
บีบีซีไทย - BBC Thai
10 hours ago
·
"คิดว่าโดยรวมยังไงก็ต้องให้เครดิตทรัมป์ ไม่มีใครปฏิเสธการริเริ่มอันนี้ของทรัมป์ได้ เพราะว่ากันตามจริง วันแรก ๆ อันวาร์ (นายกฯ มาเลเซีย) โทรมาหาก่อน ก็ยังไม่หยุดยิง นั่นแสดงว่าทั้งสองฝ่ายไม่มี incentive (แรงจูงใจ) ที่จะหยุดรบกัน แต่ทรัมป์มาด้วยข้อเสนอซึ่งคุณปฏิเสธไม่ได้" สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี ที่ปรึกษา กมธ. การทหาร สภาผู้แทนราษฎร กล่าวกับบีบีซีไทย
.
อ่านบทวิเคราะห์เพิ่มเติม ที่นี่ https://bbc.in/4ocd3gP
"คิดว่าโดยรวมยังไงก็ต้องให้เครดิตทรัมป์ ไม่มีใครปฏิเสธการริเริ่มอันนี้ของทรัมป์ได้ เพราะว่ากันตามจริง วันแรก ๆ อันวาร์ (นายกฯ มาเลเซีย) โทรมาหาก่อน ก็ยังไม่หยุดยิง นั่นแสดงว่าทั้งสองฝ่ายไม่มี incentive (แรงจูงใจ) ที่จะหยุดรบกัน แต่ทรัมป์มาด้วยข้อเสนอซึ่งคุณปฏิเสธไม่ได้" สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี ที่ปรึกษา กมธ. การทหาร สภาผู้แทนราษฎร กล่าวกับบีบีซีไทย
.
อ่านบทวิเคราะห์เพิ่มเติม ที่นี่ https://bbc.in/4ocd3gP
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1367094118784082&set=a.627743042719197
...
"ไม่มีใครปฏิเสธการริเริ่มของทรัมป์ได้" มองบทบาทผู้นำสหรัฐฯ คลี่คลายความขัดแย้งไทย-กัมพูชา
ธันยพร บัวทอง และปณิศา เอมโอชา
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
26 ตุลาคม 2025
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ จะมาปรากฏตัวเป็นสักขีพยานในการลงนาม "ประกาศความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา" ในวันนี้ (อาทิตย์ 26 ต.ค.) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน
การเยือนมาเลเซีย เป็นที่หมายแรกในกำหนดการเดินสายในทวีปเอเชีย โดยหลังจากนั้น ทรัมป์มีกำหนดพบปะผู้นำชาติเอเชียอื่น ๆ ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รวมถึงจีน ในเวทีการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปคที่จัดขึ้นในเกาหลีใต้
ทรัมป์ถือเป็นผู้ริเริ่มและกดดันให้ไทยและกัมพูชาหันหน้ามาเจรจากัน จนนำมาสู่ข้อตกลงหยุดยิงของทั้งสองชาติที่มาเลเซียในวันที่ 28 ก.ค. หลังการปะทะบริเวณชายแดนดำเนินมาเป็นวันที่ 4 โดยมีเรื่องข้อตกลงการค้าและกำแพงภาษีเป็นเงื่อนไขสำคัญ
นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงการที่สหรัฐฯ และมาเลเซีย จะร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามเอกสารคำประกาศระหว่างไทยและกัมพูชาว่า เอกสารฉบับนี้เป็นเอกสารที่กำหนดแนวทางที่จะนำไปสู่สันติภาพร่วมกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไทยและกัมพูชาพูดคุยและหาข้อยุติใน 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การลดกำลังทหาร การถอนอาวุธหนักจากชายแดน การกู้ทุ่นระเบิด การปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ และการจัดการพื้นที่ชายแดน
รมว.ต่างประเทศ ย้ำว่าสหรัฐฯ เข้ามาในฐานะผู้หวังดี และมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวก ซึ่งตรงไหนที่ช่วยได้เป็นเรื่องที่น่ายินดี แม้หัวใจการเจรจาจะอยู่ที่ไทยและกัมพูชา แต่การเจรจา 4 ฝ่าย ทำให้เกิดความคืบหน้า ซึ่งทางไทยเชื่อว่าจะต้องนำไปสู่การปฏิบัติ
นายสีหศักดิ์ กล่าวด้วยว่า เอกสารที่ทั้งสองประเทศจะลงนามเรียกว่า ประกาศความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา (Joint Declaration by the Prime Minister of the Kingdom of Cambodia and the Prime Minister of the Kingdom of Thailand on the outcomes of their meeting in Kuala Lumpur) ซึ่งไทยอยากเห็นก่อนการลงนามว่า มีความเคลื่อนไหวในทางปฏิบัติอย่างไร อย่างประเด็นการถอนอาวุธหนักในวันที่ 25 ต.ค.
