
KruBen WarHistory
5 hours ago
·
ชาตินิยม สมน้ำหน้า!!!
ถ้าจะให้ผมเขียนอธิบายเรื่องสงครามชิงหมู่เกาะฟอคแลนด์ให้เข้าใจจริงๆ ผมว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องของเกาะเล็กๆ กลางมหาสมุทรแอตแลนติกใต้ ไม่ใช่แค่เรื่องการยกพลขึ้นบกหรือการยิงกันกลางทะเลครับ แต่มันคือเรื่องของรัฐบาลเผด็จการที่กำลังจะหมดความชอบธรรม เรื่องของเศรษฐกิจที่พัง เรื่องของความกลัวการลุกขึ้นต่อต้านของประชาชน และเรื่องของการหยิบเอาคำว่า “ชาตินิยม” มาใช้แบบผิดที่ผิดทาง ผมจะเล่าให้ฟังแบบคนค่อยๆ นั่งคิด ค่อยๆ มองย้อนกลับไป ว่าสุดท้ายแล้วอะไรพาอาร์เจนตินาไปชนกำแพงอังกฤษอย่างจังในปี 1982 ครับ
.
.
ก่อนจะไปถึงฟอคแลนด์ ผมว่าต้องมองอาร์เจนตินาในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ก่อนครับ ตอนนั้นประเทศนี้อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหารเต็มรูปแบบ เป็นเผด็จการที่อ้างความมั่นคงของชาติเป็นหลัก แต่ในความเป็นจริง เศรษฐกิจกำลังทรุดหนัก เงินเฟ้อสูง หนี้ต่างประเทศพอกพูน คนตกงานมากขึ้นเรื่อยๆ และที่สำคัญคือประชาชนเริ่มไม่กลัวรัฐบาลทหารเหมือนเดิมแล้ว การอุ้มหาย การปราบปราม ที่เคยใช้ได้ผล กลับกลายเป็นดาบสองคม เพราะยิ่งทำ ยิ่งมีแรงต่อต้านมากขึ้น
.
.
จุดนี้เองที่ผู้นำทหารอาร์เจนตินาเริ่มคิดหาทางหนีทีไล่ครับ พวกเขารู้ดีว่าถ้ายังปล่อยให้สภาพบ้านเมืองเป็นแบบนี้ต่อไป การล่มสลายของรัฐบาลเป็นเรื่องของเวลา ทางออกแบบเผด็จการคลาสสิกก็คือ “การสร้างศัตรูภายนอก และปลุกกระแสชาตินิยมขึ้นมา” ให้คนลืมปัญหาปากท้องไปก่อน ซึ่งเกาะฟอคแลนด์ หรือที่อาร์เจนตินาเรียกว่า “มัลวินัส” ก็ถูกหยิบขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์ทันทีครับ
.
.
เกาะฟอคแลนด์เป็นเรื่องค้างคามานานในสังคมอาร์เจนตินาอยู่แล้วครับ โรงเรียนในอาร์เจนตินาสอนว่าเกาะนี้ถูกอังกฤษยึดไปอย่างไม่เป็นธรรม แผนที่ในตำราก็วาดเกาะนี้รวมเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเสมอ และนั่นเองที่ทำให้ รัฐบาลทหารอ่านเกมตรงนี้ขาด พวกเขาเชื่อจริงๆ ว่าถ้ายกทัพไปยึดเกาะ คนทั้งประเทศจะออกมาปรบมือ ลืมเรื่องเศรษฐกิจ ลืมเรื่องการปราบปราม และหันมารักรัฐบาลอีกครั้ง แต่ปัญหาคือการตัดสินใจนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนการประเมินกำลังอย่างรอบคอบเลย ผู้นำกองทัพอาร์เจนตินาดูแคลนปฏิกิริยาของอังกฤษอย่างร้ายแรง พวกเขาคิดว่าอังกฤษอยู่ไกล และตัวเกาะเองก็อยู่แสนไกลจากอังกฤษ คนอังกฤษคงไม่อยากเสียเลือดเนื้อเพื่อเกาะเล็กๆ แห่งนี้ มันเป็นการอ่านสถานการณ์แบบเอาความหวังมานำเหตุผลเต็มๆ ครับ
.
.
ในขณะที่ฝั่งอังกฤษเอง ผมต้องบอกว่ามันกลับตรงกันข้ามเลยครับ รัฐบาลมาร์กาเรต แธตเชอร์เองก็เผชิญแรงกดดันทางการเมืองในประเทศเหมือนกัน การเสียเกาะฟอคแลนด์ไปโดยไม่ตอบโต้ จะเท่ากับการยอมรับความอ่อนแอในสายตาชาวอังกฤษและชาวโลก และจุดนี้เองที่ทำให้การปะทะกันกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ ไม่ใช่แค่ข้อพิพาททางการทูตอีกต่อไป
.
