
มาตรา 112: เส้นแดงทางอำนาจในเกมนิรโทษกรรมไทย
มาตรา 112 ยังคงเป็นเส้นแดงทางอำนาจที่ฝ่ายการเมืองไทยไม่อาจข้ามได้ แม้ในนามของการปรองดองและสังคมสันติสุข การกันคดีนี้ออกจากร่างกฎหมายนิรโทษกรรมสะท้อนให้เห็นถึงโครงสร้างอำนาจที่ยังผูกพันกับแนวคิด “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” อย่างลึกซึ้ง ในท้ายที่สุด ความพยายามสร้างสันติสุขจึงอาจไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากสังคมยังไม่กล้าเผชิญกับคำถามเกี่ยวกับเสรีภาพและความเท่าเทียมทางการเมือง
112Watch: October 21, 2025
การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข หรือที่สื่อเรียกว่า “ร่างกฎหมายนิรโทษกรรม” ในชั้นกรรมาธิการวิสามัญ กลายเป็นเวทีที่สะท้อนความซับซ้อนของการเมืองไทยในยุคหลังความขัดแย้งการเมืองยืดเยื้อกว่าสิบปี ร่างกฎหมายฉบับนี้มีเป้าหมายเพื่อคลี่คลายปัญหาทางการเมือง และสร้างบรรยากาศแห่ง “การปรองดอง” แต่แทนที่จะเป็นเครื่องมือเยียวยาความขัดแย้ง กลับกลายเป็นกระจกสะท้อน “เส้นแดงทางอำนาจ” ที่ฝ่ายการเมืองไทยยังไม่อาจข้ามได้ โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
จุดเริ่มต้นของความอ่อนไหว
มาตรา 112 หรือ “กฎหมายหมิ่นพระมหากษัตริย์” เป็นประเด็นที่ผูกพันกับอำนาจรัฐไทยอย่างลึกซึ้ง การดำรงอยู่ของกฎหมายนี้มิได้เป็นเพียงเครื่องมือปกป้องสถาบัน แต่ยังทำหน้าที่เป็น “กลไกควบคุมทางการเมือง” ที่มีพลังสูงสุด เพราะสามารถถูกใช้ตีกรอบขอบเขตของเสรีภาพในการแสดงออก และเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้กับระบอบการปกครองที่ตั้งอยู่บนฐานของความจงรักภักดี ในร่างกฎหมายนิรโทษกรรมปัจจุบัน ทุกพรรคการเมืองที่เสนอร่างล้วน “กัน” คดีมาตรา 112 ออกไว้แต่ต้น ทั้งพรรคภูมิใจไทย พรรคกล้าธรรม พรรคสร้างอนาคตไทย รวมถึงพรรคเพื่อไทยที่ปัจจุบันเป็นพรรคฝ่ายค้าน เหตุผลที่อ้างกันคือ “เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นการลบล้างกฎหมายที่เกี่ยวกับสถาบัน” แต่ในทางการเมือง นี่คือการตัดไฟแต่ต้นลมเพื่อหลีกเลี่ยงแรงปะทะจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่มองว่าการแตะต้องมาตรานี้คือการสั่นคลอนรากฐานของรัฐ การอภิปรายในกรรมาธิการจึงเต็มไปด้วยความระมัดระวัง มีเสียงเรียกร้องจากบางฝ่ายให้พิจารณาอย่างมีมนุษยธรรม โดยเฉพาะในกรณีของเยาวชนที่ถูกดำเนินคดีจากการชุมนุมช่วงปี 2563–2565 แต่เสียงส่วนใหญ่กลับเห็นว่า “ไม่ควรเสี่ยง” ต่อการเปิดประตูทางการเมืองที่อาจทำให้ร่างกฎหมายทั้งฉบับล่มในสภา

จาก “ไม่ใช้บังคับ” ถึง “ไม่เป็นการนิรโทษกรรม”
เดิมทีถ้อยคำในร่างระบุว่า “ให้ร่างกฎหมายนี้ไม่ใช้บังคับแก่ความผิดตามมาตรา 112” แต่ในชั้นกรรมาธิการมีการปรับถ้อยคำใหม่เป็น “ให้ร่างกฎหมายนี้ไม่มีผลเป็นการนิรโทษกรรมแก่ความผิดตามมาตรา 112” ซึ่งในทางกฎหมายแทบไม่ต่างกัน แต่ในทางการเมืองถือเป็นการ “ลดน้ำหนักเชิงสัญลักษณ์” เพื่อสร้างภาพว่ากฎหมายนี้ไม่ปิดประตูทั้งหมด
แม้จะมีเสียงชื่นชมจากบางฝ่ายว่าการเปลี่ยนถ้อยคำเป็นการประนีประนอมที่ช่วยให้ร่างกฎหมายเดินต่อได้ แต่ในเชิงเนื้อหา ผลลัพธ์ยังเหมือนเดิม — คดี 112 ยังไม่อยู่ในขอบเขตนิรโทษกรรม สิ่งที่เพิ่มเข้ามาและได้รับความสนใจคือ มาตรา 9/1 ซึ่งเปิดช่องให้คณะกรรมการนิรโทษกรรมสามารถเสนอให้พนักงานอัยการหรือศาลเยาวชนใช้ “มาตรการพิเศษแทนการลงโทษ” สำหรับผู้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปีในวันกระทำความผิด บางคนมองว่านี่คือความพยายาม “หาทางออกเชิงเทคนิค” เพื่อช่วยเยาวชนคดีการเมืองโดยไม่แตะ 112 โดยตรง แต่ในทางปฏิบัติ มาตรานี้ไม่ได้มีผลเท่ากับการนิรโทษกรรม เพราะการตัดสินใจยังอยู่ในดุลพินิจของอัยการและศาล ซึ่งมีแนวทางวินิจฉัยคดีหมิ่นสถาบันอย่างเข้มงวด แม้ในคดีเยาวชน การตีความ “เจตนา” และ “ความผิด” ยังคงกว้าง และโทษสูงเกินสัดส่วนกับพฤติกรรมจริง