"เราไม่ได้ลงนามข้อตกลงสันติภาพ แต่เป็นการลงนามในเอกสารที่กำหนดแนวทางที่จะแก้ปัญหาไปสู่สันติภาพ" รมว.ต่างประเทศกล่าว
"ไม่มีใครปฏิเสธการริเริ่มของทรัมป์ได้" มองบทบาทผู้นำสหรัฐฯ คลี่คลายความขัดแย้งไทย-กัมพูชา
ธันยพร บัวทอง และปณิศา เอมโอชา
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
26 ตุลาคม 2025
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ จะมาปรากฏตัวเป็นสักขีพยานในการลงนาม "ประกาศความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา" ในวันนี้ (อาทิตย์ 26 ต.ค.) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน
การเยือนมาเลเซีย เป็นที่หมายแรกในกำหนดการเดินสายในทวีปเอเชีย โดยหลังจากนั้น ทรัมป์มีกำหนดพบปะผู้นำชาติเอเชียอื่น ๆ ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รวมถึงจีน ในเวทีการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปคที่จัดขึ้นในเกาหลีใต้
ทรัมป์ถือเป็นผู้ริเริ่มและกดดันให้ไทยและกัมพูชาหันหน้ามาเจรจากัน จนนำมาสู่ข้อตกลงหยุดยิงของทั้งสองชาติที่มาเลเซียในวันที่ 28 ก.ค. หลังการปะทะบริเวณชายแดนดำเนินมาเป็นวันที่ 4 โดยมีเรื่องข้อตกลงการค้าและกำแพงภาษีเป็นเงื่อนไขสำคัญ
นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงการที่สหรัฐฯ และมาเลเซีย จะร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามเอกสารคำประกาศระหว่างไทยและกัมพูชาว่า เอกสารฉบับนี้เป็นเอกสารที่กำหนดแนวทางที่จะนำไปสู่สันติภาพร่วมกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไทยและกัมพูชาพูดคุยและหาข้อยุติใน 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การลดกำลังทหาร การถอนอาวุธหนักจากชายแดน การกู้ทุ่นระเบิด การปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ และการจัดการพื้นที่ชายแดน
รมว.ต่างประเทศ ย้ำว่าสหรัฐฯ เข้ามาในฐานะผู้หวังดี และมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวก ซึ่งตรงไหนที่ช่วยได้เป็นเรื่องที่น่ายินดี แม้หัวใจการเจรจาจะอยู่ที่ไทยและกัมพูชา แต่การเจรจา 4 ฝ่าย ทำให้เกิดความคืบหน้า ซึ่งทางไทยเชื่อว่าจะต้องนำไปสู่การปฏิบัติ
นายสีหศักดิ์ กล่าวด้วยว่า เอกสารที่ทั้งสองประเทศจะลงนามเรียกว่า ประกาศความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา (Joint Declaration by the Prime Minister of the Kingdom of Cambodia and the Prime Minister of the Kingdom of Thailand on the outcomes of their meeting in Kuala Lumpur) ซึ่งไทยอยากเห็นก่อนการลงนามว่า มีความเคลื่อนไหวในทางปฏิบัติอย่างไร อย่างประเด็นการถอนอาวุธหนักในวันที่ 25 ต.ค.