.
เมื่อกองทัพอาร์เจนตินายกพลขึ้นบกที่เกาะฟอคแลนด์ในเดือนเมษายน 1982 บอกได้เลยว่าบรรยากาศในประเทศอาร์เจนตินาตอนนั้นเหมือนรัฐบาลทหารได้ของขวัญชิ้นใหญ่แก่ประชาชนครับ ผู้คนออกมาโบกธง ร้องเพลงชาติ หนังสือพิมพ์พาดหัวคำว่าชัยชนะ รัฐบาลประกาศว่าประเทศได้ทวงคืนดินแดนศักดิ์สิทธิ์กลับได้มาแล้ว ช่วงเวลานั้นเองที่ผู้นำทหารหลงเชื่อภาพลวงตาที่ตัวเองสร้างขึ้น พวกเขาคิดว่าความนิยมที่พุ่งสูงแบบฉับพลันคือความชอบธรรมที่แท้จริง ทั้งที่มันเป็นเพียงอารมณ์ชั่วคราวจากกระแสชาตินิยมครับ
.
.
แต่ในเวลาเดียวกัน ความพร้อมทางทหารของอาร์เจนตินาไม่ได้สอดคล้องกับความมั่นใจเลยครับ ทหารจำนวนมากเป็นทหารเกณฑ์ การฝึกจำกัด อุปกรณ์ขาดแคลน และการส่งกำลังบำรุงไปยังเกาะที่ห่างไกลนั้นเต็มไปด้วยปัญหา ผู้นำระดับสูงในบัวโนสไอเรสอาจพูดถึงเกียรติภูมิของชาติได้สวยหรู แต่คนที่ต้องไปยืนกลางลมหนาว ฝน และโคลนคือทหารหนุ่มที่แทบไม่เข้าใจว่าตัวเองกำลังจะเผชิญอะไรครับ
.
.
ฝั่งอังกฤษตอบโต้เร็วและเด็ดขาดกว่าที่อาร์เจนตินาคาดไว้มากครับ การจัดกองเรือเฉพาะกิจข้ามมหาสมุทรหลายพันกิโลเมตรไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่รัฐบาลอังกฤษเลือกทำทันที ผมคิดว่าตรงนี้สะท้อนความแตกต่างของการใช้ชาตินิยมอย่างชัดเจน อังกฤษใช้มันเพื่อรวมพลังประเทศในยามวิกฤต แต่ไม่ได้หลอกตัวเองว่าศึกนี้มันจะง่ายนะ แต่ในส่วนของอาร์เจนตินากลับใช้ความเป็นชาตินิยมเพื่อกลบปัญหาภายใน และเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อของตัวเองมากเกินไป
.
.
เมื่อการสู้รบเริ่มขึ้น ความเป็นจริงก็เริ่มตบหน้ารัฐบาลทหารอาร์เจนตินาอย่างแรง เครื่องบินถูกยิงตก เรือรบถูกจม การสูญเสียเกิดขึ้นต่อเนื่อง แต่ข่าวจากแนวหน้าที่ส่งกลับมาถูกกรอง ถูกปรุงแต่ง เพื่อไม่ให้กระทบขวัญประชาชน ผู้นำยังคงพูดถึงชัยชนะ ทั้งที่สถานการณ์จริงกำลังเลวร้ายลงทุกวัน การตัดขาดตัวเองจากความจริงนี่แหละครับ คือหัวใจของความผิดพลาด เมื่อรัฐบาลเริ่มเชื่อในเรื่องเล่าที่ตัวเองสร้าง มันก็ไม่มีใครกล้าพูดความจริง ไม่มีใครกล้าบอกว่ากองทัพกำลังเสียเปรียบ ไม่มีใครกล้าท้วงว่าการทำสงครามกับอังกฤษไม่ใช่เกมการเมืองภายในประเทศ แต่เป็นการเดิมพันชีวิตคนจริงๆ
.
.
ในสนามรบที่ฟอคแลนด์ ความแตกต่างด้านการจัดการและประสบการณ์ยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ ทหารอังกฤษมีระบบบัญชาการที่ชัดเจน การสนับสนุนจากกองทัพเรือและอากาศที่เป็นระบบ ขณะที่ทหารอาร์เจนตินาหลายหน่วยขาดทั้งอาหาร เสื้อกันหนาว และกระสุน มันเป็นภาพสะท้อนตรงไปตรงมาของรัฐที่ใช้ทรัพยากรไปกับการรักษาอำนาจ มากกว่าการเตรียมพร้อมปกป้องประเทศจริงๆ
.