มาตรา 112 กับสถาปัตยกรรมอำนาจรัฐไทย
การกันคดี 112 ออกจากร่างนิรโทษกรรมจึงมิใช่เพียงการตัดสินใจเชิงกฎหมาย แต่สะท้อนโครงสร้างอำนาจที่ยังคงยึดโยงกับแนวคิด “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ในฐานะรากฐานของความชอบธรรมของรัฐไทย การแตะต้องมาตรานี้จึงเท่ากับการตั้งคำถามต่อโครงสร้างอำนาจทั้งระบบ ไม่ใช่แค่ตัวบทกฎหมาย รัฐบาลผสมที่นำโดยพรรคภูมิใจไทยในปัจจุบัน ก็เผชิญแรงกดดันคล้ายเดิม หากปล่อยให้ร่างกฎหมายเปิดช่องนิรโทษคดี 112 ย่อมกระทบเสถียรภาพโดยตรง เพราะฝ่ายอนุรักษ์นิยม — ทั้งในกองทัพ ศาล และสื่อกระแสหลัก — จะใช้ประเด็นนี้เป็นเครื่องมือโจมตีอย่างรุนแรง การคงไว้ซึ่งมาตรา 112 จึงกลายเป็น “กลไกประกันความมั่นคงของรัฐบาลภูมิใจไทย” ที่ไม่อาจละเมิดได้ ขณะเดียวกัน ฝ่ายเสรีประชาธิปไตยและภาคประชาชนจำนวนไม่น้อยกลับมองว่าการไม่แตะต้องมาตรา 112 เท่ากับการปิดกั้นกระบวนการปรองดองตั้งแต่ต้น เพราะผู้ต้องคดีการเมืองจำนวนมาก โดยเฉพาะเยาวชนและนักกิจกรรม ถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกโดยสงบ ไม่ใช่การล้มล้างรัฐ การกันคดีเหล่านี้ออกจากการเยียวยา จึงเป็นการส่งสัญญาณว่าการปรองดองแบบไทยๆ ยังอยู่ภายใต้เงื่อนไข “ยกเว้นสถาบัน” ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่แทบไม่มีประเทศประชาธิปไตยใดใช้

การเมืองของความกลัวและการปรองดองที่ไม่สมบูรณ์
สิ่งที่เห็นชัดในกระบวนการพิจารณาคือ การเมืองของความกลัว — กลัวเสียงโจมตีจากฝ่ายขวา กลัวแรงกดดันจากสถาบันอำนาจ และกลัวว่าร่างกฎหมายจะไม่ผ่านในสภา ความกลัวเหล่านี้ทำให้ฝ่ายการเมืองทุกขั้วเลือกทาง “ปลอดภัย” มากกว่าทาง “ยุติธรรม” แต่ความกลัวนั้นเองที่ทำให้แนวคิดเรื่อง “สังคมสันติสุข” ตามชื่อร่างกฎหมายกลายเป็นเพียงวาทกรรม เพราะสังคมจะไม่อาจมีสันติสุขได้ หากยังมีคนจำนวนมากถูกจำกัดสิทธิ เสียอนาคต หรือถูกคุมขังจากการแสดงความเห็นทางการเมือง การนิรโทษกรรมที่แท้จริงควรตั้งอยู่บนหลักของ “ความเท่าเทียมทางศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” มิใช่การแบ่งแยกผู้ต้องคดีออกเป็น “ผู้ที่รัฐยอมรับได้” กับ “ผู้ที่รัฐไม่อภัย” เพราะตราบใดที่ยังมีการเลือกปฏิบัติทางการเมือง สังคมก็ไม่อาจเดินไปสู่ความปรองดองอย่างแท้จริง มาตรา 112 จึงไม่ใช่เพียงตัวบทกฎหมาย แต่คือ “เส้นแดงทางการเมือง” ที่กำหนดขอบเขตของอำนาจและเสรีภาพในสังคมไทย ทุกครั้งที่มีความพยายามพูดถึงการนิรโทษกรรม หรือการปฏิรูปกฎหมาย มาตรานี้จะถูกกันไว้เสมอ ราวกับเป็นสัญญาณเตือนว่า ระบอบการเมืองไทยยังไม่พร้อมเผชิญกับคำถามพื้นฐานที่สุด — ว่าความจงรักภักดีสามารถอยู่ร่วมกับเสรีภาพได้หรือไม่ ดังนั้น แม้ร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุขจะเดินหน้าต่อในกระบวนการสภา แต่หากไม่สามารถเปิดพื้นที่ให้พูดถึงมาตรา 112 อย่างตรงไปตรงมา การปรองดองที่วาดฝันไว้ก็จะเป็นเพียงภาพลวงตาในกระดาษ เพราะสันติสุขที่แท้จริงไม่อาจเกิดขึ้นได้จากการนิรโทษบางคน แล้วปล่อยให้บางคนยังติดคุกเพราะ “ความคิด” ของตนเอง
https://112watch.org/th/the-red-line-of-power-in-thailands-amnesty-game/