วันอาทิตย์, กรกฎาคม 24, 2565

“ผมไม่อาจลืมเธอได้” "พวกเขาสั่งผมให้ทรมาน ปล้นทรัพย์ และสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์" ทหารเมียนมายอมรับกระทำการป่าเถื่อนต่อพลเรือน - สกู๊ปข่าวของบีบีซีที่ได้จากคำให้การของกลุ่มทหารเมียนมากลับใจ


Kasian Tejapira
14h

คบคนพาลพาลพาไปหาผิด
%%%%
สกู๊ปข่าวของบีบีซีที่ได้จากคำให้การของกลุ่มทหารเมียนมากลับใจที่เล่าประสบการณ์ปราบปรามชาวบ้านพม่าเอง ทั้งยิงทิ้ง เผาทั้งเป็นและข่มขืน
https://www.bbc.com/thai/international-62265076...
.....
“ผมไม่อาจลืมเธอได้” – ทหารเมียนมายอมรับกระทำการป่าเถื่อนต่อพลเรือน

ชาร์ลอตต์ แอตต์วูด, โก โก ออง และ รีเบกกา เฮนช์กี
บีบีซี เวิลด์ เซอร์วิส
23 กรกฎาคม 2022

อดีตทหารในกองทัพเมียนมายอมรับในการให้สัมภาษณ์พิเศษกับบีบีซีว่า มีการสังหาร ทรมาน และข่มขืนพลเรือน นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้บอกเล่าอย่างละเอียดเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นวงกว้าง ที่พวกเขาบอกว่าถูกสั่งให้ทำ

คำเตือน : เรื่องนี้มีรายละเอียดเกี่ยวกับการทรมานและความรุนแรงทางเพศ

"พวกเขาสั่งผมให้ทรมาน ปล้นทรัพย์ และสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์"

หม่อง อู กล่าวว่า เดิมเขาคิดว่าเขาถูกเกณฑ์เข้าไปทำงานงานในกองทัพในฐานะทหารยาม

แต่เขาเป็นส่วนหนึ่งของกองพันที่สังหารประชาชนที่หลบซ่อนตัวอยู่ในวัดแห่งหนึ่งเมื่อเดือน พ.ค. 2565

"เราถูกสั่งให้จับผู้ชายทุกคนและยิงให้ตาย" เขากล่าว

"สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดคือ เราต้องฆ่าคนแก่และผู้หญิงคนหนึ่ง"

คำให้การของทหาร 6 นาย ที่หนึ่งในนั้นเป็นสิบโท ประกอบกับเหยื่อของพวกเขา ทำให้เราเข้าใจถึงความพยายามของกองทัพในการเกาะติดกับอำนาจ ชื่อของคนเมียนมาทุกคนในบทความนี่เป็นชื่อสมมุติเพื่อปิดบังตัวตนของพวกเขา

ทหาร ซึ่งเพิ่งจะแปรพักตร์เมื่อไม่นานนี้ ได้รับการคุ้มครองจากกองกำลังป้องกันประชาชน (People's Defence Force--PDF) ในพื้นที่ ซึ่งเป็นเครือข่ายหลวม ๆ ของกลุ่มติดอาวุธพลเรือนที่ต่อสู้เพื่อกอบกู้ประชาธิปไตย

กองทัพได้ยึดอำนาจจากรัฐบาลของนางออง ซาน ซู จี ที่ได้รับการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ในการทำรัฐประหารเมื่อ ก.พ. 2564 ตอนนี้กองทัพกำลังพยายามบดขยี้การลุกขึ้นสู้ของพลเรือนที่ติดอาวุธ



เมื่อ 20 ธ.ค. ปีที่แล้ว เฮลิคอปเตอร์ 3 ลำ บินวนเหนือหมู่บ้านเย เมียต ทางตอนกลางของเมียนมา พร้อมกับปล่อยทหารลงสู่พื้นด้วยคำสั่งให้กราดยิง

มีคนอย่างน้อย 5 คน ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน พูดถึงเรื่องนี้ พวกเขากล่าวกับบีบีซีถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

พวกเขากล่าวว่า กองทัพบุกเข้ามาโดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ยิงใส่ผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก อย่างไม่เลือกหน้า

"คำสั่งคือ ยิงทุกอย่างที่คุณเห็น" สิบโทออง กล่าวจากสถานที่ที่ไม่เปิดเผยแห่งหนึ่งในพื้นที่ทุรกันดารในป่าของเมียนมา

