วันอังคาร, กรกฎาคม 19, 2565

‘อยู่มา 8 ปี เพิ่งนำร่องแก้จนไป 5 จังหวัด’ …ตลกร้ายที่ใครก็ขำไม่ออก - ด้วยอัตราความหนืดช้าขนาดนี้ ต้องใช้เวลา อีกหนึ่งศตวรรษเป็นอย่างน้อย ถึงจะแก้ปัญหาความจนได้ทั่วประเทศ



‘อยู่มา 8 ปี เพิ่งนำร่องแก้จนไป 5 จังหวัด’ …ตลกร้ายที่ใครก็ขำไม่ออก

ท่ามกลางข่าวใหญ่ที่เป็นกระแสตลอดสัปดาห์ที่แล้ว อย่างศึกแดงเดือด แมนยูฯ-ลิเวอร์พูล ในประเทศไทยซึ่งกลบข่าวอื่นๆ ไปหมดสิ้น ยังมีข่าวหนึ่งซึ่งน่าสนใจและชวนให้หดหู่ใจไปพร้อมๆ กัน

นั่นก็คือข่าวที่ นายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา คนดีคนเดิมของพ่อแม่พี่น้อง เยี่ยมชมนิทรรศการ ‘การขับเคลื่อนการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง’ ของ ศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นเจ้าภาพนำชมที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันอังคารที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา

ตามโปรแกรมที่เขาวางกันเอาไว้เมื่อนายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมนิทรรศการภาพรวมการดำเนินงานขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในมิติต่างๆ ประกอบด้วย มิติสุขภาพ, มิติความเป็นอยู่, มิติการศึกษา, มิติรายได้ และมิติการเข้าถึงบริการภาครัฐ ของ 5 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ จังหวัดตราด, จังหวัดเพชรบูรณ์, จังหวัดพังงา, จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดอำนาจเจริญ แล้ว ก็ต้องให้โอวาทให้นโยบายข้อคิดยืดยาวอะไรสักหน่อยในแบบที่ท่านถนัด

ท่านนายกฯ บอกว่า “เป็นนโยบายแก้ปัญหาความยากจนของรัฐบาล ขอให้สื่อมวลชนช่วยประชาสัมพันธ์ซึ่งต้องทำต่อเนื่อง ไม่ใช่แก้ทีเดียวแล้วจะจบเลย ต้องทำไปทีละขั้น ให้อยู่รอดปลอดภัย พอเพียง ยั่งยืน ดังนั้นการจะมีความพอเพียงใช้ชีวิตที่ยั่งยืนต้องมีเงินเพียงพอ ต้องเข้าถึงการบริการภาครัฐ ทั้งการขายออนไลน์ รวมถึงการศึกษา ทำอย่างไรจะให้ดีขึ้น วันนี้เป็นการนำร่อง 5 จังหวัด ซึ่งก็ทำทุกจังหวัดรวมถึง กทม. หากแก้ปัญหาแบบเดิมโดยการให้สงเคราะห์ประชาชนก็จะอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่มีทางดีขึ้น ดังนั้นการแก้ความยากจนก็จะเสริมในสิ่งที่รัฐบาลทำมาตลอด”

และบอกต่ออีกว่า “จากนโยบายที่ให้ไปมีความกังวล ว่าจะสามารถทำได้อย่างที่ตั้งใจไว้หรือไม่ แต่จากการนำเสนอผลงานของทั้ง 5 จังหวัด จากทั้งหมด 77 จังหวัด มีความก้าวหน้ามาก ถือเป็นความสำเร็จขั้นแรกของการแก้ไขปัญหาความยากจน แต่จะไม่หยุดเพียงเท่านี้ ยังต้องเดินหน้าอย่างเป็นขั้นเป็นตอนต่อไป โดยเจ้าหน้าที่รัฐจะติดตามเพื่อช่วยให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น และแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิต ซึ่งเป็นนโยบายหลัก เพิ่มเติมจาก 3 แกนหลัก คือ เรื่องการเงินการธนาคาร อุตสาหกรรมใหม่ และโครงสร้างพื้นฐาน หากมองด้วยความเป็นธรรมจะเห็นว่า สิ่งเหล่านี้ก้าวหน้ามากในระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา เพียงแต่ต้องทำให้ต่อเนื่อง”

และแน่นอน สุดท้ายท่านนายกฯ ก็ปิดท้ายซ้ำๆ เหมือนเดิมว่า “จึงขอให้ทุกคนช่วยกัน อย่าสร้างความขัดแย้ง สิ่งดีๆ กำลังจะเกิดขึ้น อย่ามัวทะเลาะกันอยู่ พร้อมขอให้สื่อมวลชนสนใจสิ่งที่เป็นประโยชน์”

ถ้านับเฉพาะเวลาฟอกตัวมาเป็นรัฐบาลที่ผ่านการเลือกตั้งมา 3 ปี ค่าเฉลี่ยการนำร่องแก้จนก็อยู่ที่ปีละเกือบ 2 จังหวัด แต่ถ้าคำนวณจากการที่นายกฯ บอกว่า ‘รัฐบาล (ของท่าน) ทำมาตลอด’ ซึ่งรวมแล้ว 8 ปี ร่องที่ท่านและคณะได้ขุดนำเอาไว้เพื่อแก้ปัญหาความยากจนให้คนไทยทั้งประเทศนั้น ตกอยู่ที่ปีละไม่ถึงหนึ่งจังหวัด

ในฐานะก้ำๆ กึ่งๆ อยู่ระหว่างคนเขียนบทความขายความคิดกับสื่อมวลชน สิ่งที่ท่านนายกฯ กล่าวมานี้ถือว่าเป็นตลกร้าย ที่ร้ายมากเสียจนขำไม่ออก

เพราะท่านบอกว่านิทรรศการการแก้จนจาก 5 จังหวัดนำร่องจากทั้งหมด 77 จังหวัดนั้นถือว่ามีความก้าวหน้าดีมาก และเป็นสิ่งที่รัฐบาลทำมาตลอดในยุคสมัยของท่าน

ฟังเผินๆ ดูเหมือนจะดี แต่ลองคิดให้ถี่ถ้วนจะพบว่ามันผิดปกติมาก

เพราะนับจนถึงวันนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก้าวขึ้นมาเสวยอำนาจอย่างไม่ชอบธรรมผ่านการรัฐประหารเมื่อปี 2557 ก็เป็นเวลารวม 8 ปีเข้าไปแล้ว ถ้าเป็นระบบปกติก็เป็นนายกฯ มาแล้ว 2 สมัย หรือต่อให้ท่านทำเบลออ้างว่า ให้นับกันตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2562 ก็ยังกินเวลา 3 ปี - จะครบหนึ่งสมัยอยู่รอมร่อ

แต่ไม่ว่าจะ 3 ปีหรือ 8 ปีก็ตาม มันก็ไม่สมดุลกับจำนวน 5 จังหวัดนำร่องแก้จน จากทั้งหมด 77 จังหวัดอยู่ดี เพราะคำนวณแล้วอยู่ที่ 6 เปอร์เซ็นต์กว่าๆ ไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ

และถ้านับเฉพาะเวลาฟอกตัวมาเป็นรัฐบาลที่ผ่านการเลือกตั้งมา 3 ปี ค่าเฉลี่ยการนำร่องแก้จนก็อยู่ที่ปีละเกือบ 2 จังหวัด แต่ถ้าคำนวณจากการที่นายกฯ บอกว่า ‘รัฐบาล (ของท่าน) ทำมาตลอด’ ซึ่งรวมแล้ว 8 ปี ร่องที่ท่านและคณะได้ขุดนำเอาไว้เพื่อแก้ปัญหาความยากจนให้คนไทยทั้งประเทศนั้น ตกอยู่ที่ปีละไม่ถึงหนึ่งจังหวัด

คงไม่ต้องสรุปว่ามันน้อยยิ่งกว่าน้อย น้อยจนไม่น่าทันกับความถดถอยทางเศรษฐกิจ ภาวะเงินเฟ้อ ข้าวยากหมากแพง น้ำมันแพงยิ่งกว่า และประชาชนรากหญ้าทั่วประเทศอดอยากแถมยังเข้าไม่ถึงระบบสวัสดิการรัฐตามสิทธิพึงมีและสมศักดิ์ศรีที่พึงได้รับ

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรีจะอ้างอะไรก็อ้างได้ทั้งนั้น ภาวะโรคระบาด, รัฐบาลที่แล้วทำเอาไว้เละเทะต้องตามล้างตามเช็ด, สงครามยูเครน-รัสเซียที่เป็นปัจจัยทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอย ฯลฯ อ้างแม้กระทั่งคนไทยขาดความสามัคคีจ้องแต่จะทะเลาะกัน ท่านก็อ้างของท่านไปได้เรื่อยๆ

แต่ไม่ว่าจะท่านอ้างเหตุผลอะไรก็ตามเมื่อนับเวลาที่ท่านบริหารประเทศจะ 8 หรือ 3 ปี โครงการนำร่องแก้จนที่ท่านทำได้แค่ 5 จังหวัดก็ถือว่าน้อยอยู่ดี เป็นความน้อยที่ใครรู้ก็คงรู้สึกไร้ความหวังเสียเหลือเกิน

ในฐานะผู้นำประเทศ ท่านหมดเวลาอ้างนานแล้ว ท่านต้องทำงานให้มากขึ้น เร็วขึ้น ชดเชยเวลาที่เผาทิ้งไปหลายปี ไม่อย่างนั้นการเลือกตั้งทั่วไปซึ่งจะมีขึ้นในปีหน้า ท่านและรัฐนาวาของท่านลำบากแน่

เพราะตอนนี้ ผู้คนในสังคมเขามีความสามัคคีกันแล้ว

สามัคคีที่จะวิจารณ์ท่านและส่งเสียงบอกว่า เขาเบื่อหน่ายกันเต็มทน

Illustration: Nuttal-Thanatpohn Dejkunchorn

ที่มา Thairath Plus
.....
Kasian Tejapira
19h
ด้วยอัตราความหนืดช้าขนาดนี้ กว่าลุงตู่จะนำร่องแก้ปัญหาความจนได้ทั่วประเทศครบถ้วนทั้ง 77 จังหวัด คงกินเวลาตามสูตรบัญญัติไตรยางค์อีก....
8%5 X 77 = 123.22 ปีหรืออีกหนึ่งศตวรรษกว่า ๆ เท่านั้นเอง!
ลุงตู่และเราชาวไทยที่ลุงตู่รักทั้งประเทศคงต้องกลับชาติมาเกิดใหม่อีกสองรอบจึงจะได้เห็นร้าบานเริ่มนำร่องแก้ปัญหาความยากจนกันทั่วถึงนั่นแหละครับ
....แต่นั่นมันแค่นำร่อง แล้วกว่าจะเสร็จสิ้นอีกกี่ปีล่ะหว่า?
https://plus.thairath.co.th/topic/spark/101814...