทุษร้ายหากมีการกระทำเหล่านั้นจริงเป็นเหตุใดเล่าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ณ เวลานั้นเลือกที่จะนิ่งเฉยต่อการกระทำเช่นนี้และนำมาสู่การจับกุมและมอบตัวของจำเลยทั้งห้าคนในเวลาให้หลังและด้วยเหตุใดที่เจ้าพนักงานสืบสวนสอบสวนของสถานีตำรวจนครบาลดุสิตถึงเลือกใช้พยานแวดล้อมอันเป็นไปตามป.วิอาญากล่าวว่าพยานแวดล้อมคือพยาน ‘บอกเล่า’ ถึงได้นำบุคคลอย่าง ศรายุทธสังวาลย์ทอง มากล่าวอ้างในชั้นสอบสวนแทนที่จะใช้ตำรวจในท้องที่ซึ่งเป็นประจักษ์พยานที่สำคัญกว่าเพื่อนำมาสู่บรรดาหมายจับและหมายเรียกตามมาที่หลังนี้
.
ท่านผู้เจริญทั้งหลายและศาลฎีกาที่เคารพ ถ้าหากท่านยังคงมั่นในความที่ว่าผมเป็นผู้กระทำตามกล่าวอ้างจริงและเล็งเห็นว่าสิ่งที่กระผมกล่าวมานั้นเป็นการ ‘นั่งเทียน’ ขึ้นมานั้น ผมกล้าพูดได้อย่างเสรีเลยว่าทุกท่านคิดผิด
ศาลฎีกาที่เคารพ กระผมเป็นผู้เบาปัญญาทางกฎหมายและมิอาจก้าวล่วงต่อท่านในหน้าที่และการงานของทุกท่านได้ แต่ท่านต้องยอมรับว่าตามป.วิอาญามาตรา 80 นั้น ได้ระบุอย่างชัดเจนแล้วว่าความผิดซึ่งหน้าได้แก่ ‘ความผิดซึ่งเห็นกำลังกระทำหรือพบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าเขาได้กระทำผิดมาแล้ว’ และไม่แปลกอันใดเลยถ้าหากตามตรรกะการละเว้นต่อหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ณ ขณะนั้นเป็นไปตามความผิดตามมาตรา 157 ของป.อาญา
.
ท่านผู้เจริญที่เคารพทั้งหลาย ถ้าหากกระผมผิดจริง เจ้าหน้าที่ทุกท่านเป็นอันต้องผิดตามไปด้วยง่ายเท่านั้นแหละ
.
เพราะประการฉะนี้แล กระผมไม่มีความประสงค์ที่จะหลบหนีไปต่างประเทศตามความกังวลของศาลฎีกาเลยแม้แต่น้อย เพราะในท้ายที่สุดแล้วนั้นผู้ชนะจะหลบหนีไปทำไมกัน ?
.
ศาลฎีกาและท่านสาธารณะชนผู้เจริญทั้งหลายการประกันตัวนั้นเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานและจนกว่าจะพิสูจน์จนเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเป็นเช่นไรนั้น กระผมยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่เช่นเคย และถึงกระนั้นผมต้องได้รับการประกันตัวตามความประสงค์นี้เพื่อต่อสู้ให้จนถึงที่สุด
.
สุดท้ายนี้ผมเคยได้กล่าวไว้แล้วในบันทึกเรือนจำของศูนย์ทนายสิทธิมนุษยชนว่า “เมื่อใดที่มนุษย์เราไร้ซึ่งเสรีภาพ มนุษย์นั้นก็มีอาจเป็นมนุษย์ได้อีก” และไม่ว่าจะมีผลออกมาเป็นเช่นใด ท่านขังได้แต่ตัวแต่หัวใจของผมจะเป็นเสรีสืบไป
.
AUT INVENIAM VIAM AUT FACIVM
“I shall find a way…
…or make one.”
บุญเกื้อหนุน ฟรานซิส เป้าทอง
13 ธ.ค.68
...................
คดีขบวนเสด็จมาตรา 110 สุรนาถและฟรานซิสยื่นฎีกาและขอประกันอีกครังเมื่อวันที่ 2ุ6 ธ.ค. อยู่ระหว่ารอฟังคำสังประกันจากศาลฎีกา