.
เมื่อความพ่ายแพ้เริ่มหลีกเลี่ยงไม่ได้ บรรยากาศในอาร์เจนตินาเปลี่ยนเร็วมาก จากเสียงเชียร์ กลายเป็นความเงียบ จากความภูมิใจ กลายเป็นความสงสัย ผู้คนเริ่มตั้งคำถามว่าทำไมลูกหลานของพวกเขาต้องไปตายเพื่อการตัดสินใจที่ประมาทของคนไม่กี่คนบนยอดสูงสุดของอำนาจ วันที่อาร์เจนตินายอมจำนนในเดือนมิถุนายน 1982 มันไม่ใช่แค่การแพ้สงครามกับอังกฤษ แต่มันคือการพังทลายของเรื่องเล่าชาตินิยมที่รัฐบาลทหารสร้างขึ้นทั้งหมดครับ คำพูดเรื่องเกียรติยศชาติไม่สามารถอธิบายศพทหารที่กลับบ้าน และความอับอายบนเวทีโลกได้อีกต่อไป
.
.
หลังสงคราม ความโกรธของสังคมอาร์เจนตินาระเบิดออกมาอย่างที่รัฐบาลทหารควบคุมไม่อยู่ ผู้คนออกมาประท้วงอย่างเปิดเผย ความกลัวที่เคยมีต่อรัฐค่อยๆ หายไป สงครามฟอคแลนด์กลายเป็นจุดที่ประชาชนเห็นชัดว่ารัฐบาลไม่ได้ปกป้องชาติ แต่ใช้ชาติเป็นข้ออ้างในการปกป้องอำนาจของตัวเอง ในเวลาไม่นาน รัฐบาลเผด็จการอาร์เจนตินาก็ล่มสลายลง ผู้นำทหารถูกบังคับให้ถอยออกจากอำนาจ เปิดทางสู่การเลือกตั้งและการกลับคืนของระบอบประชาธิปไตย ความพ่ายแพ้ทางทหารครั้งนี้ กลับกลายเป็นชัยชนะทางการเมืองของประชาชนในระยะยาวอย่างที่ไม่มีใครตั้งใจไว้
.
.
หลังการล่มสลายของรัฐบาลทหาร สังคมอาร์เจนตินาเริ่มมองสงครามฟอคแลนด์ด้วยสายตาที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงครับ จากที่เคยถูกสอนให้เชื่อว่าเป็นสงครามแห่งศักดิ์ศรี กลับกลายเป็นคำถามว่าทำไมรัฐถึงกล้าพาประเทศไปเสี่ยงเพียงเพื่อยืดอายุอำนาจของตัวเอง ครอบครัวทหารที่เสียชีวิตเริ่มออกมาเล่าเรื่องจริงจากแนวหน้า เรื่องความหนาว ความหิว และความสับสนของคำสั่ง ความจริงเหล่านี้มันทำลายภาพลักษณ์ชาตินิยมแบบปลอมๆ ได้รุนแรงกว่าคำวิจารณ์ทางวิชาการใดๆ
.
.
หลังสงคราม การพูดถึงฟอคแลนด์ในอาร์เจนตินาเต็มไปด้วยความขมขื่นครับ ไม่ใช่ความภูมิใจแบบที่รัฐบาลทหารเคยพยายามขาย ผู้คนเริ่มแยกให้ออกระหว่างความรักชาติ กับการถูกหลอกให้ตายเพื่อเกมการเมือง ความแตกต่างนี้สำคัญมาก เพราะมันทำให้สังคมเรียนรู้ว่าชาตินิยมไม่ใช่ของศักดิ์สิทธิ์ หากอยู่ในมือของคนที่ไม่รับผิดชอบ มันอาจกลายเป็นอาวุธทำร้ายประชาชนของตัวเอง
.
.