เขากล่าวว่า คนบางส่วนหลบซ่อนตัวในที่ที่พวกเขาคิดว่าเป็นที่ปลอดภัย แต่เมื่อทหารเข้ามาใกล้ พวกเขา "ก็วิ่งหนี แล้วเราก็ยิงพวกเขา"

สิบโทออง ยอมรับว่า หน่วยของเขายิงและฝังศพชาย 5 คน

"เรายังได้รับคำสั่งให้จุดไฟเผาบ้านหลังใหญ่และดูดีในหมู่บ้านทุกหลังด้วย" เขากล่าว

ทหารบุกเดินไปรอบหมู่บ้านจุดไฟเผาบ้านเรือนหลายหลัง และตะโกนว่า "เผา! เผา!"

สิบโทอองจุดไฟเผาบ้าน 4 หลัง คนที่ให้สัมภาษณ์กล่าวว่า มีบ้านราว 60 หลังถูกจุดไฟเผา ทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่ในหมู่บ้านเหลือเพียงเถ้าถ่าน

หมู่บ้านเย เมียต ภูมิภาคสะกาย เมียนมา

ลากปุ่มไปทางซ้ายเพื่อดูพื้นที่ที่ถูกจุดไฟเผา

ชาวบ้านส่วนใหญ่ต้องอพยพออกไป แต่มีชาวบ้าน 1 คนที่ยังอาศัยอยู่ที่บ้านบริเวณกลางหมู่บ้าน

ติฮา กล่าวว่า เขาเข้าร่วมกับกองทัพเพียง 5 เดือนก่อนที่จะมีการบุก เขาถูกเกณฑ์เข้าไปไม่ต่างจากคนอื่น ๆ และบอกว่า เขาไม่ได้รับการฝึกหัดใด ๆ เลย มีการเรียกทหารเกณฑ์เหล่านี้ว่า อังงาร์-ซิต-ตาร์ หรือ "ทหารรับจ้าง"

ในตอนนั้น เขาได้รับเงินเดือน 200,000 จ๊าต (ประมาณ 3,600 บาท) ต่อเดือน ถือว่าไม่น้อย เขาจำเรื่องที่เกิดขึ้นที่บ้านหลังนั้นได้อย่างชัดเจน


ลุงของเด็กสาวเล่าว่า เขาใจสลาย

เขาเห็นเด็กสาวคนหนึ่งติดอยู่หลังราวเหล็กภายในบ้านที่พวกเขากำลังจะจุดไฟเผา

"ผมลืมเสียงร้องตะโกนของเธอไม่ลง ผมยังคงได้ยินมันอยู่ในหูและจำได้ขึ้นใจ" เขากล่าว

ตอนที่เขาบอกหัวหน้าของเขา เขาตอบว่า "ผมบอกคุณให้ฆ่าทุกคนที่พบเห็น" โซ ติฮา ยิงพลุเข้าไปในห้องนั้น

สิบโทออง ก็อยู่ที่นั่นและได้ยินเสียงร้องของเธอขณะถูกเผาทั้งเป็น

"น่าเศร้าใจมากที่ได้ยิน เราได้ยินเสียงของเธอดังอยู่อย่างนั้นนานราว 15 นาที ขณะที่บ้านของเธอถูกไฟเผา" เขาเล่า

บีบีซี แกะรอยครอบครัวของเด็กผู้หญิงคนนี้ แล้วได้พูดคุยกันที่หน้าซากบ้านที่กลายเป็นเถ้าถ่านของพวกเขา

อู มินต์ ญาติของเธอกล่าวว่า เด็กสาวคนนี้มีปัญหาสุขภาพจิต และถูกทิ้งไว้ในบ้าน ขณะที่พ่อแม่ของเธอไปทำงาน

"เธอพยายามหนีแต่พวกเขาห้ามไม่ให้ไป และปล่อยให้เธอถูกไฟเผา" เขากล่าว




เธอไม่ใช่แค่หญิงสาวเพียงคนเดียวที่ต้องทนทุกข์ด้วยน้ำมือของทหารเหล่านี้

ติฮา เล่าว่า เขาเข้าร่วมกองทัพเพราะต้องการเงิน แต่ตกใจมากกับสิ่งที่เขาถูกบังคับให้ทำ และความโหดเหี้ยมอำมหิตที่เขาพบเห็น

