วันอังคาร, ธันวาคม 02, 2568

ถ้าการเมืองดี คนจะตายน้อยกว่านี้มาก


The101.world
Yesterday
·
“ถ้าการเมืองดี ย่อมมีผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วมหาดใหญ่น้อยกว่านี้มาก”
.
ประโยคนี้ไม่มีวันพิสูจน์ได้จริง แต่ก็ยากที่ใครจะกล้าแย้งว่า ไม่จริง
.
ผู้มีอำนาจมักอ้างว่า วิกฤตครั้งนี้ ‘เหนือความคาดหมาย’ เพราะฝนตกหนักที่สุดในรอบ 300 ปี และต่างจากเหตุการณ์น้ำท่วมในอดีต โดยเฉพาะในหาดใหญ่ เมืองที่คุ้นชินกับน้ำท่วมจนหลายคนมองว่าเป็นเรื่องปกติ (ทั้งที่จริงไม่ควรปกติ)
.
ถ้าฟังแบบไม่คิดมาก ก็อาจเผลอ ‘คล้อยตาม’ คนมีหน้าที่รับผิดชอบ เพราะระดับ 'ฝน 300 ปี' การรับมือย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่พอหยุดคิดและดูองค์กประกอบทั้งหมดแล้วก็จะเห็นทันทีว่านี่ไม่ใช่ข้ออ้างที่สมเหตุสมแล แต่เป็นข้อแก้ตัวที่ไม่อาจยอมรับได้เลย
.
การพูดถึงความรุนแรงของภัยพิบัติ (ซึ่งรุนแรงกว่าปกติจริง) ต้องไม่ถูกนำมาปะปนกับมาตรการดำเนินการและการรับมือของรัฐ การที่ผู้มีอำนาจพูดราวกับว่า รัฐทำทุกอย่างได้มาตรฐานแบบที่ควรจะเป็น เพียงแต่ภัยพิบัติรอบนี้หนักหนากว่าที่คิด ทำให้ประเด็นไขว้เขวไปมาก ถ้ารัฐเตรียมรับมือไว้ 100 ทำ 100 แต่ปัญหาใหญ่เกินกว่า 100 อันนี้เข้าใจได้ แต่รัฐที่ทำแค่ 10-20 แล้วอ้างว่า ปัญหาใหญ่เกินกว่าที่ประเมินไว้ อันนี้เรียกตีรวน ไม่รับผิดชอบ
.
เอาเข้าจริง การพูดว่าปัญหาใหญ่กว่าที่คาด ไม่ควรเป็นข้ออ้างตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะการวัดความสามารถของผู้นำและรัฐบาลไม่ใช่การประเมินว่า ปัญหาที่กำลังเผชิญเป็นเรื่องที่เคยคาดคิดไว้ก่อนหรือไม่ หากแต่เป็นความสามารถในการบริหารวิกฤตและเรื่องที่ไม่คาดคิดต่างหาก คุณประทีป คงสิบ สื่อมวลชนอาวุโส สะท้อนไว้อย่างตรงไปตรงมาว่า หากรัฐพร้อมทำงานเฉพาะเรื่องที่คาดการณ์ได้ ส่วนเรื่องคาดไม่ถึงก็ปล่อยประชาชนรับชะตากรรมเอง ก็ไม่รู้ว่า เราจะมีรัฐบาลไปทำไม
.
ข้อแก้ตัวยิ่งฟังไม่ขึ้น เมื่อข้อเท็จจริงคือ เหตุการณ์รอบนี้ ไม่ใช่เรื่องเกินกว่าที่ความรู้และเทคโนโลยีไทยจะคาดการณ์ได้ เพราะหลังน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 รัฐไทยลงทุนพัฒนากฎหมาย โครงสร้างหน่วยงาน แผนปฏิบัติการ และระบบเตือนภัยแบบครบวงจร ตั้งแต่ท้องถิ่นจนถึงระดับชาติ ทั้งหมดนี้มีอยู่ครบ และควรใช้รับมือวิกฤตในทุกพื้นที่
.
เพียงลองค้นคำว่า ‘ถอดบทเรียนน้ำท่วม’ ก็จะพบเอกสาร งานวิจัย คู่มือ และบทวิเคราะห์จำนวนมหาศาล ประเทศไทยเผชิญน้ำท่วมเกือบทุกปี และทุกปีเราก็ถอดบทเรียนซ้ำไปซ้ำมา ดังนั้น ปัญหาไม่ใช่เพราะเราไม่มีบทเรียน
