
Mirror Thailand
14 hours ago
·
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ณ ตอนนี้กระแสชาตินิยมในไทยกำลังโหมรุนแรงจากความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา และดูเหมือนว่าศัตรูของชาตินิยมในขณะนี้จะไม่ใช่เพียงชาติคู่ขัดแย้ง แต่ยังเป็นนักสิทธิมนุษยชนอีกด้วย
.
แน่นอนว่าในมุมของสิทธิมนุษยชน เราสามารถตั้งคำถามได้มากมายต่อรัฐกัมพูชา ตั้งแต่การกดขี่คนในชาติตัวเอง ปลุกปั่นกระแสชาตินิยมในประเทศตนและผลักให้คนไทยเป็นตัวร้ายในสายตาคนกัมพูชา จนถึงการเอื้อประโยชน์ให้กับแก๊งสแกมเมอร์ที่กดขี่และละเมิดสิทธิผู้คนหลายเชื้อชาติ และขณะเดียวกัน ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่สามารถตั้งคำถามกับรัฐไทยรวมถึงวิธีการของไทยในการตอบโต้ต่อความขัดแย้งครั้งนี้ เช่นการให้เอกชนเข้าไปในพื้นที่ประกาศกฎอัยการศึก ที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นหลักในการอยู่ร่วมกันของสากลโลกและเป็นการปกป้องสิทธิของ ‘มนุษย์ทุกคน’ โดยไม่แบ่งแยก
.
และนักสิทธิมนุษยชนบางส่วน เช่นอังคณา นีละไพจิตร และสุณัย ผาสุข ก็ได้ออกมายืนยันถึงหลักการของสิทธิมนุษยชน หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ผู้คนจำนวนมากและแม้แต่สื่อกระแสหลักกลับมองว่าการเรียกร้องสิทธิมนุษยชนนั้นไม่ต่างจาก “มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ” เพราะไม่ยอมโจมตี ‘ศัตรู’ หรือถึงขั้นมองว่าพวกเขาเป็น “คนไทยหัวใจเขมร” ที่ขายชาติทำเพื่อปกป้อง ‘ศัตรู’ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นความเข้าใจสิทธิมนุษยชนผิดไปมากเพราะที่ผ่านมาการเรียกร้องสิทธิให้กับคนทั้งในไทยและนอกไทยก็เกิดขึ้นตลอดมาไม่ได้แบ่งแยกอยู่แล้ว อีกทั้งการรักชาติก็สามารถมาในรูปแบบการเรียกร้องให้ชาติเคารพหลักการของมนุษยชนเพื่ออยู่ร่วมกับนานาประเทศได้อย่างทัดเทียม
.
หากแต่กระแสชาตินิยมครั้งนี้ได้ผลักให้ผู้เรียกร้องสิทธิมนุษยชนกลายเป็นฝ่ายตรงข้าม ตัวของอังคณาและสุณัยเองถูกข่มขู่ คุกคาม และต้องเผชิญกระแสเกลียดชังมากมายทางออนไลน์ จนต้องร้องขอการยืนยันความปลอดภัยจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
.
โอกาสนี้เราจึงอยากลองชวนไปดูกันว่า อะไรบ้างที่ทำให้แนวคิดชาตินิยมมักไปด้วยกันไม่ได้กับหลักสิทธิมนุษยชน เพราะสิ่งนี้กำลังชัดเจนขึ้นในหลายๆ ประเทศไม่ใช่เพียงประเทศไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าจับตาและน่ากังวลทีเดียวกับทิศทางของโลกในอนาคต
.
1. เพราะจุดศูนย์กลางต่างกัน ชาตินิยมวาง ‘ชาติ’ เป็นจุดศูนย์กลาง สิทธิมนุษยชนวาง ‘มนุษย์’ เป็นศูนย์กลาง
.
ชาตินิยมมองว่าชาติคือสิ่งสูงสุด ทุกอย่างต้องทำเพื่อผลประโยชน์ของชาติหรืออำนาจหลักของชาติ แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตหรือศักดิ์ศรีของคนบางกลุ่มก็ตาม ขณะที่สิทธิมนุษยชนยืนยันว่า ‘มนุษย์ทุกคน’ คือศูนย์กลางของคุณค่า ไม่ว่ามาจากชาติ ศาสนา หรือเชื้อชาติใด การเคารพศักดิ์ศรีของมนุษย์จึงต้องมาก่อนผลประโยชน์ทางการเมืองหรือพรมแดนของรัฐ
.
