วันอังคาร, ตุลาคม 21, 2568

อย่าประมาทเฉพาะแต่แก๊งสแกมเมอร์ ในขณะเดียวกัน ไทยเทาอาจน่ากลัวกว่าที่คิด : อาจมี“คนสีเทา” ในไทยอำนวยความสะดวก ส่งออกทอง ไปกัมพูชา ปี 67 เพิ่มขึ้น 743% อีก 19% ใน 7 เดือนแรก 68


ประชาคมแพทย์
October 18
·
อย่าประมาทแก๊งสแกมเมอร์: เมื่อ “ทองคำ” กลายเป็นกำแพงสุดท้ายที่แข็งแกร่งกว่า Bitcoin และ อาจมี“คนสีเทา” ในไทยอำนวยความสะดวก ไทยส่งออกทอง ไปกัมพูชา ปี 67 เพิ่มขึ้น 743% และปี 68 ก็ยังเพิ่มขึ้น อีก 19% ใน 7 เดือนแรก

1.การที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ประกาศ ยึด Bitcoin มูลค่ากว่า 4.8 แสนล้านบาท จากเครือข่ายสแกมเมอร์ที่มีฐานในกัมพูชา อาจดูเหมือนเป็นชัยชนะของโลกที่เริ่มเอาชนะอาชญากรรมไซเบอร์ได้ แต่สำหรับผู้รู้ในภูมิภาคนี้ — นั่นอาจเป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” เท่านั้น เพราะในโลกจริงที่เงินหมุนด้วยโลหะสีทอง ไม่ใช่โค้ดดิจิทัล — ทองคำ กำลังกลายเป็นช่องทางฟอกเงินที่ซับซ้อนและยากจับได้ที่สุด

และที่น่าห่วงกว่านั้นคือ เส้นทางของทองคำเหล่านี้ ไหลผ่านประเทศไทยไปยังกัมพูชาอย่างผิดสังเกต — ภายใต้เงาของ “นักการเมืองสีเทา” และกลุ่มอิทธิพลที่ยังคงมีอำนาจอยู่ในระบบการเมืองไทยมาจนถึงทุกวันนี้

2.“ทองคำไหล” สู่กัมพูชา: สัญญาณเตือนจากตัวเลขที่ไม่ปกติ

ข้อมูลจากคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ระบุว่า การส่งออกทองคำจากไทยไปยังกัมพูชาเพิ่มขึ้นอย่างผิดสังเกต —
ปี 2566 มีมูลค่า 12,562 ล้านบาท
ปี 2567 พุ่งขึ้นเป็น 105,982 ล้านบาท หรือ ขยายตัวกว่า 743.66%
และใน 7 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ 71,312 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอีก 19.15%

ตัวเลขเหล่านี้ทำให้กัมพูชากลายเป็นตลาดส่งออกทองคำ อันดับ 2 ของไทย รองจากสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยสัดส่วนกว่า 28.05% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด

นักเศรษฐศาสตร์บางรายเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “ทองคำไหล” — กระแสที่อาจซ่อน “รอยเท้าของการฟอกเงิน” ไว้เบื้องหลัง กลไกเริ่มจากการหลอกลวงเหยื่อในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนแปรเงินสกปรกให้กลายเป็นทรัพย์สินสะอาดผ่านการซื้อขายทองคำข้ามประเทศ

3.เราขอให้ข้อสังเกตว่า ในปี 2567 รัฐบาลไทยยังอยู่ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย โดยมีผู้นำรัฐบาลซึ่งเป็นแกนนำจากพรรคเดิม และในช่วงนั้น ความสัมพันธ์ระหว่าง นายทักษิณ ชินวัตร กับ สมเด็จฮุนเซน ยังไม่ถึงจุดแตกหัก ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและผลประโยชน์ระหว่างสองประเทศจึงยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

แม้ตั้งแต่ต้นปี 2568 เป็นต้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาจะเริ่มตึงเครียดมากขึ้น แต่ตัวเลขการส่งออกทองคำก็ยังคง ขยายตัวต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปีก่อน — สะท้อนว่า “สมการแห่งอำนาจ” ระหว่างสองประเทศยังไม่เปลี่ยนแปลงอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และอาจยังมี “เครือข่ายผู้มีอำนาจบางกลุ่ม” ที่สามารถรักษาช่องทางการเคลื่อนย้ายทองคำระหว่างไทย–กัมพูชาไว้ได้

4.ทำไมต้องทองคำ?