"เราไม่ได้ลงนามข้อตกลงสันติภาพ แต่เป็นการลงนามในเอกสารที่กำหนดแนวทางที่จะแก้ปัญหาไปสู่สันติภาพ" รมว.ต่างประเทศกล่าว

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ และ รมว.มหาดไทย เดินทางถึงกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันเสาร์ (25 ต.ค.)
ด้านนายสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี นักวิชาการอิสระซึ่งเชี่ยวชาญด้านข้อพิพาทเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชา และที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร สภาผู้แทนราษฎร ให้ความเห็นกับบีบีซีไทยว่า หากไม่มีปัจจัยจากสหรัฐฯ และการริเริ่มจากโดนัลด์ ทรัมป์ ในการใช้ประเด็นข้อตกลงทางการค้าเข้ามากดดันทั้งสองชาติเมื่อเดือน ก.ค. เราอาจไม่ได้เห็นข้อสรุปที่เร็วขนาดนี้ ซึ่งต่างจากการแสดงจุดยืนของชาติอื่นที่ไม่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ (leverage) ในทางการเมืองระหว่างประเทศต่อทั้งสองชาติ
"คิดว่าโดยรวมยังไงก็ต้องให้เครดิตทรัมป์ ไม่มีใครปฏิเสธการริเริ่มอันนี้ของทรัมป์ได้ เพราะว่ากันตามจริง วันแรก ๆ อันวาร์ (นายกฯ มาเลเซีย) โทรมาหาก่อน ก็ยังไม่หยุดยิง นั่นแสดงว่า ทั้งสองฝ่ายไม่มี incentive (แรงจูงใจ) ที่จะหยุดรบกัน แต่ทรัมป์มาด้วยข้อเสนอซึ่งคุณปฏิเสธไม่ได้" สุภลักษณ์ กล่าวกับบีบีซีไทย
คำถามที่ต้องถามต่อไปหลังจากวันที่ทรัมป์เดินทางมาเป็นสักขีพยานระหว่างไทยและกัมพูชาในวันอาทิตย์คือ การเข้ามาของสหรัฐฯ และทรัมป์ จะสามารถยุติความขัดแย้งยืดเยื้อระหว่างไทยและกัมพูชาได้หรือไม่
ทรัมป์และสหรัฐฯ ได้อะไร
ดร.เราะห์มาน ยาค็อบ นักวิจัยประจำโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สถาบันโลวี (Lowy Institute) ประเทศออสเตรเลีย แสดงความเห็นกับบีบีซีไทยว่า การมาร่วมเวทีประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนอาจเป็นเพราะสหรัฐฯ ต้องการแสดงให้เห็นว่ายังให้ความสนใจในภูมิภาคนี้อยู่ และต้องการถ่วงดุลอิทธิพลของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ส่วนเหตุผลที่เกี่ยวกับทรัมป์โดยตรง ดร.เราะห์มาน กล่าวว่า ด้วยการที่ทรัมป์พยายามสร้างภาพลักษณ์ว่าเป็น "ประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ" และเนื่องจากมีความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาอยู่ในขณะนี้ เขาจึงต้องการเข้าร่วม หรือไปเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามข้อตกลง ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน
"ถ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซา เราจะเห็นว่าสหรัฐฯ พยายามกดดันอิสราเอลอย่างมากให้ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง และผมคิดว่าการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มาร่วมพิธีลงนามข้อตกด้วยตัวเอง และเข้าพบกับผู้นำไทยและกัมพูชาโดยตรง น่าจะเป็นความพยายามในการใช้แรงกดดันจากสหรัฐฯ เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายรักษาข้อตกลงหยุดยิงไว้ได้ เพราะถ้าดูจากช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ข้อตกลงหยุดยิงนี้ถือว่ายังไม่มั่นคงนัก"
ด้านสุภลักษณ์มองว่า ปัจจัยจากสหรัฐฯ และทรัมป์ มีผลต่อการได้ข้อสรุปที่จะนำไปสู่การประกาศความสัมพันธ์ร่วมกันระหว่างไทยและกัมพูชา เนื่องจากสหรัฐฯ มีเครื่องมือในการบังคับใช้มาตรการทางภาษี ซึ่งเป็นแรงกดดันที่มีน้ำหนักเนื่องจากทั้งไทยและกัมพูชาพึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ ไม่น้อย
"เราไม่อาจจะไม่ฟังสหรัฐฯ ได้ จะพูดลอย ๆ ว่าทรัมป์อยากได้หน้า ต้องให้เขา เขาอยากได้เครดิต ก็ต้องให้เขา" สุภลักษณ์กล่าว "เราอาจจะไม่ไปไกลถึงขั้นเสนอโนเบลให้ แต่ว่าก็ไม่สามารถปฏิเสธบทบาทและการปรากฏตัวของสหรัฐฯ ได้ ไม่ว่าทรัมป์มีวัตถุประสงค์อะไร แต่อีกอย่างหนึ่งก็จะต้องคำนึงด้วย ต่อให้ไม่มีทรัมป์ เราก็จะต้องอยู่กับกัมพูชาต่อไป มันจะอยู่กันแบบเผชิญหน้ากันแบบนี้ มันก็ไม่เป็นผลดีกับทั้งสองประเทศ"

การร่วมวงของสหรัฐฯ-ทรัมป์ เป็นหนทางนำไปสู่สันติภาพหรือไม่
สุภลักษณ์กล่าวกับบีบีซีไทยว่า วงประชุมเรื่องชายแดนก่อนหน้านี้ 2-3 ครั้ง ทั้งการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือเจบีซี (Joint Boundary Commission - JBC) ที่ จ.จันทบุรี ระหว่างวันที่ 21-22 ต.ค. และการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือจีบีซี (General Border Committee - GBC) จัดขึ้นที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 20-23 ต.ค. ปรากฏความคืบหน้าที่สำคัญในหลายเรื่อง
เรื่องแรกคือ ในวงประชุมเจบีซี เกิดความคืบหน้าที่สำคัญคือ เรื่องการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน ที่มีการแก้ไข Terms of Reference 2003 (TOR 2003) เกี่ยวกับการจัดทำแผนที่ภาพถ่าย (orthophoto maps) เพื่อนำเทคโนโลยีใหม่ เช่น Light Detection and Ranging (LiDAR) เทคโนโลยีการทำภาพทางอากาศแบบ 3 มิติ มาใช้ในการทำแผนที่ภาพถ่าย
"มีเกณฑ์ที่ยอมรับร่วมกัน มีเทคโนโลยีซึ่งทั้งสองฝ่ายให้ความเชื่อถือ สำหรับผม อย่างนี้ถือว่ามันก็หลุดไปแล้วเปราะใหญ่มาก เพราะงานมันค้างมานาน 25 ปีที่ผ่านมา เราหาหลักเขตได้ 45 หลักจากทั้งหมด 74 เขต แล้วเจอเฉพาะหลัก แต่เส้นแดนยังไม่ได้เลย"

นายฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชา นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการราชการแทนนายกฯ ไทย ระหว่างการร่วมแถลงข่าวบรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยมีนายกฯ มาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวก เมื่อ 28 ก.ค.