2. เพราะชาตินิยมให้ความสำคัญกับการ ‘ขีดเส้นพรมแดน’ ขณะที่สิทธิมนุษยชนนั้น ‘ข้ามเส้นพรมแดน’
.
ชาตินิยมสร้างเส้นแบ่งระหว่าง ‘พวกเรา’ กับ ‘พวกเขา’ ระหว่างคนในชาติและคนนอกชาติซึ่งอิงกับพื้นที่กำเนิดซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสามารถเลือกได้ แต่สิทธิมนุษยชนปฏิเสธเส้นแบ่งนั้น เพราะศักดิ์ศรีความเป็นคนไม่ได้ขึ้นอยู่กับพรมแดน ไม่ว่าความเจ็บปวด ความสูญเสีย หรือการถูกละเมิดจะเกิดขึ้นที่ไหน มันคือเรื่องของมนุษยชาติทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องของประเทศใดประเทศหนึ่ง ซึ่งไม่ตอบโจทย์กระแสชาตินิยมอย่างรุนแรง
.
3. เพราะชาตินิยมต้องการความเป็น ‘เอกภาพ’ ขณะที่สิทธิมนุษยชนสนับสนุน ‘ความเป็นปัจเจก’
.
ชาตินิยมเรียกร้องให้ทุกคนคิดเหมือนกัน พูดเหมือนกัน รักและเกลียดสิ่งเดียวกัน เพื่อสร้าง ‘เอกภาพของชาติ’ แต่สิทธิมนุษยชนยืนอยู่บนหลักว่า ความเป็นปัจเจกที่หลากหลายคือรากฐานของสังคมเสรี มนุษย์มีสิทธิที่จะคิดต่าง พูดต่าง และใช้ชีวิตในแบบของตนได้โดยไม่ถูกตีตราว่า “ไม่รักชาติ” การปกป้องเสรีภาพของปัจเจกจึงไม่ใช่การทำลายชาติ แต่คือการทำให้ชาติเข้มแข็งด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน
.
4. เพราะชาตินิยมมักกำหนด ‘ศัตรูของชาติ’ ซึ่งบางครั้งก็ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน
.
ในเมื่อชาตินิยมต้องมี ‘ศัตรู’ เพื่อสร้างความสามัคคีภายใน คนที่ถูกมองว่าเป็นภัยต่อชาติ ไม่ว่าจะเป็นคนต่างชาติ ชนกลุ่มน้อย หรือแม้แต่นักสิทธิมนุษยชน จึงถูกทำให้เป็นเป้าของความเกลียดชัง ทั้งที่ในความเป็นจริง การปกป้องสิทธิมนุษยชนคือการปกป้องชีวิตและศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคน ไม่ใช่การเข้าข้างฝ่ายใด
.
5. เพราะการตั้งคำถามกับวิธีการของรัฐมักถูกเหมาว่าเป็นการ ‘ทรยศต่อชาติ’ และเป็นภัยต่อความมั่นคง
.
ในช่วงเวลาที่กระแสชาตินิยมเข้มข้นรุนแรง การวิพากษ์หรือตั้งคำถามต่อรัฐ แม้จะเป็นไปเพื่อความยุติธรรมมักถูกตีความว่า “ไม่รักชาติ” ทั้งที่การตรวจสอบอำนาจรัฐคือหัวใจของสังคมประชาธิปไตย และเป็นกลไกสำคัญในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน แต่ดูเหมือนว่าทิศทางของโลกในช่วงเวลานี้และอาจจะในอนาคต กำลังมองว่าการเอา ‘ชาติ’ ตัวเองให้มั่นคงอยู่รอดส่วนคนอื่นไม่สำคัญนั้นคือสิ่งที่ถูกต้อง ที่สุดแล้วก็อาจนำไปสู่การแบ่งแยกอย่างไม่มีสิ้นสุด และจำต้องมีคนที่ถูกเหยียบย่ำกดขี่อยู่เสมอเพียงเพราะเป็นอื่น ซึ่งหากจะมองว่าเป็นการก้าวถอยหลัง ก็คงจะไม่ผิดเสียทีเดียว
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1432942602170840&set=a.728937272571380