
The Unlock
13 hours ago
·
เสียงสะท้อนถึงจุฬาฯ จากผู้ประกอบการรายย่อย: เจาะบทสัมภาษณ์ Curry Boy
จากกรณีการประกาศปิดกิจการของร้าน Curry Boy คุณหน่อย เจ้าของร้าน เล่าให้เราฟังว่าจุดพลิกผันของร้านย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตอนที่จุฬาฯ ได้กลับเข้ามาพัฒนาพื้นที่หลังจากบริษัท ภานุรุจ จำกัด ผู้เก็บค่าเช่าเดิม ได้หมดสัมปทานกับจุฬาฯ
“เดิมบริษัท ภานุรุจ ทำสัญญาปีแรก เขาคิดตารางเมตรละ 600 บาท ตอนนั้นก็คิดว่าแพงแล้ว เพราะพื้นที่เรากว้างด้วย เลยต่อรองกัน เขาก็ลดให้เป็น 400 กว่า/ตารางเมตร บวกค่าส่วนกลางก็ประมาณ 4 หมื่น ซึ่งตอนนั้นก็นับว่าแพงอยู่ แต่ว่ามันมีข้อดีอย่างหนึ่งที่ว่าเขาไม่เคยขึ้นค่าเช่าเลยตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา แล้วก็ช่วยลดค่าเช่าให้ในช่วงที่จุฬาฯ ปิดเทอมด้วย
พอเขาตัดสินใจไม่ต่อสัมปทานแล้ว ทีนี้จุฬาฯ ก็เลยเข้ามาพัฒนาเอง ตรงนี้จึงเป็นจุดเปลี่ยน
เมื่อจุฬาฯ เข้ามาบริหารเอง ก็ขึ้นราคาอย่างก้าวกระโดด ปีแรกขึ้นมาอยู่ที่ 700 บาท/ตารางเมตร และมีนโยบายขึ้นค่าเช่าทุกปี และก็ยังมีเรื่องของขนาดพื้นที่ที่เพิ่มขึ้น เพราะเดิมที่บริษัท ภานุรุจ ที่เคยสัมปทานและทำไว้เป็นพื้นที่ขนาด 74 ตารางเมตร แต่จุฬาฯ บอกว่ามันไม่ใช่ มันต้องเป็น 86 ตารางเมตร ทีนี้พอพื้นที่มันขึ้นมาอีก 10 กว่าตารางเมตร และค่าเช่าที่เพิ่มขึ้น ทำให้ตกต่อเดือนประมาณ 6 หมื่นกว่าเกือบ 7 หมื่น ซึ่งขึ้นมา 2 หมื่นจากที่เดิม”
ก่อนทำสัญญาทางเซลล์ได้แจ้งให้ปรับปรุงร้านใหม่ ค่าปรับปรุง 6 แสนเนี่ย ยังไม่คืนทุนเลย เดี๋ยวสิ้นปีนี้ก่อนออกก็ต้องรื้อถอนทิ้งหมดให้อยู่ในสภาพห้องโล่ง ก็เสียดายเหมือนกัน (ที่ต้องปิดตัว) ยิ่งช่วงเดือนก่อนที่มีโครงการคนละครึ่งร้านกลับมาขายดีอีก แต่ว่าถ้าเรายังยื้ออยู่ต่อ พอหมดคนละครึ่งก็ต้องกลับมาลูปเดิม ซึ่งก็ต้องทนควักเนื้ออีก”
“ก่อนหน้านี้เซลล์ก็ให้สัญญานะว่าหลังจากรีโนเวทแล้วจะทำการตลาดเพื่อเรียกคนมามากขึ้น ซึ่งไม่จริงเลย ไม่มีเลย กลายเป็นว่ากลับทับถม ซ้ำเติมด้วยการที่วันพฤหัสเอาตลาดนัดมาลง ตลาดนัดมาลงปุ๊บ ร้านอาหารขายไม่ได้เลย ทุกคน (ทุกร้าน) ก็บ่นกัน”
ด้วยปัจจัยทั้งหลายดังกล่าว ทำให้ร้านต้องเดือดร้อนหนักจากการขาดทุน ปี 2567 ที่ผ่านมาทางร้านจึงได้พยายามยื่นหนังสือเพื่อขอลดค่าเช่าจากจุฬาฯ แต่ก็ไม่เป็นผล
“จุดแตกหักคือ เราส่งหนังสือให้จุฬาฯ แต่เขาไม่รับพิจารณา ซึ่งก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าผู้บริหารได้อ่านหนังสือฉบับนั้นหรือเปล่า
จุฬาฯ บริหารงานแบบบนลงล่าง เราเรียกร้องกลับไปไม่ได้เลย ข้อเรียกร้องอะไรของเรามักโดนตีกลับ คุยกันไม่ได้ ถ้าเป็นบริษัททั่วๆ ไป ถ้าเรามีปัญหาก็ต่อรองกันได้ อันนี้ต่อรองไม่ได้เลย เขากำหนดมาให้ตายตัว มันไม่มียืดหยุ่นหรืออะไรเลย”
นอกจากนี้ ปัจจุบันหลายร้านรวมตัวกันลงชื่อเพื่อขอไม่ให้ขึ้นค่าเช่าซึ่งก็ไม่ทราบว่าผลออกมาเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของ Curry Boy กลับต่างออกไป “สำหรับป้าถึงไม่ขึ้น ก็ไม่ไหว เรทนี้ไม่ไหวอยู่แล้ว รวมค่าไฟอีก ค่าแก๊ส ค่าน้ำ ค่าจ้างลูกน้อง รวมแล้วค่าใช้จ่ายสองแสนกว่าต่อเดือน รายได้ควรจะได้วันละหมื่นกว่าขึ้นไปถึงจะอยู่ได้สบายหน่อย แต่มันไม่ถึงไง”