การบรรลุประเด็นสำคัญในเรื่องถัดมา สุภลักษณ์กล่าวว่า คือการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน ระหว่างหลักเขตแดนที่ 42 ถึง 47 บริเวณบ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว ถือเป็นข้อสรุปที่แสดงถึงท่าที "ประนีประนอมลอมชอมกัน" มากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากช่วงก่อนหน้าที่บรรยากาศชายแดนเป็นความขัดแย้งมากกว่าความร่วมมือ
สุภลักษณ์กล่าวต่อด้วยว่า ผลจากการประชุมจีบีซีในสองเรื่อง ทั้งการเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และการถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ขัดแย้ง ที่ทั้ง 2 ฝ่ายบรรลุข้อตกลงในการจัดทำข้อกำหนด หรือทีโออาร์ (TOR) สำหรับคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน หรือเอโอที (ASEAN Observer Team - AOT) และได้มีการลงนามโดยผู้แทนทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว ถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญ ที่จะทำให้การตรวจสอบ (verify) ตามข้อตกลงหยุดยิง เป็นไปตามมาตรฐานที่ตรวจสอบได้ เพราะที่ผ่านมากลไกคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Teams - IOT) ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการติดตาม ตรวจสอบ รายงาน จึงถูกใช้ไปเพื่อประโยชน์ในการพีอาร์ของทั้งสองฝ่าย "เพื่อเอาไว้เบลมฝ่ายตรงกันข้าม" ว่าต่างฝ่ายต่างไม่ยอมถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่
"เมื่อก่อนเราทราบกันอยู่ว่าไทยอึกอัก ลังเล แล้วก็ reluctant (ไม่เต็มใจ) ที่จะยอมรับ AOT อย่างมาก เพราะขัดกับประเพณีวิธีปฏิบัติจารีตของการทูตไทยที่ไม่ยอมให้บุคคลภายนอกเข้ามาแทรกแซง แต่ถ้าเรายอมรับบุคคลที่จะเข้ามาตรวจสอบได้ก็ถือว่าเป็นนิมิตหมายดีที่จะทำให้การปฏิบัติตามหรือการบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิงมีมาตรฐาน ถึงจะเป็นมาตรฐานอาเซียนก็ตาม"
จากการบรรลุข้อสรุปสำคัญในการประชุมว่าด้วยชายแดนทั้งสองระดับ ทำให้ที่ปรึกษา กมธ. การทหารฯ มองว่ามีน้ำหนักต่อการเชื่อได้ว่าจะนำไปสู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
"ถือว่างานทั้งหมด 3 จุดที่พูดมามีความคืบหน้าเพียงพอที่จะทำให้เชื่อได้ว่าการลงนามในวันอาทิตย์นี้ จะเป็นการลงนามที่มีความหมายต่อการสร้างสันติภาพและฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทยกัมพูชาจริง ๆ" สุภลักษณ์กล่าว

คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) เดินทางมาสังเกตการณ์ในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ก่อนเกิดเหตุปะทะระหว่างมวลชนกัมพูชา กับ เจ้าหน้าที่ไทย เมื่อเดือน ก.ย.
เกี่ยวกับประเด็นนี้ ดร.เราะห์มาน นักวิจัยประจำโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สถาบันโลวี มองว่าวิกฤตระหว่างกัมพูชากับไทยเป็นปัญหาที่มีลักษณะเชิงโครงสร้าง หากมองจากการเมืองภายในของไทย จะเห็นได้ว่ากองทัพและสถาบันกษัตริย์ยังคงมีอิทธิพลสูงต่อการตัดสินใจทางการเมือง ส่วนกัมพูชา ก็มีปัจจัยเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวของสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชา เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะหาทางออกระยะยาวได้
"ไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้ แต่คงจะยาก และนี่เองที่ทำให้บทบาทของสหรัฐฯ รวมถึงความร่วมมือจากอาเซียน มีความสำคัญมากในการสร้างบรรยากาศที่สงบตามแนวชายแดน และกดดันให้ทั้งสองฝ่ายหันกลับมาหารือเพื่อหาข้อยุติร่วมกันในเรื่องเขตแดน" ดร.เราะห์มาน ระบุ
การปราบสแกมเมอร์ในกัมพูชา เป็นปัจจัยดึงสหรัฐฯ เข้ามามีบทบาทหรือไม่ ?