ทองคำเป็น สินทรัพย์ไร้ร่องรอย ติดตามยากกว่า Bitcoin หรือเงินดิจิทัล

เมื่อเงินจากการหลอกลวงถูกแปลงเป็นเงินบาทในไทย แล้วนำไปซื้อทองคำแท่ง การส่งออกทองคำต่อไปยังกัมพูชาในรูปแบบ “ถูกกฎหมาย” จึงกลายเป็นกระบวนการ เปลี่ยนเงินสกปรกให้ขาวสะอาด อย่างแนบเนียน

ที่สำคัญ ราคาทองคำที่พุ่งสูงอย่างต่อเนื่องยังทำให้ผู้ฟอกเงิน “ได้กำไรเพิ่ม” จากอาชญากรรมของตนเอง

5.Bitcoin ถูกยึดอาจไม่สะเทือน…ถ้าทองคำยังทำกำไรได้

แก๊งสแกมเมอร์ระดับโลก โดยเฉพาะเครือข่ายที่เชื่อมโยงกับ “ทุนสีเทา” ในภูมิภาคนี้ อาจเตรียมรับมือกับการยึด Bitcoin ไว้ล่วงหน้าแล้ว พวกเขาอาจกระจายทรัพย์สินไปอยู่ในรูปของทองคำ ซึ่งไม่เพียง “ฟอก” ได้สะอาดกว่า แต่ยัง “กำไร” เพิ่มขึ้นด้วย

เมื่อราคาทองคำโลกทำสถิติสูงสุดต่อเนื่อง เงินที่เคยเป็น “สินทรัพย์ผิดกฎหมาย” จึงกลายเป็น “ทุนที่แข็งแกร่งกว่าเดิม” — และนี่คือเหตุผลว่าทำไม อิทธิพลของทุนสีเทาในกัมพูชาและไทยจึงยังไม่สั่นคลอนมากนัก แม้จะมีข่าวการยึดคริปโตระดับ 4-5 แสนล้าน

6.เงานักการเมืองสีเทา: จุดเชื่อมระหว่างอาชญากรรมข้ามชาติและอำนาจในประเทศ

คำถามที่คนไทยต้องกล้าถามคือ — การส่งออกทองคำมูลค่ามหาศาลเช่นนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร โดยไม่มีใครมองเห็น? และ ผู้นำรัฐบาลและ นักการเมืองน้อยคนที่พูดถึงเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีคลัง แม้กระทั่ง รัฐมนตรีพาณิชย์ซึ่งควรจะมีหน้าที่พูดถึงเรื่องนี้ มีแต่ กกร.เท่านั้น ที่ออกมาให้ข้อสังเกตแล้วก็เงียบหายไป

7.คำตอบที่หลายฝ่ายเริ่มพูดออกมาคือ อาจมี “การอำนวยความสะดวก” จากบุคคลภายในประเทศ ทั้งนักธุรกิจและนักการเมืองที่อยู่ในโซนสีเทา — กลุ่มที่มีบทบาทอยู่ทั้งในภาคการเมืองและเศรษฐกิจใต้ดิน

พวกเขาอาจไม่ได้ถือปืน แต่ถือ “ใบอนุญาตใต้ดิน” และ “เส้นสาย” ที่เปิดทางให้เครือข่ายทุนสีดำข้ามชาติทำธุรกิจผ่านระบบการเงินไทยได้อย่างราบรื่น — และผลลัพธ์คือประเทศไทยกำลังถูกใช้เป็น “จุดพักและฟอกเงิน” ของอาชญากรรมไซเบอร์เอเชีย

8.ผลกระทบไม่เพียงอยู่ในมิติอาชญากรรม แต่ยังส่งผลต่อ ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นผิดปกติ สวนทางกับสภาพเศรษฐกิจจริง และทำให้ระบบการเงินไทยบิดเบือนโดยไม่รู้ตัว นับตั้งแต่ต้นปี 2025 เงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นมากราว 8% และแข็งค่ามากสุดในรอบ 4 ปีนำค่าเงินภูมิภาค หากพิจารณาดัชนีค่าเงินบาทเปรียบเทียบค่าเงินบาทกับสกุลเ งินคู่ค้าและคู่แข่ง (NEER) พบว่าปรับแข็งค่าสูงสุดตั้งแต่วิกฤติการเงินเอเชียปี 1997 ซึ่งเงินบาทที่แข็งค่าอย่างผิดปกติ และบิดเบี้ยวจากที่ควรจะเป็น จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกอย่างแน่นอน

8. หากยังปล่อยให้ ทองคำไหล ไปสู่ดินแดนแห่งสแกมเมอร์ มากผิดปกติ โดยไม่มีมาตรการ ที่รัดกุม อาจเกิดผลกระทบ ต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ นอกเหนือไปจาก ไทยอาจจะเสียชื่อจากการถูกใช้ให้มีส่วนทางอ้อมในการส่งเสริมและสนับสนุน อาชญากรรมระดับโลก

9.ถึงเวลาที่รัฐไทยต้อง “มองข้ามช็อต”

หากรัฐบาลไทยยังคงมองว่า “การที่สหรัฐยึด Bitcoin” คือการกวาดล้างสแกมเมอร์อย่างเสร็จสิ้นแล้ว และถือว่านั่นคือ “คำตอบสุดท้ายของปัญหา” — ก็นับว่าเป็นการ ประเมินศัตรูต่ำเกินไป

การอยู่นิ่งเฉย พร้อมใช้เพียงมาตรการตั้งรับ เช่น การอ้างว่าจะ “ไม่เปิดด่านกับกัมพูชา หากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข 4 ข้อ” — หนึ่งในนั้นคือการปราบปรามสแกมเมอร์ — ถือว่าเป็น มาตรการที่อ่อนเกินไปแล้ว

เพราะแม้การ “ไม่เปิดด่าน” อาจทำให้ กดดัน กัมพูชาในด้านเศรษฐกิจ และกดดัน ทุนสีเทาในกัมพูชาเรื่อง บ่อนพนัน จนไม่สามารถดำเนินการได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า อาชญากรรม scammer ในกัมพูชา จะยุติลง ตรงกันข้าม พวกเขากลับ “ปรับรูปแบบ” ไปสู่การกระทำในสัดส่วนมากกว่าเดิม โดย ไม่พึ่งพา เส้นทาง แนวตะเข็บชายแดนไทยกัมพูชา — ไม่ว่าจะเป็น การค้ามนุษย์ จากชาติอื่นๆที่ยังไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้ง การฟอกเงิน หรือเครือข่าย Call Center — และที่น่ากังวลกว่านั้น คือการใช้ ทองคำ เป็น “ทุนหมุนเวียน” ที่ดูสะอาด ถูกกฎหมาย และ ยากต่อการติดตามในกรอบกฎหมายเดิม

หากท่านนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีคลัง รัฐมนตรีพาณิชย์ ต้องการสร้างชื่อเสียงในระยะเวลา ไม่กี่เดือนก่อนการเลือกตั้ง นี่เป็นโอกาสดีโอกาสเดียว ที่จะแสดงความจริงใจและจะได้เสียงจากประชาชนมาก หาก ส่วนหนึ่งของแผนการจัดการ scammer ใช้วิธีปราบปรามเส้นทางการฟอกเงินของ scammer คือการทุบไปที่กล่องดวงใจ ของ แหล่งทุนหมุนเวียน นั่นคือสินทรัพย์สำคัญ ของ กระบวนการ "ทองคำ" นอกเหนือจากจะได้ผล ให้ประจักษ์ต่อนานาชาติแล้ว ยังจะสร้างความมั่นคง ในระบบเศรษฐกิจ ของการ ซื้อขายทองคำ ให้มีมาตรฐานในระดับนานาชาติ แม้ว่าระยะต้นอาจจะ ได้รับการต่อต้านจาก สมาคมผู้เกี่ยวข้อง ที่อาจจะชะลอ การเก็งกำไรของทองคำ แต่ระยะยาว จะมีผลต่อความมั่นคง และ เสถียรภาพของเศรษฐกิจโดยรวม

ข้อเสนอเชิงนโยบาย 5 ข้อเพื่อฟื้นฟูภูมิคุ้มกันรัฐไทย

1. ตั้ง “คณะกรรมการสอบสวนพิเศษอิสระ” (Independent Gold Inquiry Commission)

เพื่อสอบสวนเส้นทางทองคำไทย–กัมพูชา โดยไม่อยู่ภายใต้การกำกับของฝ่ายบริหารหรือกลุ่มการเมืองใด

มีตัวแทนจากสำนักงาน ป.ป.ง., สตง., ธปท., และผู้เชี่ยวชาญด้านการฟอกเงิน, กฎหมาย, และจริยธรรม

รายงานผลต่อสาธารณะโดยตรง เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นต่อระบบราชการไทย

---

2. ปรับปรุง กฎหมายควบคุมสินทรัพย์กายภาพ ให้เท่าทันยุคดิจิทัล

ทองคำควรถูกติดตามได้เช่นเดียวกับ Bitcoin หรือสินทรัพย์ดิจิทัล

พัฒนาระบบ “Gold Trace & Verify Platform” ภายใต้การกำกับของ ETDA หรือ ธปท.

ใช้บล็อกเชนหรือระบบหมายเลขกำกับทองคำ เพื่อป้องกันการใช้ทองคำแท่งเป็นเครื่องมือฟอกเงิน

บังคับให้ผู้ส่งออกทองคำรายใหญ่ต้องเปิดเผย “Beneficial Owner” และผ่านการตรวจสอบ KYC ระดับสูง

---

3. จัดตั้ง ASEAN AML Taskforce คณะกรรมการร่วมกลุ่มประเทศอาเซียนต่อต้านการฟอกเงิน

เพื่อเฝ้าระวังและสกัดทุนสีดำข้ามชาติอย่างเป็นระบบ

ประสานข้อมูลกับหน่วยงานปราบฟอกเงินของกัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม และมาเลเซีย

ร่วมพัฒนาฐานข้อมูล “Cross-border Money Trail Database” สำหรับตรวจสอบการเคลื่อนย้ายทองคำ–คริปโต–อสังหาริมทรัพย์

---

4. สร้าง ระบบตรวจสอบผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest Registry)

ในหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับการออกใบอนุญาตค้าทองและส่งออกทองคำ

เจ้าหน้าที่ระดับสูงต้องเปิดเผยความสัมพันธ์กับกลุ่มทุนหรือบริษัทที่เกี่ยวข้อง

บันทึกข้อมูลในรูปแบบเปิด (Open Data) ให้ประชาชนเข้าถึงได้

แอดมิน ประชาคมแพทย์
19 ตค. 2568
 
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1224800616354795&set=a.552792040222326