
ภาพจาก The Matter
15 hours ago
·
11 การเมืองของผู้ที่กลัวความจริง
ในห้วงเวลาที่การเมืองควรเป็นสนามของเหตุผล
กลับมีบางฝ่ายเลือกใช้ “ความกลัว” เป็นภาษา
และใช้ “การลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” เป็นเครื่องมือ
ปรากฏการณ์ที่เครือข่ายฝ่ายขวาจัดทุ่มพลังไปกับการใส่ร้าย ป้ายสี และผลิตข่าวปลอมต่อพรรคประชาชน
แทนที่จะเสนอวิสัยทัศน์ นโยบาย หรือคำตอบต่อชีวิตผู้คน
มิใช่เรื่องบังเอิญ
แต่มันคืออาการของ ความหวาดหวั่นเชิงโครงสร้าง
และ วิกฤตความชอบธรรม ที่กำลังกัดกินพวกเขาจากภายใน
ฝ่ายขวาจัดเคยยืนอยู่บนแท่นสูงของศีลธรรม
ในโลกทัศน์ของพวกเขา ความรักชาติ ความจงรักภักดี และความถูกต้อง
เป็นทรัพย์สินที่มีเจ้าของเพียงกลุ่มเดียว
แต่เมื่อพรรคประชาชนพูดถึงความเท่าเทียม
พูดถึงการปฏิรูปที่ทำให้รัฐโปร่งใส
พูดถึงศักดิ์ศรีของคนธรรมดาในโลกสมัยใหม่
“ความดี” ก็หลุดจากการผูกขาด
และนั่นคือจุดที่ความกลัวเริ่มทำงาน
เมื่อไม่สามารถแข่งขันด้วยความจริงเชิงนโยบาย
จึงต้องสร้าง “ความจริงอีกชุดหนึ่ง”
ความจริงที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามกลายเป็นคนชั่ว คนอันตราย หรือคนนอกรีต
เพื่อให้การทำลายเขาดูเหมือนภารกิจทางศีลธรรม
ไม่ใช่การใช้อำนาจอย่างสิ้นหวัง
นโยบายบางอย่างเปลี่ยนรัฐบาล
แต่นโยบายบางอย่างเปลี่ยนโครงสร้าง
การทลายทุนผูกขาด
การกระจายอำนาจ
การปฏิรูปกองทัพที่ไม่เคยถูกแตะต้อง
สำหรับฝ่ายขวาจัด นี่ไม่ใช่ “ความเห็นต่าง”
แต่มันคือภัยคุกคามต่อฐานอำนาจที่สั่งสมมาหลายทศวรรษ
พวกเขากลัวว่า
หากการเลือกตั้งเป็นไปอย่างตรงไปตรงมา
หากกฎหมายถูกแก้ไขด้วยเจตจำนงของประชาชน
โครงสร้างที่เอื้อประโยชน์แก่คนกลุ่มเดิม
อาจไม่สามารถประกอบกลับคืนได้อีก
เฟคนิวส์จึงกลายเป็นอาวุธที่ต้นทุนต่ำ
แต่สร้างแรงต้านได้สูง
ไม่ใช่เพื่อชนะด้วยเหตุผล
แต่เพื่อทำให้สังคมไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า
การเมืองไม่ใช่แค่นโยบาย
แต่คือความหวังที่มีใบหน้า
ในขณะที่พรรคประชาชนมีคนรุ่นใหม่
สื่อสารได้
เข้าใจปัญหาเชิงเทคนิค
และดูพร้อมรับผิดชอบต่ออนาคต
ฝ่ายขวาจัดกลับขาดแคลน “ตัวแทนของความหวัง”
ไม่มีบุคคลที่ทำให้คนเชื่อว่าโลกพรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้
เมื่อไม่มีคนเก่งให้ยืนเคียง
ยุทธศาสตร์ที่เหลืออยู่
คือทำให้ “คนเก่งของฝ่ายตรงข้าม” ดูน่ารังเกียจ
ทำลายความน่าเชื่อถือส่วนบุคคล
เพื่อให้ความระแวงเอาชนะเหตุผล
แม้ประชาชนจะเห็นด้วยกับนโยบายก็ตาม
สิ่งที่เราเห็น
ไม่ใช่ความเข้มแข็ง
แต่คือการป้องกันตัวของผู้ที่รู้ว่าตนเองกำลังแพ้ในสนามของเหตุผล
การขุดปูมหลัง
การกล่าวหาล้มล้าง
การใช้ภาษาแห่งบาป บุญ และลำดับชั้น
ล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน
คือทำให้สังคมกลัวความเท่าเทียม
และยอมอยู่กับโครงสร้างเดิมต่อไป
พวกเขาไม่แข่งรณรงค์อย่างตรงไปตรงมา
เพราะพวกเขารู้ดีว่า
ในสนามที่ต้องใช้เหตุผล ความจริง และนโยบาย
พวกเขาไม่มีโอกาสชนะ
การลากการเมืองลงสู่ความเกลียดชัง
การลดทอนศักดิ์ศรีของฝ่ายตรงข้าม
จึงไม่ใช่สัญญาณของพลัง
แต่คือ ทางรอดสุดท้ายของผู้ที่กลัวอนาคต
และบางที
สิ่งที่พวกเขากลัวที่สุด
ไม่ใช่พรรคประชาชน
แต่คือวันที่ประชาชนไม่กลัวพวกเขาอีกต่อไป
https://www.facebook.com/PhichainaBhuket/posts/1393042462277988