“เราเองก็ไม่อยากผลักภาระไปให้ผู้บริโภค อย่างที่บอกว่าร้านเราเน้นราคาถูก จะให้ขึ้นเป็นจานละ 200 เนี่ย ไปกินในห้างไม่ดีกว่าเหรอ … ก็ไม่รู้ว่าร้านอื่นจะทนได้อีกนานแค่ไหนถ้ายังมีนโยบายแบบนี้”
คุณหน่อยยังได้เสนอแนะให้จุฬาฯ หันมารับฟังความเห็นของผู้เช่ามากขึ้น และนำไปปรับปรุงนโยบายให้มีความเอื้อเฟื้อต่อผู้ประกอบการรายย่อย เพื่อสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาพื้นที่และชุมชนอย่างยั่งยืน
“จุฬาฯ เนี่ยเป็นสถาบันที่เป็นเสาหลักของประเทศ เขาก็ควรจะช่วยส่งเสริมสังคม เพราะ SMEs รายย่อยอย่างเราไปสู้รายใหญ่ไม่ได้อยู่แล้ว แล้วเขาจะมารีดเลือดกับปูอย่างนี้มันก็ไม่ถูก
“อยากให้เขาได้ลงมาดูสภาพความเป็นจริงบ้าง ป้ายังคิดไม่ออกเลยว่าทำไมเขาถึงคิดค่าเช่ามาเรทนี้ได้กับสถานที่ตรงนี้ ซึ่งไม่ได้ขายได้ทั้งปี มันเงียบมากช่วงปิดเทอม เริ่มตั้งแต่เดือนเมษา พฤษภา มิถุนา
อย่างแถวบรรทัดทองที่ว่าแย่ๆ ค่าเช่าเดือนละ 5 หมื่น เขาไม่มาดูตรงนี้ล่ะ แย่กว่าอีก อย่างน้อยตรงนั้นก็มีนักท่องเที่ยว ขายได้ทุกวัน ของเราเสาร์อาทิตย์เงียบแล้ว วันหยุดเงียบแล้ว วันหยุดยาวเนี่ยป้าเกลียดที่สุด เพราะมันไม่มีทั้งออฟฟิศ ไม่มีทั้งเด็กมาเรียน บางวันขายได้ไม่ถึงพัน เขาไม่ได้มามองเลยว่าค่าเช่าที่เหมาะสมควรเป็นเท่าไหร่ ถ้าไปถามร้านอื่นก็คงบอกเหมือนกันหมดว่าแพง”
ด้านความเห็นจากนิสิตเก่าจุฬาฯ เองก็มองว่า
“ส่วนตัวคิดว่าถ้ามหาวิทยาลัยมีนโยบายที่เป็นมิตรกับร้านค้าในชุมชนมากกว่านี้ก็จะดี มิฉะนั้นก็จะไม่ต่างจากบริษัทค้ากำไรที่เน้นปั่นราคาที่ดินไปเรื่อยจนเกิดฟองสบู่และไม่มีใครสามารถเข้าถึงราคานั้นได้ในที่สุด”
“สิ่งที่เกิดขึ้นกับร้าน Curry Boy ก็เป็นอีกหนึ่งในหลายๆ ครั้งที่จุฬาฯ มุ่งเน้นแต่การแสวงหาผลกำไร โดยไม่สนว่าผู้ค่ารายย่อยที่อยู่กับพื้นที่นี้มานานจะสามารถอยู่ต่อได้หรือไม่ จุฬาฯ ไม่แคร์ และไม่มีวิสัยทัศน์ว่าควรสนับสนุนร้านเหล่านี้เพราะช่วยสร้างอัตลักษณ์ให้กับสามย่าน ถือเป็นความตั้งใจทางนโยบายที่ปล่อยให้ผู้เช่ารายย่อยค่อยๆ ทยอยเจ๊ง เพราะรับค่าเช่าและค่าครองชีพไม่ไหว เรื่องนี้ควรจะเป็นสิ่งที่แก้ไขได้ด้วยนโยบายจากผู้บริหารจุฬาฯ แต่เราก็ไม่เคยเห็นวิสัยทัศน์เหล่านั้น”
ทั้งนี้ ในอนาคต คุณหน่อยกล่าวว่าคงไม่ได้มีการสานต่อกิจการแล้วแต่อย่างใด เนื่องจากอายุที่มากขึ้นของตนเองและไม่มีทายาทให้ส่งต่อ จึงอาจมีเพียงการกลับมาขายในรูปแบบอื่นเท่านั้นแต่จะขอหลีกเลี่ยงพื้นที่ของจุฬา
และสุดท้าย “ฝากบอกทางจุฬาฯ ว่าให้ลงมาดูความเป็นจริงบ้าง ผู้ประกอบการรายย่อยทั้งหลายจะตายหมดแล้ว อย่างน้อยช่วยหน่อยช่วงปิดเทอม พอให้เป็นกำลังใจ แต่นี่ไม่มีเลย เราเลยเลิกแล้ว ถอดใจแล้ว”
สถานการณ์ของ Curry Boy คือสิ่งที่ผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนไม่น้อยในพื้นที่ของจุฬาฯ กำลังประสบ และยังต้องเผชิญต่อไปในภายภาคหน้าหากจุฬาฯ ไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้ส่งเสียง ซึ่งในที่สุดจะนำไปสู่การตั้งคำถามที่ว่า บทบาทที่แท้จริงของการเป็นสถาบันการศึกษาคืออะไรกันแน่
เนื้อหา: นกสีชมพูตัวนั้น
#สามย่าน #จุฬา #บรรทัดทอง
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1494555286010639&set=a.480507570748754