เขาเล่าถึงหญิงสาวกลุ่มหนึ่งที่พวกเขาจับได้ที่เย เมียต

นายทหารส่งตัวพวกเธอให้กับลูกน้องของเขา และบอกว่า "ทำตามที่คุณอยากทำ" เขาเล่า เขากล่าวว่า พวกเขาข่มขืนหญิงสาวเหล่านั้น แต่เขาไม่ได้เข้าร่วมด้วย เราแกะรอยจนพบหญิงสาว 2 คนในกลุ่มนี้

ปา ปา และขิ่น ทเว เล่าว่า พวกเธอเจอกับพวกทหารระหว่างทาง ขณะที่พวกเธอพยายามหลบหนี พวกเธอไม่ได้อยู่ที่เย เมียต แต่ไปหาช่างตัดเสื้อที่นั่น

แม้ว่าพวกเธอยืนยันว่า พวกเธอไม่ได้เป็นนักรบของกองกำลัง PDF หรือไม่ได้เป็นคนที่หมู่บ้านนั้น พวกเธอถูกขังไว้ที่โรงเรียนในพื้นที่นาน 3 คืน พวกเธอเล่าว่า แต่ละคืน คนที่จับตัวพวกเธอไว้และกำลังเมามายได้ล่วงละเมิดทางเพศพวกเธอหลายครั้ง

"พวกมันใช้โสร่งปิดหน้าฉันไว้และกดฉันลง พวกมันถอดเสื้อผ้าของฉันออกและข่มขืนฉัน" ปา ปา กล่าว "ฉันร้องตะโกนตอนที่พวกมันข่มขืนฉัน"

เธอวิงวอนให้ทหารเหล่านั้นหยุด แต่พวกเขาทุบตีเธอที่บริเวณศีรษะและใช้ปืนขู่เธอ

"เราต้องยอมอย่างไม่ขัดขืน เพราะเรากลัวว่า เราจะถูกฆ่า" ขิ่น ทเว พี่สาวของเธอกล่าว เธอยังมีอาการตัวสั่นขณะพูดถึงเรื่องนี้

หญิงสาวทั้ง 2 คน หวาดกลัวเกินไปที่จะมองหน้าพวกที่ล่วงละเมิดพวกเธอให้ดี แต่พวกเธอเล่าว่า พวกเธอจำได้ว่า บางคนก็สวมชุดธรรมดา บางคนก็สวมเครื่องแบบทหาร

"ตอนที่พวกเขาจับหญิงสาวมา" ติฮา ซึ่งเป็นทหาร กล่าวว่า "พวกเขาจะบอกว่า 'นี่เป็นเพราะพวกคุณสนับสนุน PDF' ขณะที่พวกเขา (ข่มขืน) เด็กสาว"

มีคนเสียชีวิตอย่างน้อย 10 คนในความรุนแรงในเย เมียต และมีรายงานว่า เด็กสาว 8 คน ถูกข่มขืน ในช่วงเวลา 3 วัน



การสังหารที่โหดเหี้ยมซึ่งหม่อง อู ทหารรับจ้าง เข้าร่วม เกิดขึ้นเมื่อ 2 พ.ค. 2022 ในหมู่บ้านโอ๊ก โผ่ ซึ่งอยู่ในภูมิภาคสะกายเช่นกัน

คำบอกเล่าของเขาเกี่ยวกับสมาชิกจากกองที่ 33 (กองทหารราบเบา 33) จับกุมและยิงคนในวัดแห่งหนึ่ง ตรงกับคำให้การของคนที่อยู่ในเหตุการณ์และคลิปวิดีโอที่น่าสะเทือนใจที่บีบีซีได้มาหลังการโจมตี

คลิปวิดีโอเผยให้เห็นว่า มีศพ 9 ศพนอนเรียงกันอยู่ รวมถึงศพของผู้หญิงคนหนึ่งและผู้ชายผมหงอกคนหนึ่งนอนอยู่ติดกัน ทุกศพต่างสวมโสร่งและเสื้อยืด

สัญลักษณ์ต่าง ๆ ในคลิปบ่งชี้ว่า พวกเขาถูกยิงจากด้านหลัง และในระยะประชิด


ทหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารกล่าวว่า เขาเสียใจต่อการกระทำของเขา

