
Thasnai Sethaseree
4 hours ago
·
“ยุคหลังศีลธรรม : การเมืองที่ทำงานได้ แต่ไม่ต้องชอบธรรม”
ผมคิดมานานว่า การเมืองไทยไม่ได้พังเพราะไม่มีคนเก่งหรือไม่มีคนดี หากแต่มันพังเพราะ “ความดี” ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางอำนาจมานานเกินไป และเมื่อวันหนึ่งความดีนั้นหมดแรง คำอธิบายใหม่ก็ถูกหยิบขึ้นมาแทนที่อย่างรวดเร็ว นั่นคือคำว่า real politics
ถ้ามองให้ดี คำว่า real politics ไม่ได้ถูกใช้เพื่ออธิบายความซับซ้อนของการเมือง หากถูกใช้เพื่อบอกเราว่า อย่าคาดหวังอะไรมากกว่านี้ อย่าถามเรื่องหลักการมากเกินไป และอย่าเอาศีลธรรมมารบกวนการจัดการอำนาจ ในความหมายนี้ real politics ไม่ได้เป็นความจริงของการเมือง แต่เป็นวาทกรรมที่ทำให้อำนาจหลุดพ้นจากการต้องรับผิดชอบ
ในอดีต ฝ่ายอนุรักษนิยมเคยใช้ศีลธรรมเป็นต้นทุนทางการเมือง เพื่อทำให้อำนาจไม่ต้องมาจากการเลือกตั้งเต็มใบ แต่เมื่อศีลธรรมเสื่อมพลัง คำว่า real politics ก็เข้ามาทำหน้าที่เดียวกัน เพียงเปลี่ยนภาษาจากความดี มาเป็นความจำเป็น จากคุณธรรม มาเป็นประสิทธิภาพ และจากอุดมการณ์ มาเป็นการอยู่รอด
ตรงนี้เองที่ผมเริ่มรู้สึกว่า real politics ไม่ได้หมายถึงการยอมรับความจริงของโลก หากหมายถึงการลดโลกให้เล็กพอ จนเหลือเพียงสิ่งที่อำนาจจัดการได้ การเมืองถูกทำให้กลายเป็นเรื่องเทคนิค เรื่องดีล เรื่องการคุมเกม และเรื่องการต่อรอง ขณะที่คำถามเรื่องความชอบธรรมถูกเลื่อนไปเป็นเรื่องรอง หรือแย่กว่านั้น ถูกมองว่าเป็นความไร้เดียงสา
ความล้มเหลวของพรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวอย่างที่สำคัญ ที่ไม่เพียงสะท้อนความพ่ายแพ้ของศีลธรรมแบบเก่า แต่เป็นจุดที่ “รัฐพันลึก” เริ่มหันหลังให้การเมืองเชิงคุณค่าอย่างเปิดเผย ไม่ใช่เพราะศีลธรรมผิด แต่เพราะมัน “ไม่ทำงาน” ในกรอบ real politics ที่อำนาจต้องการ พรรคที่ไม่สามารถคุมเสียง คุมพื้นที่ และคุมเครือข่ายได้ ถูกมองว่าไม่มีประโยชน์ ไม่ว่ามันจะสะอาดเพียงใดก็ตาม
จากจุดนี้ real politics จึงกลายเป็นภาษากลางใหม่ของรัฐพันลึก ภาษาที่ไม่ต้องอ้างความดี ไม่ต้องสร้างความชอบธรรม และไม่ต้องสัญญาอะไรกับสังคมมากไปกว่าคำว่า “บริหารได้” การเมืองถูกลดสถานะจากพื้นที่ถกเถียงของสาธารณะ เหลือเพียงสนามจัดการของเครือข่ายผู้มีอิทธิพล
รัฐประหารในความหมายนี้ ไม่ใช่ข้อยกเว้นของ real politics แต่เป็นส่วนหนึ่งของมัน เมื่อการใช้อำนาจนอกระบบเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ศีลธรรมยิ่งเสื่อม และ real politics ยิ่งแข็งแรง เพราะมันกำลังบอกว่า ความสำเร็จสำคัญกว่าที่มา และผลลัพธ์สำคัญกว่ากติกา