1 ใน 4 สาระสำคัญจากผลการประชุมจีบีซี คือการปราบปรามขบวนการอาชญากรรมหลอกลวงทางออนไลน์ ที่ทั้งไทยและกัมพูชาเห็นชอบแผนปฏิบัติการร่วมจัดตั้งกองกำลังเฉพาะกิจร่วมภายใน 2 สัปดาห์ เพื่อเริ่มกวาดล้างแกนนำหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการ รวมทั้งร่วมกันแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร หลักฐาน พยาน เหยื่อที่ถูกหลอกลวง และผู้ต้องหา
เกี่ยวกับประเด็นนี้ สุภลักษณ์ยังให้น้ำหนักเรื่องสแกมเมอร์ในบริบทของความขัดแย้งไทยและกัมพูชาน้อย เนื่องจากเขามองว่าไม่ใช่ประเด็นต้นตอหลักของความความขัดแย้งของสองชาติ
ที่ปรึกษา กมธ. การทหารฯ กล่าวย้อนไปถึงการปิดด่านชายแดนเพื่อกดดันถึงเรื่องการปรับกำลังทหารออกจากพื้นที่พิพพาทในเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อกัมพูชาปรับกำลังแล้วไทยหาเหตุในการปิดชายแดนต่อ จึงยกกรณีอาชญากรรมหลอกลวงออนไลน์ขึ้นมา "เบี่ยงประเด็น" เพื่อชี้ว่ากัมพูชาไม่ให้ความร่วมมือ ซึ่งในทัศนะของเขามองว่า เรื่องนี้ควรจะเป็นประเด็นการบังคับใช้กฎหมายของตำรวจของทั้งสองฝ่าย มากกว่าเป็นประเด็นด้านความมั่นคงในทางการทหาร
"เรื่องนี้ต้องแยกออกจากบริบท เราจะไปอาศัยเหตุปิดด่านเพื่อบีบบังคับให้เขาให้ความร่วมมือ มันไม่ค่อยเวิร์ก เพราะว่าการปิดด่านมันไปกระทบประชาชนคนธรรมดาซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ระบบเศรษฐกิจของเราระบบการค้าของเราก็มีปัญหา"

อาคารของเครือข่ายสแกมเมอร์แห่งหนึ่งในกัมพูชา ที่ คิม จีนา รมช.ต่างประเทศ ของเกาหลีใต้ ลงพื้นที่เมื่อวันที่ 16 ต.ค. หลังจากหารือเรื่องสแกมเมอร์กับนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา
สุภลักษณ์กล่าวว่า เรื่องอาชญากรรมหลอกลวงออนไลน์อยู่ในความสนใจของสหรัฐฯ เนื่องจากมีการคว่ำบาตรบุคคลระดับสูงของขบวนการมาแล้วหลายครั้ง และเคยติดตามกลุ่มบุคคลที่ใกล้ชิดกับสมเด็จฮุน เซน แต่สุภลักษณ์มองว่าเรื่องนี้สามารถดึงออกนอกบริบทของความขัดแย้งไทยกัมพูชาได้ ซึ่งไทยอาจต้องหาเครื่องมือชนิดอื่น อย่างกลไกของคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน หรือ แฟต-เอฟ (FATF) ซึ่งกัมพูชากับไทยต่างก็เป็นภาคีในเอเชียแปซิฟิกด้วยกันทั้งคู่
"มันมีปัจจัยเชิงภูมิรัฐศาสตร์อยู่สำหรับสหรัฐฯ ต้องเข้าใจวาระของเขา เนื่องจากว่าทุนเหล่านี้เป็นทุนจีน" สุภลักษณ์กล่าวถึงกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติบางกลุ่มในกัมพูชา และบางเครือข่ายที่เชื่อมโยงกับการฟอกเงินให้กับเกาหลีเหนือ
เมื่อสหรัฐฯ เข้ามา แล้วจีนอยู่ตรงไหน ?
เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่ปรากฏบทบาทของจีนในการเป็นตัวกลางฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติในภูมิภาคอินโดจีนในครั้งนี้
สุภลักษณ์ กล่าวว่า จีนระมัดระวังตัวมาก เนื่องจากว่าจีนมีความสัมพันธ์ทางทหารกับกัมพูชาที่แข็งแกร่ง มีการซ้อมรบและจัดหาอาวุธให้ด้วย ตามที่มีรายงานจากนิวยอร์กไทมส์โดยอ้างแหล่งข่าวทางการทหารของไทยว่าจีนส่งอาวุธในกัมพูชา ในเดือน มิ.ย.
ผู้เชี่ยวชาญด้านชายแดนไทย-กัมพูชา กล่าวต่อด้วยว่า ในข้อเท็จจริงทราบกันอยู่แล้วว่าจีนสนับสนุนเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับกัมพูชา การซ้อมรบและความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างพนมเปญกับปักกิ่งแข็งแกร่งขึ้นทุกวี่ทุกวัน จึงกลายเป็นภัยคุกคามความมั่นคงในระดับภูมิภาค แต่ในความขัดแย้งครั้งนี้ จีนไม่สามารถจะชัดเจนกับไทยหรือกัมพูชาได้
"เนื่องจากจีนไม่สามารถที่จะเทคไซด์ (เข้าข้าง) ใครได้จริง ๆ ในแง่หนึ่งเพราะว่าเขาก็ทิ้งกัมพูชาไม่ได้ ทำนองเดียวกัน ไทยก็เป็นตลาดใหญ่ เขาก็ทิ้งไม่ได้ เพราะว่าถ้าเขาไปช่วยกัมพูชาเต็มตัว มันก็จะผลักดันให้ไทยกลับไปหาสหรัฐฯ"
ด้าน ดร.เราะห์มาน ยาค็อบ มองว่าการที่จีนไม่กระโดดเข้ามาในวงความขัดแย้งครั้งนี้ของไทย-กัมพูชา เป็นความรอบคอบและมียุทธศาสตร์ในการกำหนดนโยบายในความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ ของจีน เห็นได้จากเรื่องสงครามภาษีระหว่างสหรัฐฯ และจีน จะเห็นว่าจีนเข้าใจดีว่าจุดอ่อนของอเมริกาอยู่ตรงไหน เช่น ทรัพยากรแร่หายาก (rare earth) จึงใช้วิธีจำกัดการส่งออกสินค้าประเภทนี้ ถือเป็นการตอบโต้ที่มีแบบแผน
"ผมคิดว่าตอนนี้รัฐบาลปักกิ่งของจีนมีแนวทางในเชิงยุทธศาสตร์มากกว่าในการบริหารจัดการความเป็นคู่แข่งระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ในขณะที่ฝั่งอเมริกา โดยเฉพาะรัฐบาลวอชิงตันภายใต้ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมีลักษณะการดำเนินนโยบายแบบ 'ยิงกระจาย' คือยิงไปทุกทิศทุกทาง แล้วหวังว่าสักอย่างจะได้ผลหรือ 'โดนเป้า' ขึ้นมาบ้าง"

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เดินทางไปเยือนกัมพูชาเมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา
โอกาสของอาเซียน
เมื่อมองในบริบทของอาเซียน ดร.เราะห์มาน มองว่าการมาเยือนของทรัมป์ ถือเป็นโอกาสของนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในนามของอาเซียน ที่จะได้พูดคุยโดยตรงกับทรัมป์เกี่ยวกับประเด็นภาษีการค้า และหวังว่าทรัมป์จะเข้าใจสถานการณ์ที่อาเซียนกำลังเผชิญอยู่ จากนั้นอาจพิจารณาทบทวนนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ต่อประเทศในอาเซียนอีกครั้ง