เรายังได้พูดคุยกับชาวบ้านที่เห็นความโหดร้ายป่าเถื่อนนี้ด้วย พวกเขาระบุตัวหญิงสาวในคลิปวิดีโอที่นอนติดอยู่กับชายชราได้ เธอมีชื่อว่า มะ โม โม เธอกำลังอุ้มลูกของเธออยู่ และถือถุงที่บรรจุทองคำหลายชิ้น เธออ้อนวอนพวกทหารไม่ให้เอาของของเธอไป

"ทั้งที่เธออุ้มลูกอยู่ พวกเขาก็ปล้นเธอและยิงเธอเสียชีวิต พวกเขายังเรียงแถว (ผู้ชาย) และยิงพวกเขาทีละคน" ละ ละ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์และได้รับการไว้ชีวิต เล่า

เด็กคนนั้นรอดชีวิต และตอนนี้ญาติ ๆ กำลังช่วยกันดูแล

ละ ละ เล่าว่า เธอได้ยินพวกทหารคุยโวผ่านทางโทรศัพท์ว่า พวกเขาฆ่าคนไป 8 คนหรือ 9 คน รู้สึก "หนำใจ" ที่ได้ฆ่าคน และบอกว่า เป็น "วันที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของพวกเขา"

เธอเล่าว่า พวกเขาออกจากหมู่บ้านไปพร้อมกับตะโกนว่า "ไชโย! ไชโย!"

ผู้หญิงคนหนึ่งสามีของเธอถูกฆ่า "พวกมันยิงเขาที่ต้นขา จากนั้นก็บอกให้เขานอนคว่ำหน้าลง และยิงเขาที่สะโพก สุดท้ายพวกมันยิงหัวเขา" เธอเล่า

เธอยืนกรานว่า เขาไม่ได้เป็นสมาชิกของ PDF "เขาเป็นคนเก็บตาลจริง ๆ หาเลี้ยงชีพด้วยวิถีดั้งเดิม ฉันมีลูกชาย 1 คน และลูกสาว 1 คน และฉันไม่รู้ว่า จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร"

หม่อง อู กล่าวว่า เขาเสียใจต่อการกระทำของเขา "ดังนั้น ผมจะบอกคุณทุกอย่าง" เขากล่าว "ผมอยากให้ทุกคนรู้ เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน"



ทหารทั้ง 6 คนที่พูดคุยกับบีบีซี ยอมรับว่า เผาบ้านเรือนและหมู่บ้านต่าง ๆ ทั่วพื้นที่ตอนกลางของเมียนมา เรื่องนี้บ่งชี้ว่า นี่คือกลยุทธ์ทำลายการสนับสนุนการต่อต้านใด ๆ

มันเกิดขึ้นในช่วงที่มีคนบางส่วนบอกว่า กองทัพเผชิญกับปัญหาในการทำสงครามกลางเมืองหลายด้าน

หมู่บ้านบิน ภูมิภาคสะกาย เมียนมา

ลากปุ่มไปทางซ้ายเพื่อดูพื้นที่ที่ถูกจุดไฟเผา



เมียนมา วิตเนสส์ (Myanmar Witness) กลุ่มนักวิจัยโอเพนซอร์สที่แกะรอยการละเมิดสิทธิมนุษยชน ได้ตรวจสอบการแจ้งเหตุว่ามีการจุดไฟเผาหมู่บ้านต่าง ๆ ด้วยวิธีการนี้ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา มากกว่า 200 เหตุ

พวกเขาบอกว่า การวางเพลิงเหล่านี้กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีการโจมตีอย่างน้อย 40 ครั้งในเดือน ม.ค. และ ก.พ. ตามมาด้วยอย่างน้อย 66 ครั้งในเดือน มี.ค. และ เม.ย.
Myanmar Witness

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กองทัพเมียนมาได้ใช้กลยุทธ์ผลาญภพ มีรายงานการใช้วิธีนี้อย่างกว้างขวางต่อคนโรฮิงญาในรัฐยะไข่ในปี 2560

ภูมิภาคของกลุ่มชาติพันธุ์ตามพื้นที่ภูเขาต่าง ๆ ของประเทศ เผชิญกับการโจมตีลักษณะนี้มานานหลายสิบปีแล้ว นักรบของกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้บางส่วนกำลังช่วยเหลือในการฝึกหัดและติดอาวุธให้กับ PDF ในสงครามกลางเมืองปัจจุบันที่ทำกับฝ่ายทหาร