ในโลกแบบนี้ พรรคภูมิใจไทยจึงไม่ใช่ความผิดปกติ แต่คือผลลัพธ์ที่สมเหตุสมผลในโครงสร้างที่พิลึกกึกกือนี้ บ้านใหญ่ อิทธิพลท้องถิ่น และเครือข่าย ไม่ใช่สิ่งน่ารังเกียจในกรอบ real politics หากเป็นทรัพยากรที่จับต้องได้ พรรคแบบนี้ไม่ต้องพูดดี ไม่ต้องอ้างคุณธรรม ขอเพียงชนะเขตเลือกตั้งได้และต่อรองได้ ก็เพียงพอแล้ว
และเมื่อเสาค้ำยังไม่พอ พรรคกล้าธรรมจึงปรากฏขึ้นในฐานะการทดลองถัดไป การเมืองหลังศีลธรรมในเวอร์ชันที่ไม่แม้แต่จะแสร้งอ้างหลักการ real politics ในที่นี้ไม่ใช่การมองโลกตามจริง แต่คือการออกแบบพรรคให้ทำหน้าที่เหมือนเครื่องมือเคลื่อนย้ายอำนาจ เป็นแท็กซี่ทางการเมืองที่ไม่ต้องมีสมาชิก ไม่ต้องมีอุดมการณ์ และไม่ต้องมีระบบตรวจสอบ
เมื่อการเมืองถูกจัดวางเช่นนี้ คำถามเรื่องอดีต เครือข่าย และทุนเทา จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ตรงไปตรงมาของโครงสร้าง real politics ที่แยกอำนาจออกจากความรับผิดชอบ และแยกประสิทธิภาพออกจากความชอบธรรม
ต้นทุนของการเมืองแบบนี้ไม่เคยตกกับรัฐพันลึก แต่มาตกกับสังคม ทุกครั้งที่เราพูดว่าไม่เป็นไร นี่คือ real politics เรากำลังยอมให้มาตรฐานลดลงอย่างมีเหตุผลที่บ้าบอ และเมื่อมาตรฐานลดลงได้หนึ่งครั้ง มันจะลดลงได้อีกเรื่อย ๆ จนการเลือกตั้งกลายเป็นเพียงพิธีกรรมรองรับดีลของเครือข่ายอำนาจเดิมๆ
ผมไม่คิดว่าปัญหานี้จะถูกแก้ได้ด้วยการด่าการเมืองแบบ real politics อย่างเดียว เพราะตราบใดที่ฝ่ายที่อ้างความถูกต้องทางหลักการ ยังไม่สามารถแปรความชอบธรรมให้เป็นอำนาจที่บริหารได้จริง real politics จะถูกหยิบมาใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในฐานะคำอธิบายบัดซบที่ฟังดูเป็นผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน และดูเหมือนเข้าใจโลกมากกว่าคนอื่น
คำถามที่ผมคิดว่าเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ real politics แบบนี้เป็นความจริงที่เราจำเป็นต้องยอมรับ หรือเป็นเพียงความจริงที่ถูกทำขึ้นเพื่อให้อำนาจไม่ต้องเปลี่ยนแปลง หากการเมืองที่ตัดศีลธรรมออกจากความรับผิดชอบถูกเรียกว่าเป็นการเมืองที่เป็นจริง สิ่งที่ถูกผลักออกไปไม่ใช่ความเพ้อฝัน แต่คือความคิดว่าการเมืองยังสามารถถูกทำให้ดีกว่านี้ได้
ความหวังจึงไม่ใช่การปฏิเสธ real politics แต่คือการดึงมันกลับมาให้หมายถึงการจัดการอำนาจที่ยังต้องอธิบายตัวเองต่อสังคมได้ และนี่คือภารกิจของฝ่ายก้าวหน้า ไม่ใช่การยืนสูงกว่าอำนาจทางศีลธรรม แต่คือการทำให้ความชอบธรรมแปรเป็นอำนาจที่บริหารได้จริง โดยมีประชาชนเป็นผู้ตรวจสอบอยู่
เพราะถ้าเราไม่ทำเช่นนั้น real politics จะยังถูกใช้เป็นชื่อเรียกของการเมืองที่ไม่ต้องรับผิด และวันนั้น เราอาจเรียกมันว่าความจริง ทั้งที่จริง ๆ แล้ว มันคือความพ่ายแพ้ของประชาธิปไตยทั้งระบบ
https://www.facebook.com/thasnai.sethaseree.5/posts/25555669714100035
·
“ยุคหลังศีลธรรม : การเมืองที่ทำงานได้ แต่ไม่ต้องชอบธรรม”
ผมคิดมานานว่า การเมืองไทยไม่ได้พังเพราะไม่มีคนเก่งหรือไม่มีคนดี หากแต่มันพังเพราะ “ความดี” ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางอำนาจมานานเกินไป และเมื่อวันหนึ่งความดีนั้นหมดแรง คำอธิบายใหม่ก็ถูกหยิบขึ้นมาแทนที่อย่างรวดเร็ว นั่นคือคำว่า real politics
ถ้ามองให้ดี คำว่า real politics ไม่ได้ถูกใช้เพื่ออธิบายความซับซ้อนของการเมือง หากถูกใช้เพื่อบอกเราว่า อย่าคาดหวังอะไรมากกว่านี้ อย่าถามเรื่องหลักการมากเกินไป และอย่าเอาศีลธรรมมารบกวนการจัดการอำนาจ ในความหมายนี้ real politics ไม่ได้เป็นความจริงของการเมือง แต่เป็นวาทกรรมที่ทำให้อำนาจหลุดพ้นจากการต้องรับผิดชอบ
ในอดีต ฝ่ายอนุรักษนิยมเคยใช้ศีลธรรมเป็นต้นทุนทางการเมือง เพื่อทำให้อำนาจไม่ต้องมาจากการเลือกตั้งเต็มใบ แต่เมื่อศีลธรรมเสื่อมพลัง คำว่า real politics ก็เข้ามาทำหน้าที่เดียวกัน เพียงเปลี่ยนภาษาจากความดี มาเป็นความจำเป็น จากคุณธรรม มาเป็นประสิทธิภาพ และจากอุดมการณ์ มาเป็นการอยู่รอด
ตรงนี้เองที่ผมเริ่มรู้สึกว่า real politics ไม่ได้หมายถึงการยอมรับความจริงของโลก หากหมายถึงการลดโลกให้เล็กพอ จนเหลือเพียงสิ่งที่อำนาจจัดการได้ การเมืองถูกทำให้กลายเป็นเรื่องเทคนิค เรื่องดีล เรื่องการคุมเกม และเรื่องการต่อรอง ขณะที่คำถามเรื่องความชอบธรรมถูกเลื่อนไปเป็นเรื่องรอง หรือแย่กว่านั้น ถูกมองว่าเป็นความไร้เดียงสา
ความล้มเหลวของพรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวอย่างที่สำคัญ ที่ไม่เพียงสะท้อนความพ่ายแพ้ของศีลธรรมแบบเก่า แต่เป็นจุดที่ “รัฐพันลึก” เริ่มหันหลังให้การเมืองเชิงคุณค่าอย่างเปิดเผย ไม่ใช่เพราะศีลธรรมผิด แต่เพราะมัน “ไม่ทำงาน” ในกรอบ real politics ที่อำนาจต้องการ พรรคที่ไม่สามารถคุมเสียง คุมพื้นที่ และคุมเครือข่ายได้ ถูกมองว่าไม่มีประโยชน์ ไม่ว่ามันจะสะอาดเพียงใดก็ตาม
จากจุดนี้ real politics จึงกลายเป็นภาษากลางใหม่ของรัฐพันลึก ภาษาที่ไม่ต้องอ้างความดี ไม่ต้องสร้างความชอบธรรม และไม่ต้องสัญญาอะไรกับสังคมมากไปกว่าคำว่า “บริหารได้” การเมืองถูกลดสถานะจากพื้นที่ถกเถียงของสาธารณะ เหลือเพียงสนามจัดการของเครือข่ายผู้มีอิทธิพล
รัฐประหารในความหมายนี้ ไม่ใช่ข้อยกเว้นของ real politics แต่เป็นส่วนหนึ่งของมัน เมื่อการใช้อำนาจนอกระบบเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ศีลธรรมยิ่งเสื่อม และ real politics ยิ่งแข็งแรง เพราะมันกำลังบอกว่า ความสำเร็จสำคัญกว่าที่มา และผลลัพธ์สำคัญกว่ากติกา