ในระดับสถาบันทหาร กองทัพอาร์เจนตินาเองก็ได้รับบาดแผลลึกจากสงครามครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การสูญเสียกำลังพลหรือยุทโธปกรณ์ แต่เป็นความเชื่อถือจากสังคมที่หายไป ผู้คนไม่มองกองทัพว่าเป็นผู้พิทักษ์ชาติอีกต่อไป แต่เป็นกลุ่มที่เคยพาประเทศไปสู่หายนะ ความรู้สึกนี้ฝังอยู่ในความทรงจำร่วมของชาติไปอีกนาน ถ้ามองย้อนกลับไป เห็นชัดว่าสงครามฟอคแลนด์คือกรณีศึกษาคลาสสิกของการใช้นโยบายชาตินิยมผิดพลาดครับ ผู้นำทหารเอาความรู้สึกของประชาชนมาเดิมพัน โดยไม่ประเมินต้นทุนที่แท้จริง ทั้งทางทหาร การเมือง และชีวิตมนุษย์ เมื่อผลออกมาเลวร้าย ก็ไม่มีทางรับผิดชอบได้อย่างแท้จริง เพราะสิ่งที่สูญเสียไปมันย้อนกลับมาไม่ได้แล้ว
.
.
สงครามครั้งนี้สะท้อนความแตกต่างระหว่างรัฐที่มีระบบตรวจสอบ กับรัฐที่อำนาจรวมศูนย์อย่างชัดเจนครับ อังกฤษเองก็มีแรงกดดันทางการเมือง แต่การตัดสินใจทำสงครามผ่านกระบวนการถกเถียงและรับผิดชอบต่อสาธารณะ ขณะที่อาร์เจนตินา การตัดสินใจอยู่ในมือคนไม่กี่คน และประชาชนถูกขอให้เชื่อโดยไม่มีสิทธิถาม หลังจากกลับสู่ประชาธิปไตย อาร์เจนตินาพยายามอย่างหนักที่จะจัดการกับมรดกของสงครามและเผด็จการ ทั้งการสอบสวนอาชญากรรมของรัฐ การฟื้นฟูศักดิ์ศรีของผู้สูญหาย และการยอมรับความจริงที่เจ็บปวด ฟอคแลนด์จึงไม่ใช่แค่เรื่องดินแดนอีกต่อไป แต่กลายเป็นบทเรียนทางศีลธรรมของประเทศครับ
.
.
สงครามนี้ยังสอนอีกอย่าง คือประชาชนไม่ควรมอบอำนาจแบบไร้เงื่อนไขให้ใครก็ตามที่อ้างคำว่าชาติครับ เพราะเมื่อไม่มีการตรวจสอบ คำว่าชาตินิยมอาจกลายเป็นเพียงฉากบังหน้าของความทะเยอทะยานส่วนตัว และคนที่ต้องจ่ายราคาสูงสุดก็มักไม่ใช่ผู้นำเหล่านั้นเลย สำหรับทหารผ่านศึกฟอคแลนด์ พวกเขาเป็นเหยื่อซ้อนเหยื่อครับ นั่นคือ “เหยื่อของสงคราม และเหยื่อของการตัดสินใจทางการเมืองที่ผิดพลาด” หลายคนกลับบ้านมาพร้อมบาดแผลทั้งกายและใจ โดยไม่มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลว่าทำไมสิ่งนี้ต้องเกิดขึ้น ความเงียบของรัฐในช่วงหลังสงครามยิ่งทำให้บาดแผลนั้นลึกขึ้นไปอีก เมื่อเวลาผ่านไป ฟอคแลนด์จึงไม่ใช่แค่บทเรียนของอาร์เจนตินา แต่เป็นบทเรียนสากล ว่าการใช้สงครามเพื่อแก้ปัญหาความชอบธรรมทางการเมืองภายใน มักลงเอยด้วยความพินาศมากกว่าความมั่นคง และประวัติศาสตร์ก็มักจะตัดสินผู้นำเหล่านั้นอย่างโหดร้ายเสมอ
.
.
ถ้าจะสรุปเรื่องนี้ในมุมของผม สงครามฟอคแลนด์ไม่ใช่แค่เรื่องของอาร์เจนตินากับอังกฤษ แต่เป็นเรื่องเตือนใจว่าการใช้นโยบายชาตินิยมอย่างขาดสติ สามารถพาประเทศทั้งประเทศไปสู่ความพินาศได้อย่างไร รัฐบาลทหารอาร์เจนตินาล่มสลายเพราะสงครามที่ตัวเองก่อ แต่สิ่งที่หลงเหลืออยู่คือบทเรียนราคาแพงที่โลกไม่ควรลืม ว่าความรักชาติที่แท้จริง ต้องเริ่มจากการไม่หลอกประชาชนของตัวเองก่อนเสมอครับ
ภาพประกอบ นายพลเลโอปอลโด กัลติเยรี ผู้นำเผด็จการของอาร์เจนตินา
https://www.facebook.com/photo/?fbid=955346633666114&set=a.162282586305860