ฮิวแมนไรท์วอทช์ ระบุว่า วัฒนธรรมการยกเว้นโทษเปิดโอกาสให้ทหารปล้นและสังหารได้ตามอำเภอใจ อย่างที่ทหารเหล่านี้เล่า เกิดขึ้นมานานหลายสิบปีในเมียนมา

แทบไม่มีการหาคนมารับผิดชอบต่อความโหดร้ายป่าเถื่อนที่มีการกล่าวหาว่า เป็นฝีมือของทหาร



แต่กองทัพเมียนมากำลังต้องจ้างทหารและสมาชิกกลุ่มติดอาวุธเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีทหารจำนวนมากแปรพักตร์และถูกสังหารโดย PDF

กลุ่มที่ชื่อว่า People's Embrace ซึ่งตั้งขึ้นโดยอดีตเจ้าหน้าที่ของกองทัพและตำรวจ ระบุว่า มีคนแปรพักตร์แล้วราว 10,000 คน ทั้งจากกองทัพบกและตำรวจ นับตั้งแต่เกิดรัฐประหารปี 2564



ไมเคิล มาร์ติน จากศูนย์เพื่อการศึกษายุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ (Centre for Strategic and International Studies) กล่าวว่า "ทหารกำลังเผชิญกับปัญหาในการต่อสู้ในสงครามกลางเมืองที่เปิดศึกหลายด้าน"

"กองทัพกำลังเผชิญกับปัญหาด้านบุคลากรทั้งในระดับสัญญาบัตรและระดับทหารเกณฑ์ มีการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก มีปัญหาในการเกณฑ์คน ปัญหาในการหาเครื่องไม้เครื่องมือและเสบียงต่าง ๆ และนั่นเป็นเพราะการที่ดูเหมือนว่า พวกเขากำลังสูญเสียดินแดนหรือการควบคุมดินแดนในหลายพื้นที่ของประเทศ"

ภูมิภาคมะกเวและสะกาย (ซึ่งเป็นที่เกิดเหตุต่าง ๆ ข้างต้น) เคยเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีการเกณฑ์คนในอดีตของกองทัพเมียนมา

แต่คนรุ่นใหม่ที่นี่กำลังเลือกเข้าร่วมกับกลุ่ม PDF แทน

สิบโทออง ชัดเจนถึงเหตุผลที่เขาแปรพักตร์ "ถ้าผมคิดว่า กองทัพจะชนะในระยะยาว ผมคงจะไม่ย้ายมาอยู่ข้างประชาชนหรอก"

เขากล่าวว่า พวกทหารไม่กล้าที่จะออกจากฐานทัพไปเพียงลำพัง เพราะพวกเขากลัวว่า จะถูก PDF สังหาร

"ไม่ว่าจะไปที่ไหน เราไปได้แต่เป็นขบวนทหารเท่านั้น ไม่มีใครบอกได้ว่า เรากำลังมีอำนาจเหนือกว่า" เขากล่าว



เรารวบรวมข้อกล่าวหาต่าง ๆ ในการทำข่าวสืบสวนสอบสวนชิ้นนี้ส่งไปยังพลเอกซอว์ มิน ทุน โฆษกของกองทัพเมียนมา ในแถลงการณ์ เขาปฏิเสธว่า กองทัพไม่ได้มีเป้าโจมตีพลเรือน เขากล่าวว่า การบุกโจมตีทั้งสองครั้งที่ถูกอ้างถึงในบทความนี้ เป็นการโจมตีที่ชอบธรรมและคนที่เสียชีวิตคือ "ผู้ก่อการร้าย"

เขาปฏิเสธว่า กองทัพไม่ได้เผาหมู่บ้านต่าง ๆ และระบุว่า เป็นฝีมือของ PDF เองที่ก่อเหตุวางเพลิง

เป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ว่า สงครามกลางเมืองนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใดและอย่างไร แต่ดูเหมือนว่า ประชาชนนับล้านของเมียนมาจะต้องตกอยู่ในความบอบช้ำทางจิตใจ

ยิ่งใช้เวลานานในการได้มาซึ่งสันติภาพ ก็ยิ่งมีผู้หญิงอย่างขิ่น ทเว เหยื่อข่มขืน จะต้องเสี่ยงต่อความรุนแรงเพิ่มขึ้น

เธอกล่าวว่า เธอไม่ต้องการจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป หลังจากเกิดเรื่องกับเธอ และคิดที่จะฆ่าตัวตาย

เธอยังไม่สามารถบอกคู่หมั้นของเธอถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอได้