วันจันทร์, ธันวาคม 29, 2568

ปัญหาการบังคับใช้ ประมวลกฎหมายอาญา ม.112 ..ทำไม ?? ถึงถูก หยิบขึ้นมาเป็นประเด็นหลักในการสร้างวิวาทะ ในการหาเสียงเลือกตั้งในทุก ๆ ครั้ง และถูกสร้างเป็นเงื่อนไขว่าใครจะได้เป็น หรือไม่ได้เป็นรัฐบาล...??


Jom Petchpradab
Yesterday
·
ปัญหาการบังคับใช้ ประมวลกฎหมายอาญา ม.112 ..ทำไม ?? ถึงถูก หยิบขึ้นมาเป็นประเด็นหลักในการสร้างวิวาทะ ในการหาเสียงเลือกตั้งในทุก ๆ ครั้ง. และถูกสร้างเป็นเงื่อนไขว่าใครจะได้เป็น หรือไม่ได้เป็นรัฐบาล...??
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ปัญหาการบังคับใช้ ม.112 ไม่ใช่ พรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล หรือ แม้แต่พรรคประชาชน ในปัจจุบัน เป็นผู้เริ่มกำหนดประเด็นนี้ขึ้นมาว่า จะต้องแก้ไขกฎหมาย ม.112 แต่เป็นความกังวลของนักกฎหมาย นักวิชาการ และประชาชนโดยทั่วไป มาตั้งแต่ก่อนปี 2553 ด้วยซ้ำว่า การบังคับใช้กฎหมายมาตรานี้ ถูกนำมาใช้เป็นอาวุธทางการเมือง และสร้างความร้าวฉานในสังคมไทย รวมไปถึงการสร้างความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์.
จนใน ปี 2555 จึงเกิดการเคลื่อนไหวอย่างเป็นรูปธรรมขึ้นเพื่อแก้ไขกฎหมายมาตรานี้ โดย คณะนิติราษฎร (ครก.112) ซึ่งเป็นการรวมตัวของบรรดานักกฎหมาย นักวิชาการ และภาคประชาชนสังคมต่าง ๆ ได้รวบรวมรายชื่อประชาชน 3 หมื่นรายชื่อ และได้ยื่นร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ต่อสภาผู้แทนราษฎร ( สมัยรัฐบาลเพื่อไทย ) แต่ร่างกฎหมายถูกตีตกไป ถึงกระนั้น กระแสเรียกร้องให้มีการแก้ไข ม.112 ก็ยังคุกรุ่นอยู่ในสังคม และการเมืองไทยมาโดยตลอด จนถึงปัจจุบัน
จนเมื่อ พรรคอนาคตใหม่ ก้าวเข้าสู่การเมืองครั้งแรกในปี 2562 จึงได้ประมวลเอาความเรียกร้องต้องการของประชาชนในแต่ละด้านมาเป็นแนวนโยบายของพรรค หนึ่งในนั้นคือการปรับปรุงแก้ไข ม.112 โดยเป้าหมายหลักคือ การรักษาให้สถาบันพระมหากษัตริย์สะอาด ปลอดภัยจากความขัดแย้งทางการเมือง และอยู่ในความศรัทธาของประชาชนให้ได้มากที่สุด. ไม่ได้มีประเด็นไหน หรือหลักฐานชิ้นใด ที่ชี้ชัดว่าเป็นการล้มล้าง ทำลาย สถาบันพระมหากษัตริย์ แต่อย่างใด.
การทำการเมืองอย่างกล้าหาญ ตรงไปตรงมา และยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตยของพรรคอนาคตใหม่ กลายเป็นพรรคที่สร้างกระแสนิยมสูงสุด เรื่อยมา ตกทอดมาถึง พรรคก้าวไกล และพรรคประชาชน และนี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้พรรคสายพันธุ์นี้จึงกลายเป็น ศัตรูทางการเมือง ของพรรคการเมืองเก่าอนุรักษ์นิยมรวมทั้งพรรคเพื่อไทยด้วย
“แก้ ม.112 = ล้มเจ้า” จึงถูกใช้เป็นอาวุธทางการเมือง ที่เกือบทุกพรรคการเมืองฝั่งอนุรักษ์ราชนิยม นำมาใช้เพื่อทำลาย สกัดกั้น ไม่ให้ พรรคประชาชน ขึ้นมามีอำนาจ....
นี่จึงเป็นที่มาว่า ทำไม ในทุกการเลือกตั้ง และทุกเวทีดีเบต ประเด็นการแก้ไข ม.112 จึงกลายเป็นอาวุธหลักที่พุ่งเป้าไปที่ พรรคประชาชน แม้ว่าสุดท้ายท้ายสุด พรรคประชาชน จะยอมยกธงขาวศิโรราบ ไม่เอาด้วยกับการแก้ไข ม.112 อีกต่อไปแล้ว แต่พรรคฝั่งอนุรักษ์ราชนิยมก็ไม่ยอมหยุด เพราะยังหาอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างพรรคประชาชนไม่ได้ เท่ากับการ “แก้ ม.112 = ล้มเจ้า”
มองในมุมของสื่อ ที่ยังคงย้ำถามคำถามนี้ กับพรรคประชาชน และพรรคการเมืองอื่น ๆ ก็เพียงหวังอยากเห็นท่าทีการตอบ คำอธิบาย หรือการแสดงออก ต่อคำถามที่อ่อนไหวในทางสังคมและทางการเมืองจากแต่ละพรรคการเมืองเท่านั้นเอง ไม่ได้คาดหวังหรือจริงจังที่จะหยุดยั้งการใช้ ม.112 เป็นอาวุธทางการเมืองแต่อย่างใด
กล่าวเฉพาะ พรรคประชาชน เมื่อยอมศิโรราบ ไม่มีนโยบายแก้ ม.112 (เพื่อปกป้องรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้พ้นไปจากความขัดแย้งทางการเมืองแล้ว) แต่จะเดินหน้านิรโทษกรรมผู้ต้องคดี112 ก็นับว่ายังมีความกล้าหาญหลงเหลืออยู่บ้าง. แต่ก็เป็นที่รับรู้กันว่า เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น เพราะสุดท้ายหากไม่แก้ไขวิธีการบังคับใช้ ม. 112 กฎหมายมาตรานี้ก็ยังเป็น “อาวุธทางการเมือง” ที่ยังคงมีพลังทำลายล้างกันเองของคนไทยทั้งในปัจจุบันและในอนาคตอยู่ดี
ที่น่าเป็นกังวลไปกว่านั้นคือ “ความเงียบเฉยของสถาบันกษัตริย์” กับภาวะที่กำลังถูกทำให้ กลายเป็นศูนย์กลางแห่งความขัดแย้ง แทนที่จะเป็นศูนย์กลางแห่งความรักความสามัคคีของประชาชนทั้งประเทศ. จะบอกว่าไม่เกี่ยวกัน และควรจะอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง ไม่ควรจะแสดงท่าทีใด ไม่ควรจะลงมายุ่ง เพราะเป็นความพยายามที่จะใช้สถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง
อย่างที่กล่าวตั้งแต่ต้นว่า ปัญหาการบังคับใช้ ม.112 ไม่ได้เริ่มต้นขึ้นเพราะ พรรคการเมือง หรือนักการเมือง นำมาใช้เป็นอาวุธต่อสู้กันทางการเมือง แต่เป็นความวิตกกังวลและข้อห่วงใยของนักวิชาการ นักกฎหมาย เครือข่ายประชาชน ที่ต้องการเห็นความมั่นคงเสถียรภาพและความสถาพรของสถาบันพระมหากษัตริย์.
มันจึงไม่ใช่ความขัดแย้งที่มีปฐมเหตุมาจากความเกลียดชังที่คิดจะล้มล้าง ทำลาย แต่มาจากความรักความห่วงใยและความปรารถนาดีที่ประชาชนมีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์โดยแท้( ทั้ง ๆ ที่เป็นความเสี่ยงแต่ก็ยังกล้าหาญที่จะออกมาเคลื่อนไหว) จึงเป็นที่น่าเสียดายที่ความเงียบงันจากสถาบันกษัตริย์และความขลาดกลัวของนักการเมือง ทำให้ “ความรักและความปรารถนาดีอย่างจริงใจของประชาชนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ กลับถูกตีความเป็นการ ล้มล้าง ทำลายไปในที่สุด
ดังนั้นจึงมีเพียง สถาบันพระมหากษัตริย์ เพียงองค์กรเดียวเท่านั้นที่จะยุติความร้าวฉานของคนในชาติ และชำระล้างรอยมลทินที่แปดเปื้อนสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในเวลานี้ได้ ว่า จะมีวิธีการอย่างไร ที่ชำระล้างมลทินนี้ให้หมดไปได้. นี่จึงเป็นที่มาของข้อเสนอที่ว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ควรจะเงียบงันหรือนิ่งเฉยต่อเรื่องนี้อีกต่อไป”

https://www.facebook.com/jom.petchpradab/posts/10163439881058965