·
11 การเมืองของผู้ที่กลัวความจริง
ในห้วงเวลาที่การเมืองควรเป็นสนามของเหตุผล
กลับมีบางฝ่ายเลือกใช้ “ความกลัว” เป็นภาษา
และใช้ “การลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” เป็นเครื่องมือ
ปรากฏการณ์ที่เครือข่ายฝ่ายขวาจัดทุ่มพลังไปกับการใส่ร้าย ป้ายสี และผลิตข่าวปลอมต่อพรรคประชาชน
แทนที่จะเสนอวิสัยทัศน์ นโยบาย หรือคำตอบต่อชีวิตผู้คน
มิใช่เรื่องบังเอิญ
แต่มันคืออาการของ ความหวาดหวั่นเชิงโครงสร้าง
และ วิกฤตความชอบธรรม ที่กำลังกัดกินพวกเขาจากภายใน
ฝ่ายขวาจัดเคยยืนอยู่บนแท่นสูงของศีลธรรม
ในโลกทัศน์ของพวกเขา ความรักชาติ ความจงรักภักดี และความถูกต้อง
เป็นทรัพย์สินที่มีเจ้าของเพียงกลุ่มเดียว
แต่เมื่อพรรคประชาชนพูดถึงความเท่าเทียม
พูดถึงการปฏิรูปที่ทำให้รัฐโปร่งใส
พูดถึงศักดิ์ศรีของคนธรรมดาในโลกสมัยใหม่
“ความดี” ก็หลุดจากการผูกขาด
และนั่นคือจุดที่ความกลัวเริ่มทำงาน
เมื่อไม่สามารถแข่งขันด้วยความจริงเชิงนโยบาย
จึงต้องสร้าง “ความจริงอีกชุดหนึ่ง”
ความจริงที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามกลายเป็นคนชั่ว คนอันตราย หรือคนนอกรีต
เพื่อให้การทำลายเขาดูเหมือนภารกิจทางศีลธรรม
ไม่ใช่การใช้อำนาจอย่างสิ้นหวัง
นโยบายบางอย่างเปลี่ยนรัฐบาล
แต่นโยบายบางอย่างเปลี่ยนโครงสร้าง
การทลายทุนผูกขาด
การกระจายอำนาจ
การปฏิรูปกองทัพที่ไม่เคยถูกแตะต้อง
สำหรับฝ่ายขวาจัด นี่ไม่ใช่ “ความเห็นต่าง”
แต่มันคือภัยคุกคามต่อฐานอำนาจที่สั่งสมมาหลายทศวรรษ
พวกเขากลัวว่า
หากการเลือกตั้งเป็นไปอย่างตรงไปตรงมา
หากกฎหมายถูกแก้ไขด้วยเจตจำนงของประชาชน
โครงสร้างที่เอื้อประโยชน์แก่คนกลุ่มเดิม
อาจไม่สามารถประกอบกลับคืนได้อีก
เฟคนิวส์จึงกลายเป็นอาวุธที่ต้นทุนต่ำ
แต่สร้างแรงต้านได้สูง
ไม่ใช่เพื่อชนะด้วยเหตุผล
แต่เพื่อทำให้สังคมไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า
การเมืองไม่ใช่แค่นโยบาย
แต่คือความหวังที่มีใบหน้า
ในขณะที่พรรคประชาชนมีคนรุ่นใหม่
สื่อสารได้
เข้าใจปัญหาเชิงเทคนิค
และดูพร้อมรับผิดชอบต่ออนาคต
ฝ่ายขวาจัดกลับขาดแคลน “ตัวแทนของความหวัง”
ไม่มีบุคคลที่ทำให้คนเชื่อว่าโลกพรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้
เมื่อไม่มีคนเก่งให้ยืนเคียง
ยุทธศาสตร์ที่เหลืออยู่
คือทำให้ “คนเก่งของฝ่ายตรงข้าม” ดูน่ารังเกียจ
ทำลายความน่าเชื่อถือส่วนบุคคล
เพื่อให้ความระแวงเอาชนะเหตุผล
แม้ประชาชนจะเห็นด้วยกับนโยบายก็ตาม
สิ่งที่เราเห็น
ไม่ใช่ความเข้มแข็ง
แต่คือการป้องกันตัวของผู้ที่รู้ว่าตนเองกำลังแพ้ในสนามของเหตุผล
การขุดปูมหลัง
การกล่าวหาล้มล้าง
การใช้ภาษาแห่งบาป บุญ และลำดับชั้น
ล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน
คือทำให้สังคมกลัวความเท่าเทียม
และยอมอยู่กับโครงสร้างเดิมต่อไป
พวกเขาไม่แข่งรณรงค์อย่างตรงไปตรงมา
เพราะพวกเขารู้ดีว่า
ในสนามที่ต้องใช้เหตุผล ความจริง และนโยบาย
พวกเขาไม่มีโอกาสชนะ
การลากการเมืองลงสู่ความเกลียดชัง
การลดทอนศักดิ์ศรีของฝ่ายตรงข้าม
จึงไม่ใช่สัญญาณของพลัง
แต่คือ ทางรอดสุดท้ายของผู้ที่กลัวอนาคต
และบางที
สิ่งที่พวกเขากลัวที่สุด
ไม่ใช่พรรคประชาชน
แต่คือวันที่ประชาชนไม่กลัวพวกเขาอีกต่อไป
https://www.facebook.com/PhichainaBhuket/posts/1393042462277988