แต่เป็นเพราะรัฐและผู้มีอำนาจ ไม่เคยคิดจะเรียน
.
ความน่าเจ็บใจคือ ภาคประชาชน (เช่น มูลนิธิกระจกเงา) แสดงให้เห็นแล้วว่า ถ้าเอาบทเรียนจากเหตุการณ์เดิมมาใช้จริง ๆ มันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้มากขนาดไหน แต่รัฐบาลและรัฐราชการไทยก็แสดงให้เห็นชัดเจนไม่แพ้กันว่า ไร้สมรรถนะเพียงใด
.
ความไร้ประสิทธิภาพของรัฐยังถูกซ้ำเติมอย่างรุนแรงด้วยการเมืองในระบบราชการ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความล้มเหลวของการบริหารวิกฤตรอบนี้ ดูเพียงไม่กี่ตำแหน่งสำคัญในวันที่น้ำเริ่มวิกฤต 25 พฤศจิกายน 2568 ก็พอแล้ว
.
อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพิ่งรับตำแหน่งวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 เมื่อดูประวัติศาสตร์ระยะใกล้จะพบว่า ตำแหน่งนี้เปลี่ยนแปลงไปมาตามการเมือง ใครที่ค้นในกูเกิลรับรองจะต้องงงกับข่าว “แสดงความยินดี อธิบดี ปภ.คนใหม่” ซึ่งมีหลายชื่อและถี่เหลือเกิน
.
ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เพิ่งมารับตำแหน่งวันเดียวกัน 12 พฤศจิกายน 2568 (วันเดียวกัน) แซวกัน ในวันที่น้ำท่วม ผู้ว่าฯ อาจยังไม่รู้เส้นทางในจังหวัดด้วยซ้ำ ยิ่งเมื่อดูประวัติทั้งปี ย้ายจากพัทลุง ไปกระบี่ ก่อนมาเป็นผู้ว่าฯ สงขลาในปีเดียวกัน ยิ่งทำให้มีคำถามว่านี่คือการโยกย้ายตามเกมการเมือง มากกว่าตามเหตุผลเชิงบริหารพื้นที่
.
เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ถูกย้ายกลับหน่วยงานเดิมวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 หลังเพิ่งมารับตำแหน่งได้เพียงสามเดือน (ย้ายมาเดือนสิงหาคม) ผลคือ ในจังหวะที่ประเทศต้องการ ‘มันสมองเรื่องน้ำ’ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติมีเพียงรักษาการเลขาฯ คอยประคองสถานการณ์
.
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องตัวบุคคล ชื่อ ใคร แซ่ อะไรไม่สำคัญเท่ากับข้อเท็จจริงง่าย ๆ ว่า รัฐที่เปลี่ยนคนในตำแหน่งสำคัญถี่ยิบแบบนี้ ไม่มีทางบริหารวิกฤตได้อยู่แล้ว พูดอีกแบบก็ได้ว่า โครงสร้างการเมืองในรัฐราชการทำให้การบริหารวิกฤตล้มเหลวตั้งแต่ก่อนน้ำจะมาด้วยซ้ำ
.
ความตายและความเสียหายที่เกิดขึ้น จึงไม่ได้เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลโดยตรงมาจากการเมืองเป็นพิษของไทยเอง
.
สมคิด พุทธศรี
บรรณาธิการอำนวยการ The101.world

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1392313265596809&set=a.523964959098315