ในโลกแบบนี้ พรรคภูมิใจไทยจึงไม่ใช่ความผิดปกติ แต่คือผลลัพธ์ที่สมเหตุสมผลในโครงสร้างที่พิลึกกึกกือนี้ บ้านใหญ่ อิทธิพลท้องถิ่น และเครือข่าย ไม่ใช่สิ่งน่ารังเกียจในกรอบ real politics หากเป็นทรัพยากรที่จับต้องได้ พรรคแบบนี้ไม่ต้องพูดดี ไม่ต้องอ้างคุณธรรม ขอเพียงชนะเขตเลือกตั้งได้และต่อรองได้ ก็เพียงพอแล้ว
และเมื่อเสาค้ำยังไม่พอ พรรคกล้าธรรมจึงปรากฏขึ้นในฐานะการทดลองถัดไป การเมืองหลังศีลธรรมในเวอร์ชันที่ไม่แม้แต่จะแสร้งอ้างหลักการ real politics ในที่นี้ไม่ใช่การมองโลกตามจริง แต่คือการออกแบบพรรคให้ทำหน้าที่เหมือนเครื่องมือเคลื่อนย้ายอำนาจ เป็นแท็กซี่ทางการเมืองที่ไม่ต้องมีสมาชิก ไม่ต้องมีอุดมการณ์ และไม่ต้องมีระบบตรวจสอบ
เมื่อการเมืองถูกจัดวางเช่นนี้ คำถามเรื่องอดีต เครือข่าย และทุนเทา จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ตรงไปตรงมาของโครงสร้าง real politics ที่แยกอำนาจออกจากความรับผิดชอบ และแยกประสิทธิภาพออกจากความชอบธรรม
ต้นทุนของการเมืองแบบนี้ไม่เคยตกกับรัฐพันลึก แต่มาตกกับสังคม ทุกครั้งที่เราพูดว่าไม่เป็นไร นี่คือ real politics เรากำลังยอมให้มาตรฐานลดลงอย่างมีเหตุผลที่บ้าบอ และเมื่อมาตรฐานลดลงได้หนึ่งครั้ง มันจะลดลงได้อีกเรื่อย ๆ จนการเลือกตั้งกลายเป็นเพียงพิธีกรรมรองรับดีลของเครือข่ายอำนาจเดิมๆ
ผมไม่คิดว่าปัญหานี้จะถูกแก้ได้ด้วยการด่าการเมืองแบบ real politics อย่างเดียว เพราะตราบใดที่ฝ่ายที่อ้างความถูกต้องทางหลักการ ยังไม่สามารถแปรความชอบธรรมให้เป็นอำนาจที่บริหารได้จริง real politics จะถูกหยิบมาใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในฐานะคำอธิบายบัดซบที่ฟังดูเป็นผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน และดูเหมือนเข้าใจโลกมากกว่าคนอื่น
คำถามที่ผมคิดว่าเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ real politics แบบนี้เป็นความจริงที่เราจำเป็นต้องยอมรับ หรือเป็นเพียงความจริงที่ถูกทำขึ้นเพื่อให้อำนาจไม่ต้องเปลี่ยนแปลง หากการเมืองที่ตัดศีลธรรมออกจากความรับผิดชอบถูกเรียกว่าเป็นการเมืองที่เป็นจริง สิ่งที่ถูกผลักออกไปไม่ใช่ความเพ้อฝัน แต่คือความคิดว่าการเมืองยังสามารถถูกทำให้ดีกว่านี้ได้
ความหวังจึงไม่ใช่การปฏิเสธ real politics แต่คือการดึงมันกลับมาให้หมายถึงการจัดการอำนาจที่ยังต้องอธิบายตัวเองต่อสังคมได้ และนี่คือภารกิจของฝ่ายก้าวหน้า ไม่ใช่การยืนสูงกว่าอำนาจทางศีลธรรม แต่คือการทำให้ความชอบธรรมแปรเป็นอำนาจที่บริหารได้จริง โดยมีประชาชนเป็นผู้ตรวจสอบอยู่
เพราะถ้าเราไม่ทำเช่นนั้น real politics จะยังถูกใช้เป็นชื่อเรียกของการเมืองที่ไม่ต้องรับผิด และวันนั้น เราอาจเรียกมันว่าความจริง ทั้งที่จริง ๆ แล้ว มันคือความพ่ายแพ้ของประชาธิปไตยทั้งระบบ
https://www.facebook.com/thasnai.sethaseree.5/posts/25555669714100035