วันจันทร์, ตุลาคม 27, 2568

เคยรู้บ้างไหม แต่ดั้งเดิม งานพระเมรุเป็นงานรื่นเริง ตามคติเทวราชแบบพราหมณ์ เจ้านาย “สวรรคต” คือ “กลับ” (คต) ไปสวรรค์ เป็นวาระที่ต้องเฉลิมฉลอง เพราะความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุด เรา “ดัด” ไปไว้ทุกข์แต่งดำตามฝรั่ง เดิมเราห่มขาวไว้ทุกข์ ฝรั่งมองว่าชีวิตมีหนเดียว ตายแล้วรอไปวันพิพากษาเลย


Chavatvit Muangkeo
4 hours ago
·
ท่ามกลางข่าวงานบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมโกศสมเด็จพระพันปีหลวง ก็มีเรื่องน่าแปลกประหลาดใจ กระทรวงวัฒนธรรมส่งจดหมายถึงคนจัดคอนเสิร์ตให้สำรวม กระทรวงศึกษาธิการห้ามจัดงานรื่นเริง 1 ปี…

แต่ดั้งเดิม งานพระเมรุเป็นงานรื่นเริง ตามคติเทวราชแบบพราหมณ์ เจ้านาย “สวรรคต” คือ “กลับ” (คต) ไปสวรรค์ เป็นวาระที่ต้องเฉลิมฉลอง เพราะความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุด

เรา “ดัด” ไปไว้ทุกข์แต่งดำตามฝรั่ง สมัยรัชกาลที่ 6 (เดิมเราห่มขาวไว้ทุกข์) ฝรั่งมองว่าชีวิตมีหนเดียว ตายแล้วรอไปวันพิพากษาเลย ดังนั้นตายจึงเท่ากับจากกันตลอดกาล จึงเป็นวาระโศกเศร้า ขณะที่ไทยเราซึ่งถือผี แทรกพราหมณ์ เปลือกพุทธ ทั้งหมดมองชีวิตเป็นวัฏจักร เวียนว่ายตายเกิด ยิ่งเป็นเจ้านาย ยิ่งเปี่ยมบุญวาสนา ย่อมไปสู่ภพภูมิที่ดีแน่นอน เอาอะไรมาเศร้า

ร 6 เองก็ไม่โปรด “นางร้องไห้” ที่เป็นธรรมเนียมเดิมของฝ่ายใน ตรัสว่ารำคาญใจ ให้ไปไกล ๆ เสีย และทรงปฏิบัติตามทูลกระหม่อมพ่อคือปฏิรูปงานพระเมรุให้ไม่หมดเปลืองจนเกินพอดี

แต่สิ่งที่ไม่หายไปคือการละเล่น มหรสพ กายกรรม ดนตรี โขน ละคร จำอวด มีทั้งไทยเทศ เรียกว่าระดับ Festival ได้เลย แล้วเล่นกันทั้งวันทั้งคืน นี่ไม่ใช่ “กุโศลบายให้คนคลายเศร้า” แต่คือโอกาสที่เจ้านายจะได้แสดงบารมี ให้ชาวนครได้เห็นถึงความมั่งมี อุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน เชื่อมโยงให้ประชาชนใกล้ชิดกับวังมากขึ้น

แม้แต่งานบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมโกศศตมวาร (สวดร้อยวัน) ในวังยังมีวงมโหรีปีพาทย์หลวงเล่นทุกวัน ทั้งวันทั้งคืน

ย้อนดูงานศพไพร่ ก็มีทั้งสวดคฤหัสถ์ ลำตัด ตุ๊เจ้าล้านนามีสวดเล่นเป็นจำอวดแบบหนึ่ง ทางใต้ก็ไม่ขาดหนังตะลุง อีสานนี่ไม่ต้องสืบ หมอลำ เต้ยกันยันเช้า เรียกว่าญาติคนตายไม่เหงาจนวันเผานั่นเอง

จะเห็นว่าถ้าเข้าใจวัฒนธรรมจริง ๆ เราจะไม่เห็นภาพการบังคับห้ามงานรื่นเริง ยิ่งเป็นโขนละคร ดนตรีปี่พาทย์ ยิ่งควรส่งเสริมให้ออกมาเล่น ออกมาแสดงในวาระการจากไปขององค์อุปถัมภกศิลปวัฒนธรรมไทยพระองค์สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย ถ้าอยากให้เด็กรุ่นใหม่ที่ไม่มีความทรงจำโดยตรงกับสมเด็จพระพันปี ได้จดจำพระองค์ไว้ ก็น่าจะเป็นภาพความเป็นราชินีแฟชั่นไอคอนผู้ทรงอุ้มชูศิลปวัฒนธรรมไทยมาหลายทศวรรษ ไม่ดีหรือ?

ส่วนตัวคิดขึ้นเองว่า ธรรมเนียมศพอย่างไทยต่างจากจีนมาก พอคนไทยเชื้อสายจีนมีบทบาทในสังคมมาก ก็พานไปเอาธรรมเนียมบูชาบรรพชนโพ้นทะเล ห่มฟางร้องไห้แบกป้ายวิญญาณ บูชาประมุขของบ้านเป็นเทวดา มาทาบกับธรรมเนียมท้องถิ่นจนไพล่ไปเกรี้ยวกราดใส่คนอื่น และยิ่งถ้าเข้าไปมีอำนาจบริหารประเทศแล้วด้วย เลยไปกันใหญ่ ยังไม่นับคนที่ไม่เห็นใจเพื่อนร่วมประเทศที่เลี้ยงชีพด้วยงานรื่นเริง ต้องขาดรายได้ไปเป็นเดือน ๆ ไม่ว่าจะบังคับหรือไม่ แต่สังคมก็ดูเหมือนจะเลือก “กันไว้ดีกว่าแก้” ไปแล้ว ไม่ว่าจะรู้สึกเอง หรือกลัวงานงอก

รัฐบาลควรมีแนวทางที่ชัดเจน เข้ากับยุคสมัย และเข้าใจสปิริตดั้งเดิมของงานพระบรมโกศและงานพระเมรุ และโดยเฉพาะคราวนี้ซึ่งรำลึกและอาลัยเจ้านายที่ทรงรักศิลปวัฒนธรรมอย่างยิ่ง พลิกเรื่องเศร้าให้เป็นความอิ่มเอมอบอุ่นใจ และสร้างโอกาสให้คนไทยได้ชื่นชู Legacy ของสมเด็จพระพันปีในวาระสุดท้าย

https://www.facebook.com/photo/?fbid=10162108585682894&set=a.10150217117507894