
The101.world
8 hours ago
·
หากต้องเลือกสักหนึ่งเรื่องที่น่าผิดหวังและน่าเสียใจอย่างที่สุดในปี 2568 เรื่องนั้นคือ ‘สงคราม’ ระหว่างไทยและกัมพูชา
.
ผิดหวังตั้งแต่เหตุของสงคราม – เราทะเลาะกับกัมพูชาเรื่องเส้นเขตแดนและอธิปไตยของชาติ ซึ่งมีปัญหากันมาเป็นร้อยปี และพัฒนาเครื่องมือในการแก้ปัญหาอย่าง ‘อารยะ’ มาเป็นลำดับ เทคโนโลยีแผนที่และดาวเทียมก็ล้ำสมัยเสียจนทำให้ข้อถกเถียงที่เคยเบลอชัดขึ้นกว่าเดิมมาก แต่สุดท้ายทั้งสองประเทศกลับเลือกใช้วิธีการที่ ‘อนารยะ’ ที่สุดในการแก้ปัญหา (ซึ่งไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้จริง)
.
ตลกร้ายคือ 10 ปีที่แล้ว เรายังบ้าเห่อ ‘ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน’ กันทั้งภูมิภาคอยู่เลย วันนี้หันปืน ยิงจรวด ทิ้งระเบิดใส่กันเสียอย่างนั้น
.
ผิดหวังต่อมาคือชนวนเหตุของการปะทะ ทุกวันนี้ยังไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนด้วยซ้ำว่า การปะทะกันรอบนี้เกิดขึ้นด้วยเหตุผลอะไรกันแน่ บ้างก็ว่าเป็นชนชั้นนำของทั้งสองประเทศขัดผลประโยชน์กัน บ้างก็ว่ากัมพูชา ‘เหลี่ยม’ อยากเอาข้อพิพาทชายแดนเข้าสู่ประชาคมระหว่างประเทศ บ้างก็ว่ากัมพูชาโกรธเพราะไทยปราบสแกมเมอร์หนัก บ้างก็ว่ากัมพูชาหวังกระแสชาตินิยมเพื่อแก้ปัญหาการเมืองภายในประเทศ พอมาการรบระลอกสอง ฝั่งไทยก็โดนตั้งคำถามว่าหวังผลทางการเมืองเช่นกัน
.
ผิดหวังอีกอย่างคือ เมื่อสงครามเกิดขึ้นแล้ว กระแสชาตินิยมโหมกระหน่ำ จนกลายเป็นเรื่องเล่าหลักของสังคมไทย (narrative) ย้ำว่า ความโกรธแค้นต่อความสูญเสียเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับพลเรือน แต่ถึงตรงนี้ก็ต้องกล้ายืนยันว่า การคลั่งชาติ-กระหายสงคราม หรือความคิดประเภทที่ว่าจะกำจัดขีดความสามารถของกองทัพกัมพูชา ไปจนถึงระบอบฮุนเซน เป็นเรื่องที่ควรต้องกระตุกเตือนกันแบบตรงไปตรงมา
.
ผิดหวังสุดท้ายคือ แม้จนถึงวันที่เราเดินเข้าสู่สนามเลือกตั้ง กระแสชาตินิยมที่นำโดยกองทัพก็เป็นตัวกำหนดวิธีคิดและนโยบายในการเลือกตั้งไปแล้ว จะเห็นว่า แม้จะเริ่มมีการแสดงวิสัยทัศน์และดีเบตไปพอสมควร กลับไม่มีพรรคการเมืองไหนเลยที่กล้ายืนยันอย่างเต็มปากเต็มคำว่า ‘สันติภาพ’ และ ‘ความเท่าเทียม’ ระหว่างรัฐคือ คำตอบของความขัดแย้งครั้งนี้
.
ทุกพรรคการเมืองล้วนอยู่บนเรื่องเล่าที่มองว่า ประเทศไทยใหญ่กว่าและเป็นคนคุมเกมทั้งสิ้น ในขณะเดียวกันก็พร้อมใจพูดถึงแนวทาง ‘โลกล้อมกัมพูชา’ แต่กลับไม่มีใครพูดว่า การรบแบบที่กองทัพไทยทำอยู่เป็นความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์ และไม่อาจนำพาประเทศไทยไปไหนได้ไกลในเวทีโลก
.
ไม่มีใครวิพากษ์แนวคิดการสร้างรั้วระหว่างไทยและกัมพูชา แต่กลับแข่งกันว่าใครจะสร้างรั้วได้ดีกว่า ที่น่าผิดหวัง เพราะหลายคนในที่นี้น่าจะ (เคย) เชื่อและเห็นดีด้วยกับแนวคิดโลกเสรีนิยมที่มีรูปธรรมคือ โลกไร้พรมแดน เขตแดนเป็นเรื่องสมมติ การเชื่อมต่อ (connectivity) และพหุวัฒนธรรม คือที่มาของพลังขับเคลื่อนสังคม ฯลฯ ถ้าให้เดาบางคนอาจจะเคยวิจารณ์แนวคิดการสร้างแพงระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโกของทรัมป์ว่าเป็นความคิดที่ ‘ไร้เหตุผล’ ด้วยซ้ำ
.
ในดีเบต หลายคนยกย่อง สดุดี และเห็นใจชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบในฐานะ ‘ผู้เสียสละ’ แต่ไม่มีใครพูดเรื่องการเยียวยาและฟื้นฟูจากภาวะสงครามอย่างเป็นรูปธรรมและเพียงพอ ไม่ต้องพูดถึง ทิศทางชีวิตและความเป็นอยู่หลังสงครามจบลง อย่าลืมว่า พวกเขาคือคนที่ต้องอยู่บนพื้นที่ชายแดนต่อไป ถ้ามีรั้ว หรือกำแพง พวกเขาคือคนที่ต้องอยู่กับสิ่งเหล่านี้
.
ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่า เมื่อสถานการณ์การสู้รบเริ่มคลี่คลายลงตามข้อตกลงหยุดยิงที่ทั้งสองประเทศตกลงกันได้ในการประชุม GBC เราจะได้เห็นพรรคการเมืองเริ่มนำเสนอแนวคิดและนโยบายที่ถอยห่างจากแนวทางชาตินิยม-ทหารนิยมมากขึ้น
.
ถ้าไม่มีเลยคงต้องยอมรับว่า ในการต่อสู้เชิงความคิดและวาทกรรม เราอาจไม่มีพรรคการเมืองที่ (กล้า) พูดเรื่องสันติภาพแบบจริงจัง
.
ซึ่งเป็นเรื่องน่าผิดหวังอย่างที่สุด
.
สมคิด พุทธศรี
บรรณาธิการอำนวยการ The101.world
—
อ่านผลงานใหม่ทั้งหมดในสัปดาห์ที่ผ่านมาของวันโอวันและ Subscribe รับ Newsletter ได้ที่: https://mailchi.mp/75f94d081da6/101-this-week-12873002—
101 SUPPORT — ร่วมซัพพอร์ต ร่วมส่งพลัง ร่วมสร้างสรรค์สื่อ
ร่วมสนับสนุน ‘วันโอวัน’ ได้ที่: https://www.the101.world/101supporthttps://www.facebook.com/photo?fbid=1412248450269957&set=a.523964959098315