"ผมเองหวังว่าประเด็นการค้าและภาษีจะออกมาในทิศทางที่ดีต่ออาเซียน แต่ก็ต้องยอมรับว่าผมยังคงมีความสงสัยอยู่บ้าง เพราะอย่างที่รู้กัน เราไม่สามารถคาดเดาทรัมป์ได้เลย เขาอาจจะมาถึงกัวลาลัมเปอร์แล้วรู้สึกประทับใจ บรรยากาศดี ถูกใจ แล้วตัดสินใจว่า 'บางทีการทำงานร่วมกับอาเซียนอย่างใกล้ชิดกว่านี้ก็น่าจะคุ้มค่าเหมือนกัน' ก็เป็นไปได้"
ด้านสุภลักษณ์ กล่าวว่าเบื้องหลังการมาของทรัมป์เริ่มต้นจากความประสงค์ของมาเลเซียซึ่งเป็นประธานอาเซียนในขณะนี้
เขากล่าวต่อไปว่า ปกติในการจัดประชุมสุดยอดผู้นำช่วงปลายปี โดยประเพณีต้องมีชาติมหาอำนาจนอกอาเซียน อย่างสหรัฐฯ หรือจีน มาเข้าร่วม แต่เนื่องจากทรัมป์ไม่ได้มาเยือนเอเชีย เท่าใดนักโดยเฉพาะการประชุมอาเซียนซัมมิท ดังนั้น การมาเป็นสักขีพยานในการลงนามในประเด็นความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา จึงเป็น "สิ่งจูงใจ" ที่มาเลเซียเชิญให้ทรัมป์มาร่วมครั้งนี้
"ทรัมป์เป็นคนริเริ่มโดยใช้มาตรการทางภาษีบังคับให้ต้องมานั่งประชุมทำสัญญาสงบศึกกัน พอเป็นครั้งนี้ มาเลเซียเขาก็คิดอยู่ว่าจะทำอะไรดี เนื่องจากว่า ceasefire (การหยุดยิง) มันตกลงกันมาแล้วตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค. เลยต้องหากิมมิกว่าโอเค จะให้ระดับผู้นำมาลงนามก็แล้วกัน" นักวิชาการอิสระซึ่งเชี่ยวชาญด้านข้อพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชา กล่าวกับบีบีซีไทย

เวทีประชุมอาเซียนซัมมิทที่มาเลเซีย ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อ 25 ต.ค.
นอกเหนือไปจากความสนใจที่อาเซียนจะได้รับจากมหาอำนาจสหรัฐฯ แล้ว สุภลักษณ์เสนอด้วยว่าอาเซียนควรใช้โอกาสนี้ในการพิจารณายกระดับโมเดลในการจัดการปัญหาความขัดแย้ง โดยเฉพาะประเด็นเรื่องผู้สังเกตการณ์ (observer) ที่จะพัฒนาให้เป็นรูปแบบที่ชาติสมาชิกยอมรับร่วมกันได้ ให้เป็นกระบวนการหลักสำหรับนำมาปฏิบัติเมื่อเกิดความขัดแย้งทั้งภายในประเทศหรือภายนอก ยกตัวอย่างเช่น ความขัดแย้งในเมียนมาที่อาจต้องมีคณะผู้สังเกตการณ์หยุดยิงในอนาคต
"อาเซียนทั้งโดยทั้งหมดทั้งมวล ยังกอดเรื่องการไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในอยู่ แต่การมีคณะผู้สังเกตการณ์เปิดพื้นที่ให้คนข้างนอกเข้ามาดูเหตุการณ์ในบ้าน ในหมู่สมาชิกอาเซียนก็ยังคงรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่มาก แต่ว่าถ้าเราคำนึงถึงว่าอนาคตโลกมันจะขัดแย้งกันมากขึ้น หากอาเซียนยังอยากจะ relevant (มีความสำคัญ) อยู่ เราต้องผลักดันเรื่องนี้" สุภลักษณ์ทิ้งท้าย
https://www.bbc.com/thai/articles/c62e81q27d1o